บทที่ 16 ต่อปากต่อคำ

บุหลันเคียงรัก

ตระกูลหวาซวีอันสูงส่งลือชื่อ ตั้งแต่จำความได้ ฝูชางเคยพบแต่เหล่าเทพบุตรเทพธิดาที่มีกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน ทว่าในโลกแห่งเทพนี้ ยังคงมีองค์หญิงตระกูลจู๋อินคนนี้อยู่ ทุกครั้งจะก่อกวนให้เขาเผยสีหน้าแสดงอาการรังเกียจออกมาอยู่ร่ำไป

 

 

เขาไม่อยากแม้แต่จะคิด นับตั้งแต่สะบัดมือหลุดไปจากนาง ใครจะไปคิดว่าในช่วงนาทีชีวิตองค์หญิงผู้สง่างามจะมีท่าทางเหมือนหนู ทั้งว่องไวทั้งน่ารำคาญ ใช้ทั้งปาก มือ และเท้า แม้คางยังใช้เอาตัวรอดได้ ไถลมาซุกตัวอยู่ใต้วงแขนเขาแล้ว

 

 

ฝูชางโกรธจนขำ “วันนี้ตระกูลจู๋อินทำให้ข้าตาสว่างขึ้นแล้ว”

 

 

เผ่นเร็ว! สายตาของเสวียนอี่บอกเขาอย่างนั้น

 

 

พายุมีดลูกใหญ่พลาดไปนิดเดียวจะเข้าถึงตัว ฝูชางจำเป็นต้องวิ่งหนีไปรอบๆ กับนางอีกครั้ง หางตาเต็มไปด้วยภาพพายุมีดจากทั่วสารทิศ ไม่มีที่ให้ซ่อนตัว หากโดนพายุมีดเข้าไปแม้แต่นิดเดียว ต้องได้รับบาดเจ็บแน่ เทพเฟยเหลียนโกรธขึ้นมาเป็นเรื่องเล็กเสียที่ไหน

 

 

ด้านบนทางทิศใต้ของตำหนักมีช่องว่างอยู่ที่หนึ่ง! ปฏิกิริยาของเขารวดเร็วจนน่าทึ่ง พุ่งทะยานขึ้นหนีไปจากวังวั่งซูทันที ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะเยือกเย็นของเทพเฟยเหลียน! ทรายจันทราชูขึ้นราวกับงู ฝูชางรู้สึกเพียงว่าที่ต้นขาราวกับถูกงูเหลือมยักษ์รัดไว้แน่นหนา ไม่สามารถเหาะสูงขึ้นได้

 

 

เมื่อมองเห็นภาพทรายจันทราที่พุ่งออกมาจากฝ่ามือเทพเฟยเหลียน ฝูชางที่ถูกรัดอยู่ย่อมหนีไม่พ้น ช่างเป็นเชื้อสายหวาซวีที่ไร้ประโยชน์จริงๆ !

 

 

เสวียนอี่ดันตัวออกมาจากใต้วงแขนชายหนุ่ม มองหาช่องทางเตรียมหนีไปก่อน จู่ๆ ก็ถูกยึดข้อมือเอาไว้มั่น นางกระเสือกกระสนดิ้นรน เท้าทั้งสองถีบหน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรง จนเสื้อขาวราวหิมะของฝูชางเต็มไปด้วยรอยเท้าดำๆ นับไม่ถ้วนในชั่วพริบตา

 

 

“ไหนบอกว่ามีทุกข์ร่วมต้านมิใช่หรือไร” ฝูชางคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม น้ำเสียงทรงเสน่ห์ตามธรรมชาติราวกับกำลังสัพยอก ทว่าแววตากลับเยือกเย็น “อยู่กับข้าที่นี่แหละ! “

 

 

เขางอนิ้วดีดใส่หัวเข่านางทีหนึ่ง หญิงสาวล้มอย่างไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน ศีรษะกระแทกเข้ากับคางของชายหนุ่ม ราวกับว่ากลัวนางจะหนีไปอีก เขาจึงดึงผมเปียยาวที่ศีรษะด้านหลังของนางพันไว้กับมือหลายรอบอย่างไร้ความเมตตา

 

 

เสวียนอี่เจ็บจนน้ำตาไหล เจ้าฝูชางสารพัดพิษ! ท่านเทพผู้เยือกเย็นราวพระจันทร์อะไรที่ไหน ที่แท้ก็คนสารเลวไม่มีความเป็นเทพเลยชัดๆ! คางของเขาอยู่ใกล้หน้านาง นางจึงอ้าปากกัดลงไปอย่างแรง

 

 

ราวกับกำลังตกตะลึงเพราะการกระทำที่ไร้ยางอายของนาง ฝูชางใช้มือพันหางเปียนางอีกสองรอบ เจ็บจนนางเงื้อมือขึ้นตี เท้าทั้งสองถีบขากับเอวของชายหนุ่มสะเปะสะปะอย่างแรง

 

 

เทพทั้งสององค์ที่สูงส่งสง่างามกำลังเกิดเหตุปะทะกันอย่างดุเดือดหยาบคาย แม้แต่เทพเฟยเหลียนยังตกตะลึง พายุมีดค้างอยู่ในมือจนลืมเขวี้ยงออกไป เหตุการณ์พลันสงบลงโดยไม่รู้ตัว

 

 

เทพหนุ่มสาวด้านบนทั้งสองพัฒนาเหตุปะทะกันเมื่อครู่ไปสู่การวิวาททางคำพูด น่าจะเป็นเพราะความเจ็บ จึงทำให้เสียงของเสวียนอี่สั่นอยู่บ้าง “เห็นทีตระกูลหวาซวีน่าจะถนัดเรื่องดึงผม! “

 

 

ฝูชางเสียงเข้ม “ตระกูลจู๋อินก็ไม่น้อยหน้า ดีแต่ใส่ร้ายคนแล้วเชิดหนี ข้ามแม่น้ำแล้วตัดสะพานเก่งนัก”

 

 

“เป็นเจ้าที่ทำให้ชุดข้าไหม้ก่อน! “

 

 

“ข้านึกว่าเป็นเจ้าที่ยั่วโมโหข้าก่อนเสียอีก”

 

 

“เจ้ามันโง่! “

 

 

“ใช่หรือ ข้าบอกแล้วอย่างไร ตระกูลหวาซวี มีแค้นต้องชำระ”

 

 

ตามองหนุ่มสาวทั้งคู่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด จนเทพเฟยเหลียนรู้สึกว่าตนทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ วันเวลาผ่านไป ใจเทพก็เปลี่ยนแปร พวกเทพหนุ่มสาวสมัยนี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ไม่รักษาภาพลักษณ์เอาเสียเลย! เทพหนึ่ง เทพธิดาหนึ่ง พอพูดจาไม่เข้าหูกันก็ลงไม้ลงมือ ทำได้แม้กระทั่งกระชากหางเปีย กัดคางอีกฝ่าย ช่างทำให้เขาตาสว่างเสียจริงๆ

 

 

“พวกเจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว! ” เทพเหลียนเฟยหัวโบราณผู้ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างตักเตือนเสียงเข้ม “เทพบุตรไม่รู้จักทำใจให้กว้าง เทพธิดาไม่รู้จักสงบเสงี่ยมตน! ศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อแต่ละยุคเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ! “

 

 

พูดยังไม่ทันจบ กลับพบว่าฝูชางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รีบตัดทรายจันทราที่คลายออกบ้างแล้ว เสวียนอี่พ่นลมหายใจ ทันใดนั้นวังวั่งซูทั้งหมดก็ตกอยู่ในความมืดมิดชนิดมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือทั้งห้าในพริบตา

 

 

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพริบตานั้นทำให้เทพเฟยเหลียนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเงาดำคลี่คลายออก ภายในตำหนักกลับว่างเปล่าเช่นเดิม เทพหนุ่มสาวที่ทะเลาะวิวาทกันอยู่เมื่อครู่หนีไปโดยไม่เห็นแม้แต่เงา เขาจึงรู้สึกตัวได้ว่าถูกหลอกอีกแล้ว ครั้นจะเกรี้ยวโกรธบันดาลโทสะขึ้นมาอีก ก็นึกเรื่องผมที่คืนมาเช่นอดีตขึ้นมาได้ อารมณ์จึงคลายลง สุดท้ายจึงพยายามข่มกลั้นโทสะนั้นไว้ ยกมือขึ้นเสยผมสีดำสนิทเล่นอย่างชอบใจ

 

 

 

 

ทั้งสองขี่เมฆลอยตามสายลม ไม่เหลียวหลังกลับ เมื่อตรงหน้าปรากฏภาพวังสวรรค์สูงตระหง่านอยู่รางๆ ฝูชางจึงหยุดลงทันใด

 

 

มือเรียวเย็นราวหยกข้างหนึ่งยังคงวางทาบหน้าผากเขา นิ้วมือแปะอยู่บริเวณขอบตาเขา เพียงนิดเดียวเท่านั้น ปลายเล็บนิ้วสีแดงสดก็จะทิ่มลูกตาของชายหนุ่มอยู่แล้ว เป็นการแสดงท่าทีข่มขู่อย่างไร้เสียง

 

 

“เอามือลง” เขาเอ่ยเสียงเย็น

 

 

เสวียนอี่เกาะอยู่ข้างหลังเขา ผมเปียข้างหลังนางถูกเขาพันไว้ที่มืออยู่หลายรอบ คอจึงเชิดขึ้นผิดธรรมชาติ

 

 

“เจ้าปล่อยก่อนสิ” นางพูดอย่างไม่ยอม

 

 

เช่นนั้นปล่อยก็ได้

 

 

ฝูชางก้มลงมองรอยเท้าสีดำบนหน้าอกตน ลองใช้มือปัดดูสองสามครั้งแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น จนเขายอมแพ้ในที่สุด

 

 

“เจ้าชำนาญการใช้อาวุธไม่ใช่หรือ” เสวียนอี่ยิ้มเย็น “ตอนหน้าสิ่วหน้าขวานไม่เห็นเอามาใช้ซักนิด”

 

 

สีหน้าฝูชางไร้ความรู้สึก “เจ้ากลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ตอนหน้าสิ่วหน้าขวานเจ้าช่างมีประโยชน์เหลือเกิน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าใช้เล่ห์เลี่ยมทุกอย่าง เพื่อให้ได้ผมเทพเฟยเหลียนไปให้อาจารย์”

 

 

ต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องทั้งหมดมาจากรสนิยมแปลกประหลาดของมหาเทพไป๋เจ๋อ เขาไม่เคยคิดจะฟังใครทั้งนั้น เทพเฟยเหลียนขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจ แต่ว่าเทพผู้ชาญฉลาดทั่วไปจะไม่ไปข้องเกี่ยวกับหมาบ้าตัวนั้น

 

 

เสวียนอี่พูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เผ่าเทพที่นึกว่าตัวเองพอมีฝีมืออยู่บ้างพวกนี้ เวลาต่อสู้ก็คล้ายกับว่าตนเองนั้นทำถูกต้องตามเหตุตามผลแล้ว ข้าเลยอยากให้เขาลำบากบ้าง”

 

 

ฝูชางพูดเรียบๆ “เทพที่ชำนาญการต่อสู้ล้วนใจคอคับแคบ ต้องมาชำระแค้น ระวังตัวด้วยล่ะองค์หญิงมังกร”

 

 

เสวียนอี่ต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจึงรู้สึกถึงบางอย่างสีเงินที่ช่องว่างระหว่างนิ้ว อ้อ นางเกือบลืมไป ยังมีเส้นผมของเทพเฟยเหลียนอยู่ที่นี่อีก 2 เส้น

 

 

นางลูบเส้นผมสีเงินไปมา อ้าปากสูดลมหายใจเบาๆ พลังมืดจู๋อินทั้งสองกลุ่มไหลจากผมสีเงินสองเส้นเข้าสู่เส้นชีพจรนางในทันที เพียงชั่วครู่พลังนั้นก็คืนกลับสู่ร่างนาง

 

 

คิดแล้วว่าตอนนี้เทพเฟยเหลียนคงโกรธเป็นบ้าเป็นหลังที่ผมกลับคืนสู่สภาพเดิมแน่เลยกระมัง ต้องเป็นฉากที่น่าสนุกมากแน่ๆ

 

 

“ศิษย์น้องฝูชาง! ศิษย์น้องเสวียนอี่! “

 

 

เสียงตะโกนเรียกระยะไกลดังมาจากไท่เหยา พอได้ยินเสียงเรียก เทพทั้งสองต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ฝูชางเอามือออกจากหางเปียเสวียนอี่ทันที ส่วนเสวียนอี่ก็รีบลงมาจากหลังของชายหนุ่ม ทั้งคู่แยกออกจากกันในชั่วพริบตา

 

 

ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงฮือฮามาจากลุ่มศิษย์พี่ทั้งหลาย กู่ถิง ไท่เหยา ล้วนอยู่ทั้งนั้น แม้จื่อซีก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เพราะรอยเท้าสีดำสนิทหลายรอยบนอกฝูชาง ไหนจะรอยกัดที่คาง ทำให้สีหน้ากู่ถิงเปลี่ยนไปทันที น้ำเสียงก็เปลี่ยนตามไปด้วย “เทพเฟยเหลียนลงไม้ลงมือกับเจ้าขนาดนี้เชียวหรือ เทพองค์นี้จะป่าเถื่อนเกินไปแล้ว! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

 

 

ฝูชางลูบรอยกัดที่คางไปมา สบตากับบรรดาศิษย์พี่กลุ่มนั้น สีหน้าเป็นปรกติ “ไม่เป็นไรขอรับ สบโอกาสหนีออกมาได้พอดี”

 

 

มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขาก็พูดโกหกเป็นด้วย ซ้ำยังพูดได้อย่างลื่นไหลอีก นางจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนดีเสียทีเดียว

 

 

“ไม่เป็นไรที่ไหนกัน! ” จื่อซีกระวนกระวายยิ่งกว่ากู่ถิง ปรี่เข้าไปตรวจดูรอยเท้าบนอกเขาอย่างละเอียด สีหน้าพลันซีดเผือด “หน้าอกได้รับบาดเจ็บแน่! ข้าได้ยินมาว่ายามเทพเฟยเหลียนลงมือไม่เคยเบามือสักครั้ง สี่หมื่นปีที่แล้วมีเรื่องขัดแย้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกับรัชทายาทของเทพมังกรทะเลใต้ รัชทายาทเทพมังกรถึงกับอาเจียนเป็นเลือดอยู่สามวัน! แล้วเจ้ารับเท้าเขามามากขนาดนี้ได้อย่างไร! รีบกลับไป! เรียกท่านอาจารย์ให้มาดูอาการเจ้า! “

 

 

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากด้านข้างๆ จื่อซีกัดฟันหันกลับมา พบว่าเสวียนอี่กำลังลูบไล้เส้นผมสีเงินไปมา มองดูทิวทัศน์อย่างเบิกบานใจ

 

 

“สหายร่วมสำนักบาดเจ็บ! เจ้ายังหัวเราะออกอีก! ” จื่อซีโกรธเกรี้ยว “หากไม่ใช่เพราะเจ้ายังยืนกรานจะเข้าไปพัวพันกับเทพเฟยเหลียน จะบีบจนเขาลงไม้ลงมือกับฝูชางได้อย่างไร เจ้ายังยิ้มได้อีก?! “

 

 

เสวียนอี่ลูบจมูกตน เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ศิษย์พี่หญิงโปรดอภัย ในเมื่อท่านอาจารย์ใช้ให้ศิษย์น้องไปนำของมา ศิษย์น้องย่อมทุ่มเทสุดความสามารถ โชคดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต”

 

 

นางลูบไล้เส้นผมสีเงินไปมา ท่าทางขึงขังจริงจังอย่างยิ่ง

 

 

ไท่เหยาออกมาไกล่เกลี่ย “เมื่อครู่ศิษย์น้องกู่ถิงรีบร้อนกลับมาตำหนักหมิงซิ่ง พูดแต่เพียงว่าเจ้าทั้งสองถูกเทพเฟยเหลียนคุมตัวไว้ กลัวจะปลีกตัวออกมาไม่ได้ พวกเราจึงรีบตามไปช่วย ในเมื่อปลอดภัยก็ดีที่สุดแล้ว กลับกันเถอะ ท่านอาจารย์ยังคงรออยู่”

 

 

พอสิ้นคำพูด ก็ได้ยินเสียงสายฟ้าดังมาตามลม เห็นเพียงเทพเฟยเหลียนที่ศีรษะเต็มไปด้วยผมสีเงินชี้สะเปะสะปะ ไล่ตามมาอย่างเกรี้ยวกราด