กัปตันกดลงบนโต๊ะอีกครั้ง ถ่ายทอดคำสั่ง “เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งละเมิดกฎและได้ถูกฉันสำเร็จโทษแล้ว ใครก็ได้สักสองคนช่วยเข้ามาหน่อย มาช่วยเย็บหัวของเขาเข้ากับศพ แล้วจับไปแขวนประจานกลางยานให้ทุกคนได้เห็น”

ไม่นานนัก ลูกน้องสองคนก็เข้ามา

พวกเขาโค้งคำนับให้กัปตัน หนึ่งคนเดินไปจับหัวอันดับหนึ่ง อีกคนเดินไปพยุงร่างศพ แล้วยกออกไปอย่างรวดเร็ว

กัปตันหันมามองวังเฉิงแล้วยิ้ม

“แบบนี้เป็นไง?”

“ขอบคุณกัปตัน ที่ช่วยเรียกคืนความยุติธรรมให้กับผม”

“เท่านี้ก็วางใจได้แล้วสินะ?”

“วางใจแล้ว” วังเฉิงกล่าวด้วยความปีติอย่างสุดซึ้ง

“เอาล่ะ นายก็ไปได้แล้ว แต่ห้ามลืมล่ะ ว่าไม่มีใครสามารถทำลายกฎที่ฉันตั้งเอาไว้ได้”

“รับทราบครับกัปตัน”

ว่าจบ วังเฉิงกับภูตอัญเชิญก็เดินออกไป

กัปตันเฝ้ามองทั้งสองจากเบื้องหลังอย่างเงียบๆ

“เฮ้ไอ้เด็กเหลือขอ” จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา

“ว่าไงครับกัปตัน?”

“สลายภูตอัญเชิญของนายไปได้แล้ว เดี๋ยวลูกเรือคนอื่นๆ ของฉันจะตกใจ”

วังเฉิงไม่ได้พูดอะไร แต่ภูตอัญเชิญของเอาเป็นฝ่ายตอบกลับมา “ข้าจะไปส่งเขาที่ห้องก่อน และเมื่อถึงเวลานั้นสัญญาอัญเชิญจึงจะเสร็จสมบูรณ์”

กัปตันรับฟัง ในสมองคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายคิ้วที่ยับย่นของเขาก็ค่อยๆ คลายลง

เขาพยักหน้า “เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นนายก็รีบกลับไปเร็วๆ มันจะได้ไม่ส่งผลกระทบกับคนอื่น”

“เมื่อวังเฉิงปลอดภัย ข้าจะจากไปเอง” ภูตอัญเชิญกล่าว

ปัง…ประตูถูกปิดลง

พวกเขาได้ออกไปแล้ว

แต่กัปตันก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในจุดเดิม เงียบงันไปครู่หนึ่ง

กำปั้นของเขากำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าการสังหารอันดับหนึ่งไป ยังไม่เพียงพอที่จะระงับความโกรธในจิตใจของเขาให้สงบลงได้

“สารเลว…” กัปตันพึมพำเสียงกระซิบ

แล้วจู่ๆ เขาก็หยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากใต้โต๊ะ ควานหาอะไรบางอย่างเป็นเวลานาน สุดท้ายก็หยิบเหรียญออกมา

นี่คือเหรียญพิเศษที่มีพื้นผิวเรียบ ไม่มีร่องรอยหรือรูปภาพอะไรอยู่บนมันเลย

กัปตันพ่นลมหายใจใส่เหรียญ ฮัมเพลงเสียงกระซิบลงกับมัน “แม่มดจ้าวมนตราเอ๋ย ฉันขออัญเชิญท่าน”

พร้อมกันกับเสียงนี้ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเหรียญ

“มีเรื่องอะไร?” ผู้หญิงคนนั้นถาม

“แม่มดจ้าวมนตรา ฉันต้องการให้ท่านช่วยทำนาย”

“เจ้าก็รู้ว่าการร้องขอข้าต้องมีค่าใช้จ่าย”

“แน่นอน”

“ในเมื่อเจ้ายินดี เช่นนั้นโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเตรียมพิธี”

แล้วผู้หญิงบนเหรียญก็หายไป

ไม่นานนัก เสียงของแม่มดก็ดังขึ้นอีกครั้ง “จงพูดในสิ่งที่หัวใจเจ้าปรารถนาจะล่วงรู้”

กัปตัน “นี่มันเป็นเรื่องแปลกมากจริงๆ ชัดเจนว่าฉันมีความแข็งแกร่งมากกว่าศัตรู แต่สัญชาตญาณของฉันมันกลับร้องเตือนว่าอย่าไปสู้กับเขา”

“เห? ฟังดูเหมือนว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่พิเศษนะ”

เสียงของแม่มดเผยถึงร่องรอยความตื่นเต้น

ในฐานะผู้คอยรับหน้าที่ทำการสำรวจธรรมชาติอันลึกลับทั้งมวล เธอจึงมักสนใจในสิ่งที่มันไม่สมเหตุสมผลอยู่เสมอ

กัปตัน “ตอนนี้ ฉันต้องการทราบว่าถ้าฉันลงมือต่อสู้จริงๆ ฉันจะสามารถเอาชนะภูตอัญเชิญที่วังเฉิงเรียกออกมาได้หรือไม่”

“รอประเดี๋ยว”

อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง

ในขณะที่กัปตันยิ่งนานก็ยิ่งเริ่มกังวล เสียงของแม่มดก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ตอนนี้เจ้าสามารถโยนเหรียญได้เลย”

“แล้วอย่างไรต่อ?”

“ถ้าเหรียญคว่ำลงแล้วมันโชว์รูปร่างจำลองของเจ้า นั่นก็หมายความว่าเจ้าชนะ”

“แล้วถ้าคว่ำเป็นร่างจำลองของภูตอัญเชิญล่ะ?”

“เจ้าก็จะต้องตาย”

“มีเพียงสองกรณีเท่านั้นเองหรือ?”

“เจ้าต้องลองทำมันก่อน ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ” แม่มดย้ำ

กัปตันกัดฟัน ตัดสินใจโยนเหรียญ

บนเหรียญ ใบหน้าของแม่มดหายไปทันที ตลอดทั้งเหรียญกลับมาเรียบเนียน ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ อีกครั้ง

กัปตันดีดนิ้วของเขา

ติ๊ง…

เหรียญถูกโยนสูงขึ้น ม้วนไปมาในอากาศ

เคร้ง!

มันตกลงบนโต๊ะ กระดอนอยู่สองสามครั้ง

และหยุดลงอย่างกะทันหัน!

เหรียญหยุดลงอยู่บนโต๊ะอย่างมั่นคง ในสภาพมิได้คว่ำหรือหงายลงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

กัปตันจ้องมองมันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ไม่อาจกล่าวคำใดได้ไปครู่หนึ่ง

“ฮะ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะที่ไม่อาจทนเก็บงำของแม่มดดังขึ้น

“สถานการณ์แบบนี้คืออะไร?” กัปตันถามด้วยความร้อนใจ

“นี่มันน่าสนใจจริงๆ ความแข็งแกร่งของราชาภูตนั้นด้อยกว่าเจ้าอยู่มากโข ทว่ายามเมื่อต้องต่อสู้เป็นตายกันจริงๆ พวกเจ้ากลับเคียงคู่สูสี”

แม่มดอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อผลการทำนายอันหาได้ยากยิ่งนี้ปรากฏขึ้น ความลึกล้ำของมันอาจจะนำพาความโชคดีมาสู่ข้าก็เป็นได้ ดังนั้นคราวนี้ข้าจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ”

“แต่จะคอยเฝ้าตั้งตารอ ว่าชะตากรรมสุดท้ายของเจ้ามันจะจบลงเช่นไร”

หลังจากนั้น เสียงของเธอก็หายไปจากห้อง

เธอจากไปแล้ว

ภายในห้องเหลือกัปตันคนเดียวที่นั่งอยู่ลำพัง

เงียบงันไปครู่หนึ่ง

จู่ๆ เสียงคำรามก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน “บัดซบ!”

เปรี้ยง! กำปั้นถูกทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง

ทุกสิ่งอย่างกระดอนขึ้น ก่อนจะร่วงกลับมากระจัดกระจายบนโต๊ะดังเดิม

อย่างไรก็ตาม มีเพียงเหรียญที่ยังคงนิ่งงัน อยู่ในสภาวะเดิมอย่างมั่นคง

“ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมให้…”

กัปตันงึมงำด้วยความโกรธ

เขาลุกขึ้น เดินตรงไปทางกำแพง และยกมือวางนาบลงบนมัน

ทันใดนั้นการแสดงออกทางสีหน้าก็เขาก็แปลกไป

“บ้าจริง หรือว่าเจ้าภูตอัญเชิญนั่นมันจะไปรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว?”

“…แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมยิ่งกว่านี้”

หลังจากที่แนบมือเข้ากับกำแพง กัปตันก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง และเร่งออกจากห้องไป

ประตูถูกปิดลง

ภายในห้องเงียบงันโดยสมบูรณ์

แต่หลังจากนั้นอีกสองสามลมหายใจ…

เหรียญผิวเรียบบนโต๊ะก็เริ่มเอนเอียง พลิกคว่ำลงไปยังทิศทางหนึ่งอย่างช้าๆ

อีกด้านหนึ่ง

กู่ฉิงซานกับฉานนู่เดินเข้ามาในซากปรักหักพังของยานอวกาศหมายเลขสองอีกครั้ง

“นายน้อย ทำไมพวกเราถึงต้องมาที่นี่?” ฉานนู่ถาม

“เพราะคนด้านนอกทั้งหมด ไม่มีใครรู้ว่าไป่หยูกับจางยี่คิดจะฆ่าคนที่นี่ และชัดเจนว่าในเวลานั้น เมื่อพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาก็ได้เฉลยออกมา ว่าได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ลำดับสองเอาไว้แล้ว”

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ส่วนเจ้ากัปตันที่น่าหัวเราะนั่น ก็ยังแสร้งสวมบทบาทใช้เสียงมรณะของเทพแห่งความตายเพื่อพิสูจน์ความจริงอีก”

ฉานนู่ขบคิดอย่างระมัดระวัง “นี่มันแปลกจริงๆ ด้วย ทั้งๆ ที่คนที่ช่วยไป่หยูกับจางยี่เป็นเจ้าหน้าที่ลำดับสองอย่างชัดเจน ถึงนายน้อยจะแสร้งบอกว่ามันไม่ใช่ก็เถอะ แต่เสียงมรณะแห่งความตายกลับไม่ดังขึ้น หรือว่าตัวนาฬิกาจะมีปัญหา?”

“ไม่หรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่เจ้าหน้าที่ลำดับสองต่างหาก” กู่ฉิงซานกล่าว

ฉานนู่ตกใจ เร่งเอ่ยถาม “นายน้อย ท่านมองสถานการณ์นี้เป็นอย่างไร? ”

กู่ฉิงซานถามกลับ “เจ้าจดจำถึงคำที่เขากล่าวกับเสียงมรณะของเทพแห่งความตายได้หรือไม่?”

ฉานนู่ย้อนคิดอย่างรอบครอบ เอ่ยทวนซ้ำ “เขาพูดว่า ‘ผมต้องการพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองบนยานไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย แล้วก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครด้วย’ ”

“เป็นอย่างไร? ได้ค้นพบถึงความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้หรือไม่?”

“…ไม่เลย” ฉานนู่ตอบ

กู่ฉิงซานให้คำใบ้ “ในประโยคนี้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ลำดับสอง แต่เขากลับเอ่ยชื่อตำแหน่งออกมา แต่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงเอ่ยชื่อของตัวเองตรงๆ”

ฉานนู่ตาสว่างขึ้นทันใด “จริงสิ เขาแค่บอกว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองไม่ได้ทำ แต่ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ได้ทำซะหน่อย”

“ดังนั้น หมายความว่าเขาจะต้องไม่ใช่เจ้าหน้าที่ลำดับสอง”

“แล้วเขาเป็นใครกัน?”

“ไม่รู้สิ แต่ข้าคิดว่า ‘ไม่น่าจะใช่มนุษย์’ ”

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”

“เพราะเขาสามารถปิดกั้นสายฟ้าของข้าได้ ถึงแม้ว่าตามกฎธรรมชาติแล้ว ธาตุดินจะยับยั้งธาตุสายฟ้าได้ก็ตามที แต่เมื่อดาบของข้าตัดลงบนตัวเขา มันกลับเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “ตอนนี้สถานการณ์มันซับซ้อนเกินไป มีเฉพาะซากยานนี้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้หลบซ่อนได้อย่างปลอดภัย”

“ดังนั้น ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อทำการเปลี่ยนสถานะกัน”

ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ถอดเกราะรบเฉินเว่ยออก

“นายน้อย ข้ามิได้เห็นท่านระมัดระวัง และรอบคอบถึงเพียงนี้มานานมากแล้ว” ฉานนู่เอ่ยปากชื่นชม

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “มีอาชีพและสิ่งมีชีวิตหลายรูปแบบนับไม่ถ้วนในดินแดงชิงอำนาจ มอนสเตอร์มิติหลายชนิดแข็งแกร่งอย่างมหาศาล ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ก็คงไปได้ไม่ไกลในดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านแบบนี้”

ฉานนู่จดจำได้ถึงบางสิ่ง เธอขมวดคิ้ว “นั่นสินะ เพราะนายน้อยยังมีอีกสองหายนะที่จะต้องคอยระวังนี่นา”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ในเรื่องของโทษทัณฑ์ เขาไม่กล้าคิดประมาทมันเลย

จากนั้น เขาก็เริ่มใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ทั้งคนทั้งร่างค่อยๆ กลายเป็นวังเฉิง

ในซากปรักหักพังของยานอวกาศ สองวังเฉิงมองหน้ากันและกัน

“นายน้อย ทำแบบนี้…หมายความว่าข้าไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นวังเฉิงอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”

หนึ่งในวังเฉิงเอ่ยถาม

“อืม ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มิอาจคาดฝันขึ้น ทุกการลงมือและตัดสินใจต้องฉับไวและรวดเร็ว ดังนั้นจากนี้ไป ข้าจะเป็นคนรับหน้าที่นี้เอง” อีกวังเฉิงกล่าว

“เข้าใจแล้ว”

วังเฉิงคนแรกถอนหายใจโล่งอกที่สามารถปลดเปลื้องภาระนี้ได้เสียที ใบหน้า และตามร่างกายเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลับคืนสู่สภาพหญิงสาวในชุดคลุมฟ้า

………………………………….