Ch.177 – หนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์

Provider : Muntra

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.177 – หนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์

 

ฉินเฟิงเริ่มสื่อสารภายในความคิด

 

‘เสี่ยวไป๋ เห็นแสงวิบวับออกมาจากผ้าคลุมเมื่อกี้ไหม?’

 

‘ไม่’ ไป๋หลีตอบกลับ สายตาของเธอตกลงบนผ้าคลุมอยู่พักหนึ่ง คล้ายกำลังตรวจสอบอย่างละเอียด

 

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของฉินเฟิง แสงสว่างที่ว่านั่นกลับค่อยๆเรืองรองขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ

 

‘เสี่ยวไป๋ พูดออกไปว่าอยากจะแลกเปลี่ยนแต้มสงครามกับผ้าคลุมไหล่นี้’

 

ไป๋หลีเป็นคนสุดท้ายที่โค่นราชันย์สัตว์ร้าย และลงมือบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นแม้แต้มคะแนนหลังจบสงครามของเธอจะไม่สูงเท่ากับของฉินเฟิง แต่มันมีมากกว่า 80,000 แต้ม

 

ไป๋หลีถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมฉินเฟิงต้องการให้พูดแบบนั้น แต่เธอก็ยินดีทำตาม “ที่รัก ของชิ้นนี้ดูสวยจัง ฉันอยากได้มัน”

 

ฉินเฟิงมองไป๋หลีด้วยความชื่นชม อีกฝ่ายหาเหตุผลได้ดีจริงๆ เมื่อถูกเอ่ยขอ เขาก็ตอบรับอย่างใจเย็น “ถ้าเธอชอบ ก็แลกเปลี่ยนกับมันเถอะ ว่าแต่มีแต้มพอรึเปล่า ถ้าไม่ ใช้ของฉันได้นะ”

 

ไป๋หลียกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา ปัดๆมัน ก่อนจะเริ่มสแกน รายละเอียดของวัตถุตรงหน้าปรากฏขึ้น

 

พบว่ามันเป็นอุปกรณ์ผ้าคลุมฝึกฝนแบบพิเศษชนิดหนึ่ง เมื่อสวมใส่จะสามารถช่วยเสริมพลังสมาธิได้เล็กน้อย แต่ด้วยเหตุผลทางรูปลักษณ์ของมันที่ไม่เหมาะสำหรับการต่อสู้ และง่ายต่อการถูกทำลาย เลยกลายเป็นเหตุผลให้มันถูกทิ้งอยู่ที่นี่

 

ส่วนราคาแลกเปลี่ยน ตั้งไว้อยู่ที่ 65,000 แต้มสงคราม!

 

“ฉันจะแลกมันเอง!” ไป๋หลีกดคลิกเพื่อแลกเปลี่ยนโดยตรงทันใดนั้นกระจกใสที่คอยขวางกั้นผ้าคลุมก็เปิดออก ไป๋หลีเก็บผ้าคลุมเข้าสู่พื้นที่มิติของเธอ

 

หัวใจของฉินเฟิงยิ่งมายิ่งเต้นครึกโครม เพราะเขารับรู้ได้ว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นไม่ธรรมดา

 

ในทางกลับกัน ชิหลงที่อยู่ข้างๆดูจะไม่สนใจสักนิด เขาคิดเพียงว่าไป๋หลีนี่ช่างเอาแต่ใจ เลือกแลกเปลี่ยนกับอะไรที่ไม่มีประโยชน์เลย

 

“ไปที่ชั้นสามกันต่อเถอะ” ฉินเฟิงกล่าว

 

“ได้เลย บนชั้นสามนี่แหละ ที่ถือว่าเป็นคลังเก็บสมบัติของจริง” ชิหลงหัวเราะ

 

ว่าจบเขาก็เดินนำฉินเฟิงขึ้นไปบนชั้นสาม เมื่อมาถึงที่นี่ เจ้าตัวก็พบว่าตู้กระจกภายในชั้นนี้มีเยอะมากๆ แต่จำนวนสิ่งของที่ใส่อยู่ข้างในกลับมีน้อยนิด เหมือนจะขาดหายไปมาก

 

แม้ว่าระดับสูงของเมืองฟูเฉิงล้วนเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล D แต่ที่จริงแล้วมันก็แทบจะนับจำนวนด้วยนิ้วมือได้ ดังนั้นหากอิงตามปริมาณ ผู้ที่กุมขุมกำลังสูงสุดจะเป็นผู้ใช้พลังในเลเวล E

 

แต่ผู้ใช้พลังเลเวล E หากคิดหมายล่าสัตว์ร้ายระดับนายพลหรือราชันย์ในเลเวลเดียวกัน มันคงจะเป็นเรื่องยากเกินไป นี่เองคือหนึ่งในเหตุผลหลักที่ของในชั้นสามมีอยู่น้อยนิด

 

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง เกรงว่าของส่วนใหญ่ในชั้นนี้ จะถูกแลกเปลี่ยนไปแล้วโดยเทศมนตรีเมืองหรือพวกนายพล ดั่งสำนวน ‘เนื้อถูกหยิบไปกินหมดแล้ว หลงเหลือเพียงเศษน้ำซุปนิดๆหน่อยๆ’

 

ฉินเฟิงหันไปมองรอบๆ และไม่นานก็พบกับสิ่งที่เขาต้องการ

 

“ทักษะลับอบิลิตี้ : เทคนิคมังกรไฟ”

 

“เจ้าสิ่งนี้มัน … ไม่คิดเลยว่าที่เมืองฟูเฉิงก็มีด้วย!” ฉินเฟิงมองม้วนหนังสัตว์สีแดงเพลิงที่วางอยู่เบื้องหลังกระจกแก้ว

 

พัฒนาการในด้านยกระดับของฉินเฟิงรวดเร็วเป็นอย่างมาก ก็เพราะความช่วยเหลือของศิลานรก ที่หลอมละลายรูนไฟ ช่วยให้เขาสามารถใช้งานมันได้

 

ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉินเฟิงจะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล E แล้วก็ตาม แต่พลังสมาธิของเขายังไปไม่ถึงเลเวล E —มีเพียงผู้ใช้พลัง ที่ครอบครองพลังสมาธิเลเวล E เท่านั้น จึงจะสามารถใช้กระบวนท่าเปลวเพลิงที่รุนแรง กระทั่งสามารถทำลายล้างสวรรค์และปฐพีแบบนี้ได้

 

อย่างกระสุนปืนใหญ่ของชิหลงที่ยิงออกไปก่อนหน้านี้ ที่ใช้ระเบิดรังมดเหล็กดำ สังหารแมลงสัตว์ร้ายกว่า 40,000 ตัวในลมหายใจเดียว ที่อีกฝ่ายใช้มันได้ก็เป็นเพราะเขาอยู่ในเลเวล E เช่นเดียวกับที่อธิบายไปข้างต้นนั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม อำนาจทำลายล้างของผู้ใช้อบิลิตี้ย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่าของมือปืนอย่างแน่นอน!

 

และสิ่งที่ฉินเฟิงขาดหายไป มันก็คือท่าโจมตีที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้อบิลิตี้!

 

แต่เนื่องจากรูนอบิลิตี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมมันได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเลยไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกฝน การจะใช้ท่าอบิลิตี้ที่ทรงพลังจนเชี่ยวชาญ จำเป็นต้องใช้ศึกษาจนเข้าใจเป็นระยะเวลา 3 – 5 ปี

 

แต่ในชั้นสามแห่งนี้ นอกจากเทคนิคมังกรไฟแล้ว มันยังมีเทคนิคอื่นๆในส่วนของเลเวล E อย่าง เทคนิคแมกมา , เทคนิคจุดประกาย ฯลฯ

 

ซึ่งการดำรงอยู่ที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่สิ่งที่เงินสามารถซื้อได้

 

“ผมต้องการมัน!”

 

ฉินเฟิงยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาสแกน และพบว่าทักษะลับที่เขาต้องการ มีมูลค่ามากถึง 350,000 แต้มสงคราม!

 

“อันที่จริงผมต้องการใช้แต้มแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบราชันย์สัตว์ร้ายบางอย่าง เพื่อนำไปสร้างอุปกรณ์รูน แต่ดูเหมือนว่าอดซะแล้ว” ฉินเฟิงกล่าว แต่สีหน้าของเขากลับดูมีความสุขมาก

 

เพราะเทคนิคมังกรไฟเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก

 

“ไม่หรอก น้องชายตัดสินใจได้ฉลาดและถูกต้องแล้ว เทคนิคมังกรไฟคือทรัพยากรล้ำค่าของเมืองเรา ถ้าไม่ใช่เพราะเมืองของเราไม่มีทักษะธาตุไฟที่แข็งแกร่ง ก็คงไม่กล้าจะพาน้องชายมาดูหรอก” ชิหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

หลังจากที่ฉินทำการแลกเปลี่ยน เขาก็ยังเหลือแต้มสงครามอยู่อีกกว่า 40,000 แต้ม ส่วนไป๋หลีเหลือ 20,000 รวมกันเป็น 60,000 ทั้งสองใช้มันแลกเปลี่ยนกับสินค้าพิเศษของเมืองฟูเฉิง –เป็นน้ำผึ้งเรืองแสง

 

เจ้าสิ่งนี้เกิดจากแมลงสัตว์ร้ายเลเวล E ขนาดเล็ก ที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นพิเศษบนภูเขา และภรรยาของผู้นำเมืองฟูเฉิงได้ทำสัญญากับผึ้งเรืองแสงระดับนายพลสัตว์ร้าย นี่เองคือวิธีการได้รับน้ำผึ้งมา

 

น้ำผึ้งขวดหนึ่งมีขนาดไม่ใหญ่กว่า 1 นิ้วมือ ต้องใช้แต้มมากถึง 2,000 แต้ม แต่ผลลัพธ์ก็ทรงประสิทธิภาพสมราคาเช่นกัน มันสามารถช่วยฟื้นฟูพลังสมาธิของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าผู้ใช้อบิลิตี้ในเมืองฟูเฉิงจะมีน้อย แต่มีมือปืนอยู่เยอะมากๆ น้ำผึ้งที่ว่า มันช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนที่ร่ำรวยเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

 

ฉินเฟิงแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ชิหลงเองก็เหมือนกัน เขาได้ทำการแลกเปลี่ยน 3 กระสุนปืนใหญ่ 300,000 แต้มสงครามหายวับไปในพริบตา จากนั้นก็แลกเปลี่ยนกับกระสุนขนาดเล็กบางส่วน มาเติมใส่ในพื้นที่มิติของตัวเอง

 

มือปืนที่ช่างเป็นอาชีพที่ฟุ้งเฟ้อโดยแท้!

 

กลับมาที่โรงแรม ฉินเฟิงแทบทนรอไม่ไหวให้ไป๋หลีนำผ้าคลุมไหล่ออกมา

 

ส่วนล่างของผ้าคลุมไหล่รูปทรงสามเหลี่ยม มีหยกขาวที่คล้ายกับเพชรประดับอยู่ ในสายตาของฉินเฟิง มันกำลังส่องประกายอย่างต่อเนื่อง

 

นิ้วของเขายื่นไปสัมผัสกับมัน แต่พบว่าไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ

 

เจ้าตัวจึงเกิดความคิด ปลดปล่อยพลังสมาธิลงบนหยกขาว

 

ตูม!

 

ในเสี้ยววินาที ฉินเฟิงรู้สึกแค่เพียงจิตสำนึกของตนเอง ถูกโยนเข้าสู่เขาวงกตขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยกำแพงหยกขาว เบื้องหน้าของเขาเป็นทางเดินยาว ทอดตรงออกไป โดยมีหยกชิ้นมหึมาตั้งอยู่สุดทาง

บนชิ้นส่วนหยกขนาดใหญ่ สลักเอาไว้เพียงสี่คำ

 

“神意图谱” (หนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์)

วินาทีต่อมา ข้อความพิเศษก็ปรากฏขึ้นในใจของฉินเฟิง แต่เขาสามารถเข้าใจมันทั้งหมดได้ในทันที

 

“เจ้าสิ่งนี้ มันคือทักษะฝึกฝนพลังสมาธิที่สามารถไปได้ถึงเลเวล S อย่างงั้นหรือ?”

 

ฉินเฟิงตกใจ เพราะกล่าวอีกนัยนึงก็คือ หนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์นี้ มันเทียบเท่าได้เลยกับการดำรงอยู่ของทักษะลับกลืนดารา

 

เขาสามารถคว้าโชคลาภก้อนใหญ่ได้ เพราะประสบการณ์จากในชีวิตก่อนหน้าอีกครั้ง!

 

อย่างไรก็ตาม คิ้วของฉินเฟิงเริ่มขมวดมุ่น

 

“กลุ่มฮงรีจะเผชิญหน้ากับฟูเฉิงในอีก 3ปีต่อจากนี้ ซึ่งเภทภัยมีต้นเหตุมาจากหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ ที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มฮงรี แต่ตอนนี้เภทภัยที่ว่าตอนนี้ดันมาอยู่กับฉัน …. ”

 

แต่แล้ว คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาก็คลายลง

 

“ในชีวิตก่อนหน้า ใช้เวลาแค่ 10 ปีฉันก็สามารถไปถึงเลเวล A ได้ แต่ตอนนี้ ขอแค่ 3 ปี ฉันก็ไปถึงเลเวล A ได้แล้ว ไหนจะเรื่องที่ฉันครอบครองความเข้มข้นของพลังสมาธิระดับสวรรค์โปรดปรานอีก หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่เห็นต้องหวาดกลัวอะไรพวกกลุ่มฮงรีเลย!”

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ ดวงตาของฉินเฟิงก็กลายเป็นหนักแน่นมั่นคง

 

สิ่งที่อยู่ในมือของเขา จะไม่อนุญาตให้ใครคนอื่นปล้นมันไปได้

 

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือการศึกษามันจนเชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง

 

พลังสมาธิของฉินเฟิงเริ่มขยายออก สำรวจภายในหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์

 

แล้วไม่นานเขาก็พบกับปลายทาง ที่แยกออกเป็นสามทางปรากฏขึ้น

 

ฉินเฟิงพยายามปล่อยพลังสมาธิของเขาไปทางซ้าย แต่ก็ถูกดีดตีกลับมา พอลองปล่อยไปทางขวา ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม

 

ภายนอกจิตสำนึก บนหน้าผากของฉินเฟิงเริ่มเกิดริ้วรอยขึ้น แต่มันก็คลายลงในเวลาต่อมา ขณะเดียวกัน ผ้าคลุมหยกเบื้องหน้าเขา ที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ ตัวหยกก็เริ่มเรืองแสงขึ้นจากเดิมเป็นสามชิ้น

 

ภายในจิตสำนึกของฉินเฟิง พลังสมาธิแตกออกเป็นสามสาย แยกย้ายกันไปตามสามทางแยกตามลำดับ ในครั้งนี้ไม่มีการดีดกลับแต่อย่างใด ฉินเฟิงสามารถผ่านสิ่งกีดขวางนี้ไปได้อย่างง่ายดาย

 

หลังจากผ่านสามช่องทางนี้ไป เขาก็พบกับทางแยกเบื้องหน้า ที่ทุกสายแบ่งเพิ่มออกเป็นอีกสามทิศทาง …