กู่ฉิงซานเปลี่ยนเป็นวังเฉิง แล้วก้าวเดินกลับไปยังทางแยกสู่ยานอวกาศหลัก

ทันทีที่ออกจากซากยาน เขาก็พบว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองที่ยืนอยู่ตรงทางเข้ายานหลัก กำลังมองมาที่เขาด้วยความเย็นชา

ภารกิจค้นหาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

ทุกคนกลับไปยังยานหลัก เหลือเพียงอันดับสองเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่นี่ มันเหมือนกับว่าเขากำลังรอใครบางคนอยู่

กู่ฉิงซานชำเลืองมองอีกฝ่ายแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด สองเท้ายังคงก้าวตรงไปตามเส้นทางเข้าสู่ยานอวกาศหลัก

“วังเฉิง แล้วภูตอัญเชิญของนายไปอยู่ที่ไหนซะแล้วล่ะ?” เมื่อเขาผ่านไป อันดับสองก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ทุกอย่างจบแล้ว มันเลยกลับไป” กู่ฉิงซานกล่าว

เจ้าหน้าที่อันดับสองนิ่งงัน ก่อนที่จะยื่นถุงใบเล็กๆ ออกมา

“นี่คือเงินเดือนเดือนนี้ของนาย ทุกคนได้รับกันหมดแล้ว เหลือแค่นายที่ยังไม่ได้” เขากล่าว

“โอ้ ขอบคุณนะ มิน่าล่ะนายถึงมารอฉันอยู่ที่นี่” กู่ฉิงซานรับถุงมา

แล้วเขาก็เดินต่อไปยังทางเข้าเรือ โดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมามอง หายไปในระเบียงทางเดินยานอวกาศ

โดยมีคู่ดวงตาของอันดับสองจ้องมองอยู่จากเบื้องหลัง จนกระทั่งอีกฝ่ายหายไป ก็ยังไม่คิดเคลื่อนกาย

ผ่านไปเป็นเวลานาน อันดับสองก็งึมงำออกมา “ ‘ไอ้เด็กเหลือขอ’ ในที่สุดภูตอัญเชิญก็หายไปสักทีนะ…”

เขาปล่อยลมหายใจยาว สีหน้าผ่อนคลายลง

ถ้าวังเฉิงไม่มีราชาภูตที่แข็งแกร่งอยู่เคียงข้างแล้วล่ะก็ ใครมันจะไปหวาดกลัวเขา

ก่อนหน้านี้มันยังไม่ชัดเจนว่าวังเฉิงสามารถเรียกราชาภูตมาได้อย่างไร?

แต่หากคุณต้องการจะกำจัดผู้อัญเชิญ คุณก็แค่เร่งมือโจมตีหรือสังหาร ให้พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะร่ายคาถาก็พอแล้ว เพราะถ้าอัญเชิญอะไรมาไม่ได้ทุกอย่างก็เป็นอันจบ

ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยสภาพของยานอวกาศที่คับแคบ มันย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะทำ เจ้าหน้าที่อันดับสองขบคิด สองขาเริ่มก้าวเดิน มุ่งเข้าสู่ทางเข้ายานอวกาศหลักอย่างช้าๆ

อีกด้านหนึ่ง กู่ฉิงซานกำลังเดินผ่านพื้นที่ส่วนกลางของยาน เขาเห็นศพของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่ง กับอีกเจ็ดแปดคนอยู่ด้วยกัน ถูกแขวนประจานต่อหน้าสาธารณะ

และลูกเรืออีกหลายคน ก็กำลังรวมตัวกันสนทนากันอยู่ที่นี่

“กลับกลายเป็นว่าวังเฉิงกล่าวหาผิดคน จริงๆ แล้วไม่ใช่เจ้าหน้าที่อันดับสอง แต่เป็นอันดับหนึ่งต่างหาก”

“ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกัน ว่าอันดับหนึ่งมีปัญหามานานแล้ว”

“นั่นสิ เขามักจะทำโอ้อวดใหญ่โต ทำอย่างกับสามารถใช้มือเดียวโอบคลุมไปทั่วฟ้า แต่สุดท้ายพอถูกกัปตันจับได้ ก็จบลงในสภาพนี้”

“ฉันสงสัยจัง ว่าเขาจะได้เงินจากไป่หยูกับจางยี่ไปเท่าไหร่กันนะ”

“ไม่ว่าจะได้เงินไปเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็จะเป็นไปตามกฎของกัปตัน ใครที่ทำผิดถูกลงโทษ และ ‘เงิน’ ของคนคนนั้นก็จะถูกแบ่งปันให้กับฉันและทุกๆ คน”

“พอมาลองคิดดูดีๆ พวกลูกเรือที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ กัปตันก็นำ ‘เงิน’ ของพวกเขามาแบ่งให้ทุกคนเหมือนกันนี่นา”

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า ไม่ได้ก้าวออกมาข้างหน้า

เขาเพียงตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ถึงสิ่งที่ทุกคนพูด

ตามความทรงจำของวังเฉิง ในภารกิจก่อนหน้านี้ก็มีบ้างเป็นบางคนที่เสียชีวิต

แต่มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อเลือกที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานอันตราย ก็ต้องพร้อมยินยอมแบกรับความเสี่ยงเอง

เมื่อไม่นานมานี้ ยานอวกาศได้บังเอิญถูกมอนสเตอร์โจมตีอย่างกะทันหัน ทำให้ในช่วงเวลานั้นมีหลายคนที่ต้องจบชีวิตลง

ซึ่งนั่นถือว่าเป็นความบังเอิญโชคร้ายเท่านั้น แต่คราวนี้ …

กู่ฉิงซานเหลือบมองไปยังเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่ง และอีกหลายศพ

ตามประกาศของกัปตัน คนพวกนี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอันดับหนึ่ง พวกเขาได้คอยให้ความช่วยเหลืออันดับหนึ่งในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างลับๆ คิดคดทรยศต่อความไว้วางใจของกัปตัน

ซึ่งตามกฎแล้ว คนพวกนี้จะต้องตาย และถูกริบทรัพย์สินทั้งหมดเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยการกระทำนี้ มันส่งผลให้สถานการณ์ของยานอวกาศไม่ค่อยจะดีนัก

ไม่ว่าจะเป็นการบังเอิญถูกมอนสเตอร์โจมตี แล้วไหนจะยังถูกลงโทษสังหารจากการทรยศกัปตันอีก

ส่งผลให้ในปัจจุบัน ตลอดทั้งยานอวกาศจึงเหลือคนอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

โชคยังดี ที่แม้ว่าการตัดสินใจของกัปตันจะเด็ดขาดรุนแรง แต่มันก็ทำให้ทุกคนได้รับผลประโยชน์เสมอมา ดังนั้นคนอื่นๆที่เหลือจึงยังคงอยู่ได้อย่างสบายใจ

กู่ฉิงซานเอียงคอ มองหน้าหน้าต่างยาน เฝ้าดูกระแสมิติอันโกลาหลที่อยู่ภายนอก

มันคือมิติอันกว้างใหญ่ที่จะนำไปสู่โลกสองร้อยล้านชั้น พื้นที่ที่มีมอนสเตอร์ดุร้ายมากมายเจริญเติบโต พื้นที่ที่อารยธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดจำเป็นต้องเดินทางผ่านเส้นทางมิติอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ จึงจะสามารถเข้าถึงโลกอื่นๆ ได้

ตามความทรงจำของวังเฉิง เพื่อให้แน่ใจว่ายานอวกาศจะสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีมือดีกว่าสิบคนคอยทำหน้าที่ควบคุมมัน

แต่ตอนนี้ คนส่วนใหญ่บนยานได้ถูกฆ่าตายกันไปหมดแล้ว เหลือแค่เจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น

ดูเหมือนว่าหลังจากไปถึงตลาดมืด ยานอวกาศลำนี้คงจำเป็นต้องเปิดรับสมัครลูกเรือเพิ่มขึ้น

กู่ฉิงซานส่ายหัวและออกไปจากที่นี่

เขากลับไปยังห้องพักส่วนตัวของวังเฉิง

เมื่อปิดประตู กู่ฉิงซานก็แกะถุงออก เทเงินลงบนโต๊ะ

กริ๊ง!

เหรียญโลหะตกกระทบกับโต๊ะ ทำให้บังเกิดเสียงไพเราะอันน่ารื่นรมย์

เหรียญเหล่านี้เป็นเหรียญโลหะสีฟ้า มันหนา และไม่เพียงแต่มีผิวที่แข็ง แต่ยังมีรูนอันลึกลับ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการปลอมแปลงถูกสลักเอาไว้อีกด้วย

และบนเหรียญยังสลักไว้ด้วยมอนสเตอร์หกแขนบนด้านหน้า ขณะที่อีกด้านหนึ่งถูกสลักด้วยตัวเลข ‘เจ็ด’ ที่มักจะใช้กันและเป็นที่รู้จักกันในสากลของโลกเก้าร้อยล้านชั้น

นี่คือเหรียญเงินหมายเลขเจ็ด

ในดินแดนชิงอำนาจ จะมีการจัดเรียงลำดับอำนาจในการซื้อขาย โดยจะมีทั้งสิ้นหนึ่งพันหนึ่งเลขเหรียญ

ยิ่งจำนวนเลขมากเท่าไหร่ อำนาจในการซื้อขายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

จากทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งเหรียญ อำนาจในการซื้อขายของเหรียญลำดับเจ็ดนี้ ถือว่าค่อนข้างแย่

แต่คุณจะไปคาดหวังอะไรกับเงินที่ได้รับจากการทำงานอย่างการเก็บซากยานห่วยๆ กันเล่า?

เพราะยานอวกาศที่ดีอย่างแท้จริงน่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่มอนสเตอร์มิติธรรมดาจะสามารถค้นพบหรือถูกทำลายได้ง่ายๆ หรอกนะ

มีเฉพาะเพียงคนที่ไม่มีเงินเท่านั้น ถึงได้เลือกใช้ยานขนส่งที่เสี่ยงอันตรายสูง แล้วก็ซากยานของพวกนี้นี่แหละ ที่กลุ่มเก็บซากของกู่ฉิงซานไปเก็บกู้มันมาอีกที

ด้วยเหตุนี้เอง งานเก็บซากยานจึงไม่ใช่งานที่สามารถทำกำไรได้มากมายนัก

ทำงานแบบนี้ ถ้าหวังจะรวย คงไม่ต่างจากฝันกลางวัน เช่นเดียวกันกับโศกนาฏกรรมของวังเฉิงที่เพิ่งเกิดขึ้น

น่าเสียดายจริงๆ เพราะหากเทคนิคลับในการอัญเชิญภูตผีของวังเฉิงสามารถไปได้ไกลกว่านี้อีกสักขั้น เขาคงสามารถหลุดพ้นจากธุรกิจนี้ และไปแสวงหาอาชีพที่ดีกว่าได้แล้ว

แต่เขาก็ไม่มีโอกาสนั้น

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ ก้มลงมองดูเงินเล็กๆ น้อยๆ ของวังเฉิง

บนโต๊ะโดยรวมแล้ว มีเหรียญสีฟ้าเลขเจ็ดอย่างเต็มที่ก็สิบสี่เหรียญ

นี่คือเงินเดือนทั้งเดือนของวังเฉิง

กู่ฉิงซานรำพึง ย้อนนึกตามความทรงจำของวังเฉิงก่อนจะเดินตรงไปยังจุดหนึ่งของห้องแล้วก้มลงล้วงไปหยิบบางสิ่งขึ้นมา

เป็นกล่องใบเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

เขายกกล่องขึ้น วางบนโต๊ะ แล้วเปิดมัน

ภายในกล่อง ทั้งหมดเต็มไปด้วยเหรียญหมายเลขเจ็ด

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น

เอาเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้ฉันก็กำลังกินแกลบอยู่พอดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าค่าของเงินนี่แทบจะต่ำที่สุด แต่การได้มันมาก็เหมือนกับลาภลอยล่ะนะ

เขาหยิบเหรียญขึ้นมา วางลงบนฝ่ามือตน เพ่งมองมันอย่างใกล้ชิด

มอนสเตอร์หกแขนที่อยู่บนเหรียญ เหมือนจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา

และมันคล้ายกับกำลังหงุดหงิด เลยโบกไม้โบกมือทั้งหกขู่ไปทางกู่ฉิงซาน

ตรงส่วนล่างของมอนสเตอร์ มีสองบรรทัดเล็กๆ ถูกสลักเอาไว้

“หกกรงเล็บ”

“มอนสเตอร์ขนาดเล็ก ลักษณะผิวหนังหนา เป็นภัยคุกคามที่อ่อนแอ”

พอได้อ่านสองบรรทัดนี้ มุมปากของกู่ฉิงซานก็ยิ้มหยันด้วยความขมขื่นให้กับตัวเอง

“มอนสเตอร์ขนาดเล็กเป็นภัยคุกคามที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ?”

เขาพูดในสิ่งที่คิดออกมา

ไอ้เจ้ามอนสเตอร์หกกรงเล็บตัวนี้ ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยได้พบกับมันมาแล้ว ช่วงที่เขาเพิ่งออกจากอาณาเขตหน้าใหม่

ในเวลานั้น มอนสเตอร์ตัวนี้วิ่งอาละวาดไปทั่ว และไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุมัน

กู่ฉิงซานเห็นด้วยตาของเขาเองว่าท่ามกลางกระแสมิติอันโกลาหล มันอยากจะกินใครก็ได้กิน และไม่มีใครหยุดมันได้

อย่างไรก็ตาม มันกลับอยู่ในอันดับเจ็ดเท่านั้น และถูกเรียกว่าเป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็ก แถมยังเป็นภัยคุกคามที่อ่อนแออีก

ตามความทรงจำของวังเฉิง…มีเหรียญทั้งสิ้นหนึ่งพีนหนึ่งเหรียญในดินแดงชิงอำนาจ และมอนสเตอร์แต่ละตัวก็จะถูกสลักอยู่บนนั้น

มอนสเตอร์เหล่านี้จะถูกจัดเรียงตามลำดับความแข็งแกร่งของตน

มอนสเตอร์ที่ถูกสลักในเหรียญเลขหนึ่งคืออ่อนแอที่สุด

มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดจะถูกแกะสลักบนเหรียญหนึ่งพันหนึ่ง

แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นมอนสเตอร์ตัวนั้น

มีการกล่าวกันว่า ในสมัยโบราณ กระทั่งเทพวิญญาณก็ถึงขั้นต้องต่อกรกับมันหลายปี พวกเขาถึงจะสามารถสังหารมันลงได้

มันจึงเป็นมอนสเตอร์ที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น และคนทั่วๆ ไปย่อมไม่มีแม้โอกาสจะได้เห็นตัวมันที่ถูกสลักอยู่บนเหรียญ

ในระหว่างโลกสองร้อยล้านชั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้เป็นประจักษ์พยานสายตา หรือได้สัมผัสเหรียญเลขหนึ่งพันหนึ่งเลยในตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา

สำหรับมืออาชีพทั่วไป ถ้าสามารถหาเหรียญเลขห้าร้อยขึ้นไปได้ เรื่องกินอยู่ หรือเสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว

กู่ฉิงซานครุ่นคิดและถอนหายใจ

เขาเก็บเหรียญเลขเจ็ดทั้งหมดลงในกล่อง แล้วจับยัดไว้ในถุงอีกที

หลังจากจบเรื่องนี้ จู่ๆ กู่ฉิงซานก็เหมือนจะนึกได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง

เขาหยิบหนังสือพิมพ์ออกมา

นี่คือหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงที่เสี่ยวเหมียวได้มอบมันให้กับเขา

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของเขาคือรูปภาพ

หอคอยที่สูงตระหง่านเหนือฟากฟ้า ช่วงกลางของหอคอยได้ถูกตัดขาดออกจากกัน และกำลังล่มสลายลงอย่างช้าๆ

บรรทัดข้อความปรากฏขึ้นใต้ภาพอย่างรวดเร็ว

“วันแห่งการล่มสลายของหอคอยสูง”

“ความหวาดกลัวอันมิอาจบอกบรรยายได้เกิดขึ้นแล้ว! มันเร็วจนเกินไปที่ทุกคนจะคาดคิด”

“หอคอยแห่งความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลได้ถูกทำลายลง”

“สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง แต่ก็ยังคงยืนหยัดต่อต้านจนวินาทีสุดท้าย”

“ฉุกเฉิน! ฉุกเฉิน! นี่คือคำร้องฉุกเฉิน! ได้โปรดเดินทางมาให้การสนับสนุนพวกเราด้วย! จ้าววงการตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้โปรดให้การสนับสนุนด้วยเถอะ!”

“นี่คือสงครามที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของโลกเก้าร้อยล้านชั้น หากสงครามในครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ มันจะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามยิ่งขึ้น ดังนั้น ได้โปรดมายังโลกของหอคอยสูงเพื่อความอยู่รอดของตัวคุณเอง!”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ เขาแทบลืมหายใจ

สถานการณ์มันเลวร้ายถึงขนาดนี้เลยหรือ?

สิ่งนี้มันเหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่อยู่ในสถาบันเทพ ใบหน้าครึ่งชายครึ่งหญิงนั่น…มันเป็นตัวอะไรกันแน่?

แท้จริงแล้วการดำรงอยู่ของสิ่งนั้นมันต้องการอะไร? มันถึงขั้นสามารถทำลายหอคอยแห่งความรู้ที่เทพวิญญาณรังสรรค์ขึ้นมาแต่โบราณกาลได้เลยเชียวหรือ?

ไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้จริงๆ?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดอีกรอบ

ณ ขณะนี้ เนื้อหาของหนังสือพิมพ์ได้ถูกนำเสนอจนหมดสิ้นแล้ว และเขาก็ได้อ่านมันทั้งหมด

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เก็บหนังสือพิมพ์ไป อีกเรื่องที่มันไม่คาดงันก็ดันเกิดขึ้นตามมา

มนุษย์แสงปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

มันปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกสรรพชีวิตในโลกสองร้อยล้านชั้นในปัจจุบันทั้งหมดอีกครั้ง

ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพนอบน้อม มนุษย์แสงป่าวประกาศว่า “ โปรดทราบ ผู้ศรัทธาคนแรกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”

“หนทางสู่การเป็นเทพได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ”

“อำนาจเทวะที่ถูกวางไว้โดยเทพวิญญาณจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า”

“ดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

“นับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ออกจากดินแดนชิงอำนาจ จะไม่สามารถเข้ากลับมายังดินแดนชิงอำนาจได้อีกเลยตลอดกาล!”

………………………………….