“จะไปไหม?” ซื่อหรงถามด้วยสีหน้านิ่งเรียบ สายตาจับจ้องอยู่ที่อานม้า
มือของบุรุษกดลงที่หลังมือนาง เพราะก่อนหน้านี้เสียเลือดไปมาก นิ้วที่แตะถูกผิวจึงเย็นเฉียบ ความรู้สึกหนาวเยือกกระจายไปทั่วร่างทันที
“ข้าไม่ได้คิดไปเอง เจ้าเป็นคนของฮ่องเต้?” ซูอี้เอ่ย ลืมหายใจอย่างไม่รู้ตัว
เขาคิดไม่ออกเลย หากความรู้สึกของเขาถูกต้อง และหญิงผู้นี้มีความเกี่ยวพันกับฮ่องเต้จริงๆ เหตุใดนางถึงได้ตกต่ำถึงขนาดกลายเป็นเครื่องมือสังหารที่สั่งได้ดั่งใจของพระองค์แบบนี้
อีกทั้ง…
เห็นชัดว่านางคิดเป็นอื่นกับเขา ผู้ซึ่งเป็นเพียงเจ้านายในนามของนาง
เช่นนั้น…
นางภักดีต่อใครกันแน่?
สิ่งสำคัญคือ สกุลฉู่หาได้รุ่งเรืองมากทายาท เครือราชนิกุลไร้ความซับซ้อน ไม่มีจวนใดปรากฏว่ามีหญิงสาวที่อายุไล่เลี่ยกับนาง
ดวงหน้าของซื่อหรงไร้อารมณ์ เพียงปัดมือเขาออกเบาๆ แล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า “ถ้าพวกนั้นค้นทั่วเมืองแล้วไม่เจอข้ากับเจ้าจะต้องตามรอยมาแน่ จะไปหรือไม่ไป เจ้าตัดสินใจเอาเอง!”
นางไม่ใส่ใจ ทั้งไม่ยอมตอบคำถามเขา เหมือนกับไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องทั้งหมดนี้
ซูอี้เม้มปากด้วยความลังเล สายตามองท้องฟ้าทิศตะวันออกที่อาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเดินเข้าไปแบกซูหังที่ยังไม่ได้สติโยนขึ้นหลังม้า
สองคนกระตุกบังเหียนออกเดินทางไปที่ท่าเรือริมฝั่ง
เพราะผลจากไฟสงคราม ระยะนี้แม้แต่คนพายเรือข้ามฟากยังต้องสอบถามข้อมูลของลูกค้าอย่างละเอียด
สองคนพยุงซูหังลงจากม้า เคราะห์ดีที่ใบหน้าของซูอี้ยังมีเค้าของคนสกุลซูอยู่หลายส่วน เพียงอ้างว่าต้องการพาบิดาที่ป่วยหนักของตนกลับไปตายรังที่บ้านเกิด คนเรือก็เชื้อเชิญทั้งสามขึ้นไปอย่างกระตือรือร้น
แม่น้ำหมินเป็นเพียงลำน้ำสาขาของแม่น้ำจ้าวที่ไหลลงทางใต้ เพราะแม่น้ำสายตะวันออกจะคดเคี้ยวไหลตรงลงทะเล ระหว่างทางจึงมีจุดที่ไหลมาบรรจบกันอีกหลายแห่ง ปากแม่น้ำกว้างใหญ่ ทุกปีช่วงที่น้ำขึ้นกระแสน้ำจะยิ่งเชี่ยวกราดและอันตราย
เรือลำน้อยกระเด้งกระดอนลอยไป
ซื่อหรงพิงตัวอยู่ในห้องโดยสารที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ ส่วนซูอี้ยืนมือไพล่หลังอยู่ทางหัวเรือ ชื่นชมทัศนียภาพของแม่น้ำตรงหน้า ไร้ซึ่งบทสนทนา
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามเรือก็เทียบฝั่ง ซูอี้ควานหาเงินแล้วจ่ายให้คนเรือ ซื่อหรงทางนั้นก็ไปจูงม้าลงมา
เส้นทางที่เหลือยังคงมีซูอี้เป็นคนนำทาง ซื่อหรงไม่ได้เปิดปากถาม แต่ก็พอเดาออกว่าเขาจะไปที่ใด
พวกเขาควบม้าเร็วต่อเกือบครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงสุสานบรรพชนของสกุลซู
ซูอี้ลงจากม้าอย่างเงียบเชียบ เส้นทางบนเขาเดินลำบาก เขาจึงจูงม้าให้เดินตาม เท้าย่ำผ่านหญ้าที่สูงเหนือเข่าไป
เมื่อก่อนที่แห่งนี้มีคนคอยดูแลโดยเฉพาะ แต่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นับแต่เริ่มศึกที่แนวแม่น้ำหมิน บ่าวไพร่ของสกุลซูคิดว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจจึงแตกกระจายหายไปหมด
สุสานแห่งนี้จึงว่างเปล่าไร้คน แม้มองไปทางใดจะเห็นแต่ทิวทัศน์งามตา ทว่ากลับยิ่งดูเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยว
ซื่อหรงเดินตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซูอี้เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ใช้เวลาสักสองก้านธูป พวกเขาผ่านป้ายศิลาหน้าหลุมศพมากมาย ในที่สุดก็ถึงใจกลางของสุสาน เขาพานางเดินอ้อมผ่านหน้าหลุมศพที่ใหญ่โตที่สุดไป
ขณะเดินผ่านซื่อหรงก็เหลือบมองมีหนึ่ง บนป้ายศิลาสลักว่า ‘ซูกงจิ่นรั่ง’ สี่พยางค์ โดยมีชื่อลูกหลานคือซูหังสลักเอาไว้
ซูอี้เดินมาถึงก็โยนซูหังลงบนเนินดินเล็กๆ ที่เยื้องไปทางด้านหลังของสุสานซูจิ่นรั่ง
ตามธรรมเนียมแล้ว ซูฉีตายไปตั้งแต่อายุยังน้อย เดิมก็ไม่ต้องตั้งป้ายเพื่อให้คนมาจุดธูปคารวะ แต่เพราะเขาเป็นเด็กที่ซูจิ่นรั่งให้ความสำคัญ ถึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากสกุลซู
ซูอี้โยนซูหังลงพื้นค่อนข้างแรง หน้าผากของเขาจึงโขกเข้ากับมุมฐานของป้ายศิลาพอดี
เลือดไหลซึมออกมาทันที ซูหังร้องครวญครางออกมาก่อนจะค่อยๆ รู้สึกตัว
แม้ใกล้จะเข้าเดือนเจ็ดแล้ว แต่พื้นบนเขาก็ยังหนาวเย็น ซูหังตัวสั่นเล็กน้อย คล้ายลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปชั่วขณะ เขาลุกขึ้นมานั่งอย่างมึนงง ครู่หนึ่งกว่าสติจะคืนกลับมา พอมองเห็นสุสานเบื้องหน้ากับซูอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ร่างก็สะท้านด้วยความตกใจ เอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้า…เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?”
“คิดว่าไงล่ะ?” ซูอี้ย้อนถาม สายตาจับจ้องอยู่ที่ไกลๆ ไม่ได้หันมามองเขาเลยสักนิด
ซูหังนั่งอยู่บนพื้น รู้สึกกระสับกระส่ายแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นยืน อารมณ์ในดวงตาสลับเปลี่ยนไปมาไม่หยุด…
ซูอี้ต้องการให้เขาตาย เรื่องนี้เขามั่นใจ เวลานี้จะพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์
ความคิดของซูหังตีกันวุ่น ผ่านไปสักพักก็ได้ยินน้ำเสียงไร้ซึ่งความอ่อนโยนของซูอี้ลอยมา “ได้มาตายที่นี่ เจ้าควรจะพอใจแล้ว แต่ตอนนี้สกุลซูแตกพ่าย คงไม่มีใครมาเก็บศพให้เจ้า”
ซูหังตัวสั่น สีหน้าก็เขียวคล้ำ ก่อนจะยันตัวขึ้นอย่างโซเซ เขาก้าวถอยหลังอย่างระวังตัว แล้วตวาดเสียงดังลั่น “ที่นี่เป็นสุสานของสกุลซู บรรพบุรุษของสกุลซูกำลังเฝ้ามองดูอยู่ เจ้ากล้าแตะต้องข้ารึ? เจ้ามันไร้คุณธรรม ไม่กลัวถูกคนรุมประณามจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหรืออย่างไร?”
“ถูกคนรุมประณาม?” ซูอี้แสยะยิ้มเย็น ก่อนจะเงยหน้ามองเขา เอ่ยอย่างเย้ยหยันว่า “ข้าคงจะชินแล้ว!”
วินานั้น มุมปากของเขากระตุกเป็นรอยยิ้ม แต่สายตากลับเย็นเยือกจนน่าผวา
ซูหังไม่มีเวลาคิดมาก โยนมาดของผู้นำตระกูลทิ้ง แล้วชักเท้าวิ่งหนีตามสัญชาตญาณ
สายตาของซูอี้เย็นวาบแต่เขาไม่ได้ตามไป เพียงยกเท้าเหยียบขวดสุราที่วางอยู่หน้าป้ายหลุมศพของซูฉี
ขวดสุราแตกละเอียด เขายกเท้าขึ้น เลือกเอาเศษกระเบื้องที่คมที่สุดแล้วเตะไปทางแผ่นหลังของซูหังที่กำลังรีบร้อนหนีตาย
ชุดถ้วยสุราตรงนั้นไม่รู้วางอยู่นานเท่าไรแล้ว สุราด้านในถูกลมพัดจนแห้ง บนแผ่นกระเบื้องคล้ายมีผงสีเขียวเทาเกาะอยู่ ไม่แน่ใจว่าใช่ฝุ่นหรือเปล่า
เสียงลมกรีดร้องดังขึ้น ก่อนที่เศษกระเบื้องจะฝังเข้าที่กลางหลังของซูหังพอดี
ฝีเท้าของเขาซวนเซ ล้มฟุบลงบนพื้น
เพราะเศษกระเบื้องไม่ได้ฝังเข้าร่างทั้งแผ่น จึงไม่เห็นเลือดออกมากนัก
ซูหังนอนฟุบบนพื้น เค้นแรงยกมือขึ้นลูบ ก็เห็นว่าเลือดที่ไหลออกมาเป็นสีแดงคล้ำ
“เจ้า…” เขาหันกลับมาด้วยความเคียดแค้น แต่ก็ไม่กล้าขยับอีก
ซูอี้มองเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ เอ่ยว่า “พิษเพียงหยิบมือ แต่พอจะฆ่าคนได้แล้ว ฤทธิ์มันออกเร็วมาก เจ้าคงไม่ตายอย่างทรมานนักหรอก!”
พิษกระจายไปทั่วร่าง ดวงหน้าของซูหังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทา
———————————————–