บทที่ 53.2 ตายตั้งแต่ยังเล็ก (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

อย่างไรเขาก็ยังกลัวตาย คนจึงกระเสือกกระสนลุกขึ้นมา กัดฟันพูดว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? เรื่องตอนนั้นก็ผ่านไปนานมากแล้ว เจ้าฆ่าข้าแล้วจะได้ประโยชน์หรือ? อยากได้อะไรเจ้าพูดมาเลย เลิกแสร้งเล่นไม้นี้กับข้าเสียที ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก!”

ซูอี้มองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่กลับสาวเท้าเดินไปหาม้าที่ทิ้งไว้ไกลๆ

“ซูอี้!” ซูหังขยับเท้าอย่างโซซัดโซเซเพื่อขวางเขา

สองคนประสานสายตาในระยะใกล้ ซูอี้กลับหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าก็รู้ว่าเพราะอะไร ถ้ายังพอมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ก็ไว้หน้าตัวเองบ้างเถอะ!”

“เจ้า…” ซูหังจ้องเขาจนเหมือนมีไฟพุ่งออกจากดวงตา แต่เพราะชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาจึงไม่อาจโอหังได้ดั่งใจ สุดท้ายก็ละความพยายาม สะบัดชายแขนเสื้ออย่างชิงชังแล้วเอ่ยว่า “ต่อให้ตอนนั้นซูฉีไม่ตาย เจ้าก็ไม่มีทางได้เป็นผู้นำตระกูลอยู่แล้ว ข้ายอมรับว่าที่ผ่านมาข้าไร้น้ำใจต่อเจ้า แต่ถ้าซูฉีไม่ตาย คิดบ้างไหมว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาพไหน? ผู้สืบทอดสกุลซูมีได้เพียงคนเดียว เจ้ากับซูหลินมีสิทธิ์ก่อนเขา แต่ตาเฒ่านั่นกลับดื้อรั้นจะดันเขาให้รับตำแหน่ง เมืองหลวงทางนั้นก็เอาแต่ถ่วงเวลาไม่ยอมตอบรับฎีกา เรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อเจ้าไม่รู้เลยรึ? เอาเข้าจริง ถ้าเขาไม่ตาย เจ้ากับซูหลินมีแต่จะต้องหลีกทางให้เขา ข้ายอมรับว่าวิธีของข้าไม่ได้ใสสะอาด แต่ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก นิสัยของปู่เจ้าข้ารู้ดีกว่าใคร ในเมื่อเขาตัดสินใจเลือกเจ้าสาม ย่อมไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเขาได้อีก คิดอีกแง่หนึ่ง อย่างน้อยที่สุด ข้าก็ไม่ได้เอาชีวิตเจ้า!”

“แต่เจ้ากลับทำให้ข้าเป็นคนปลิดชีวิตน้องสาม!” ซูอี้พลันแผดเสียงตอบ น้ำเสียงของเขาทั้งสูงและเสียดแทง สีหน้าแม้จะนิ่งเรียบ แต่เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากกลับฟ้องว่าเขาแทบจะคุมอารมณ์ไม่ไหว

ซื่อหรงที่ยืนฟังด้านข้างอย่างคนไร้ความเกี่ยวข้อง ตอนนี้กลับยืดหลังตรงอย่างไม่รู้ตัว…

นางพอรู้อยู่บ้างว่าซูจิ่นรั่งเป็นคนเยี่ยงไร เขาเป็นคนเข้มแข็งทั้งมีความคิดเป็นของตัวเอง และคนก็ยังกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ปีนั้นเมื่อเขาเลือกซูฉีให้เป็นผู้สืบทอด หากฮ่องเต้ปฏิเสธเพราะอ้างเรื่องลำดับอายุ เขาคงหาทางปูทางให้หลานชายของตน และอาจทำเรื่องสุดขั้วอะไรออกมาก็เป็นได้

และการตายของซูฉี…

จนถึงตอนนี้ กระทั่งฮ่องเต้เองก็ยังคิดว่าเป็นฝีมือของซูหัง แล้วป้ายความผิดให้กับซูอี้

ทว่าซูอี้กลับบอก ว่าเขาเป็นคนฆ่าซูฉี?

นัยน์ตาของซูหังมีความรู้สึกผิดพาดผ่าน แต่ก็ยังเอ่ยเสียงแข็งว่า “คนไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าดินลงทัณฑ์ทำลาย ถ้าวันนั้นเจ้าเลือกเป็นหินรองฝ่าเท้าให้คนอื่นเตะเล่น วันนี้เจ้าจะได้มายืนถามข้าอยู่ตรงนี้อยู่ไหม?”

“คนไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าดินลงทัณฑ์ทำลายงั้นรึ!” ซูอี้ข่มตาลงแน่น และตอนที่เขาลืมตาอีกครั้งกลับมีความเย็นชาซ่อนอยู่ เอ่ยเสียงเข้มน่ากลัวว่า “วันนี้โอกาสของข้ามาถึง เจ้าตกเป็นหินรองฝ่าเท้าของข้าบ้าง ก็คงไม่รู้สึกไม่เป็นธรรมสินะ”

เรื่องเก่าในปีนั้น เขาไม่เคยเอ่ยถึง แต่ก็ไม่เคยลืมมันได้ลง

ตอนนั้นเขายังเด็ก แต่ภายหลังพอได้เข้าใจตลอดชีวิตที่ผ่านมาของซูจิ่นรั่ง…

เขายอมรับ ซูหังพูดไม่ผิด ถ้าตอนนั้นฮ่องเต้ไม่ยอมให้ซูฉีขึ้นเป็นผู้สืบทอด ซูจิ่นรั่งคงเลือกใช้วิธีอื่นมาผลักดันเรื่องนี้

แต่เขาทนรับไม่ไหว ที่ซูหังยืมมือเขาให้ส่งขนมอาบยาพิษให้กับซูฉี

แม้ว่าจะเป็นแผนที่คนอื่นวางเอาไว้ แต่คนก็ตายด้วยน้ำมือเขา ตายอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ

ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์และอำนาจ มีเพียงสายเลือดที่เชื่อมกันไว้ หลังจากบิดาสิ้นไป นั่นเป็นน้องชายเพียงคนเดียวที่เขาร่วมประคับประคองมาตลอด แต่ว่า…

เพราะความเลินเล่อชั่วขณะของเขา กลับฆ่าน้องจนตายด้วยมือตัวเอง!

หลายปีที่ผ่านมา เรื่องนี้กลายเป็นฝันร้ายที่ติดอยู่ในใจเขา ทุกครั้งที่นึกถึงก็เหมือนโดนมีดกรีดลงกลางใจ

แม้พยายามจะสะกดอารมณ์ แต่นัยน์ตาของเขากลับมีความรวดร้าวให้เห็นอย่างชัดเจน

ซูหังจะพูดต่อ แต่เห็นท่าทางเขาแล้วก็ไม่กล้าขยับ พิษในร่างค่อยๆ ออกฤทธิ์ ความเจ็บปวดบีบรัดจนยากจะทานทน เขาทรุดตัวคุกเข่ากับพื้น มือก็กดท้องเอาไว้

“ใช่แล้ว เป็นข้าที่ฆ่าน้องสามกับมือ เป็นข้าที่ฆ่าซูหลิน เป็นข้าที่ฆ่าเจ้า แม้แต่ท่านปู่…ก็ถูกข้าทำให้โมโหจนตาย” ผ่านไปเนิ่นนาน ซูอี้ก็หัวเราะออกมาอย่างไร้เหตุผล พลางก้มหน้ามองเขา เอ่ยว่า “พวกเจ้าสกุลซู ถึงตอนนี้ล้วนถูกข้าสังหารจนสิ้น เจ้าเป็นคนผลักข้าให้เดินเส้นทางนี้เอง ถือว่าเจ้าจะได้ตายอย่างมีค่า ไม่ต้องเสียใจอะไรอีกแล้ว”

“เอายาแก้พิษมาให้ข้า!” ซูหังเค้นเสียงลอดฟัน ทั้งที่รู้ว่าความหวังมีเพียงนิด แต่ก็ยังเอ่ยเสียงแข็งต่อ “ฟ้าดินเป็นธรรม พวกเราล้วนเป็นครอบครัวของเจ้า ไม่กลัวกรรมตามสนองหรือไง?”

“กรรมตามสนอง?” ซูอี้แสยะยิ้ม เดินต่อไปแล้วหยิบถุงใส่เหล้าลงมาจากบนหลังม้า ก่อนจะดึงจุกออก

เขาหมุนตัวเดินกลับมา เอนพิงป้ายสุสาน เงยหน้ากระดกเหล้าใส่ปากของตน จากนั้นก็เทสุราราดลงบนหลุมฝังศพของซูฉี มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “พวกเจ้าใครรู้สึกว่าต้องตายอย่างไม่เป็นธรรม ก็มาหาข้าได้เลย กรรมสนองอะไรนั่น ข้าจะรับไว้ให้หมด!”

“อี้เอ๋อร์…” น้ำเสียงของซูหังสั่นเครือ อยากจะคลานเข้าไปดึงชายเสื้อเขาแต่กลับขยับตัวไม่ไหว ได้แต่เอ่ยอย่างน่าสังเวช “…ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้แล้วว่าข้าทำผิด ตอนนั้นข้าถูกผีสางเข้าสิง อยากได้ตำแหน่งผู้สืบทอดแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น สติข้าเลอะเลือน ถูกลาภยศครอบงำจนตามืดบอด แต่ตอนนี้ข้าได้รับกรรมที่ก่อเอาไว้แล้ว สกุลซูตกต่ำถึงเพียงนี้ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นของเจ้าทั้งหมดแล้ว เจ้าจะฆ่าคนอีกทำไม? ฆ่าข้าแล้ว เจ้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จะทำไปเพื่ออะไรเล่า?”

“เจ้าจะหน้ามืดตามัวเพราะลาภยศหรือจะถูกผีสางเข้าสิงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ถ้าจะผิดก็ผิดที่เจ้าหลอกใช้ข้าให้กำจัดขวากหนามของตัวเอง” ซูอี้กล่าว สายตาเย็นชาไร้ซึ่งความเมตตา ความเย็นเยียบกลบกลืนความเคียดแค้นจนมองไม่เห็น

ซูหังขดกายอยู่บนพื้น ตัวสั่นไม่หยุด ซูอี้ไม่ได้มองเขา และไม่สนใจจะเห็นความจนตรอกของเขาสักนิด

“หลายปีที่เสพสุขบนอำนาจเงินทอง ชีวิตนี้เจ้าได้ใช้มันจนคุ้มค่าแล้ว” ซูอี้กล่าวออกมาเนิบนาบ

เขายืดตัวยืนตรง เทสุราที่เหลือในถุงลงพื้นหน้าหลุมศพจนหมด จากนั้นก็สาวเท้าจากไปโดยไม่อาลัยซูหัง

“ที่เจ้าติดค้างข้า ข้าจะเอาคืนมา ข้าไม่ต้องการการสารภาพบาปของเจ้า ถ้าเจ้าอยากจะพูดจริงๆ ก็อยู่ที่นี่แล้วพูดให้คนที่ต้องการฟังไปเถอะ”

——————————————————–