รถค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าจอดช้าๆ ไม่ไกลจากพวกเขา อาจารย์หม่ารีบเดินเข้าไปหาก่อนที่จะมีคนเดินลงมาจากบนรถทหารคันนั้น 

 

 

พวกเขาสวมชุดทหารที่ดูประณีตเป็นระเบียบ สวมหมวกหม้อตาลไว้บนศีรษะแลดูมีประกายเก่งกล้าฉายออกมา 

 

 

เมื่อลองเทียบกับหมวกเบเรต์ของพวกเขา แล้วก็ชุดแขนยาวลายพรางสีเทาครามนี้แล้วก็ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ 

 

 

รวมทั้งสิ้นแปดคน คงจะเป็นครูฝึกหนึ่งคนต่อนักเรียนหนึ่งห้องเรียน 

 

 

มีคนหนึ่งเป็นผู้นำทีม อีกเจ็ดคนที่เหลือวิ่งอย่างเป็นระเบียบมาข้างหน้าก่อนจะหยุดยืนอย่างเรียบร้อยตรงหน้าพวกเขา 

 

 

“นับจำนวน” คนที่เป็นผู้นำคนนั้นพูดขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน 

 

 

“หนึ่ง สอง สาม…” 

 

 

เดิมทีสนามกีฬาที่โล่งกว้าง ตอนนี้มีเสียงของพวกเขาดังสะท้อนก้องไปทั่วสนามกีฬาไม่หยุด ทำเอาเหล่านักเรียนที่เมื่อครู่หมดแรงตัวอ่อนยืดตัวตรงได้สติขึ้นมาในทันที 

 

 

ซึ่งพลังแบบนี้มันสามารถแพร่กระจายไปถึงคนรอบข้างได้ 

 

 

มีครูฝึกคนหนึ่งที่รูปร่างค่อนข้างอ้วนหน่อยที่พอจะมองเห็น ตอนนี้ตามเนื้อตามตัวเขาเปียกโชกไปหมดแล้ว ดูเหมือนไอ้อากาศบ้านี่ไม่ได้มีแค่พวกเขาที่รับมือไม่ไหว ครูฝึกก็ได้รับผลกระทบจากมันเหมือนกัน 

 

 

แบบนี้ก็ดีเหมือนกันในเมื่อครูฝึกพวกนี้ร่างกายก็ไม่ได้ทำจากเหล็กสักหน่อย ถ้าเกิดพวกเขารู้สึกร้อนทนไม่ไหวขึ้นมาก็น่าจะเข้าใจผ่อนปรนให้พวกเขาได้ไม่ยาก เดี๋ยวคงจะให้พวกเขาได้พักเอง 

 

 

คนที่เป็นผู้นำคนนั้นเริ่มแบ่งหน้าที่โดยการเรียกชื่อออกมาสองสามคนก่อนจะให้พวกเขาเริ่มเลือกทีม 

 

 

ครูฝึกเหล่านั้นหลังจากที่เลือกห้องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบเรียบร้อยแล้วก็นำทีมของตัวเองแยกออกไปตามมุมของสนามกีฬา ดูเหมือนจะแยกออกไปเพื่อทำความรู้จักคุ้นเคยกันก่อน 

 

 

สุดท้ายก็เหลือแค่คนที่เป็นผู้นำทีมเมื่อครู่นี้ อันที่จริงชุยหังก็แอบสงสัยเพราะพวกเราอยู่ห้องสามและคนๆ นี้เป็นถึงผู้นำทีมไม่ควรจะดูแลพวกห้องหนึ่งหรือห้องสุดท้ายหรอกหรอ 

 

 

สุ่มเลือกเอาห้องสามแบบนี้เรียกว่าบังเอิญ?  

 

 

กลุ่มห้องอื่นๆ ถูกเหล่าครูฝึกพาแยกออกไปตามมุมสนามที่ดูอากาศจะเย็นขึ้นมาหน่อย แต่ครูฝึกคนนี้ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง 

 

 

“ทั้งหมดแถวตรง ตามระเบียบพัก!” 

 

 

ดูเหมือนว่าเขาอยากจะอบรมอยู่ตรงนี้เลย ไม่มีท่าทีที่จะให้ออกจากตรงนี้เลยแม้แต่นิด 

 

 

ชุยหังได้แต่กลอกตาขาวไปมา หมดกัน ดันมาสุ่มได้ครูฝึกคนนี้ ทั้งๆ ที่มีที่เย็นๆ สบายอยู่แท้ๆ แต่กลับให้พวกเขาโดนเผาอยู่ใต้แสงแดดร้อนแรงแบบนี้ 

 

 

“สวัสดีทุกคน ผมชื่อหลูจื้อ นับแต่นี้ไปจะเป็นครูฝึกของพวกคุณ ต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับพวกคุณเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าภายในระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ผมจะไม่ได้เห็นว่าพวกผู้ชายอย่างพวกคุณแสดงศักยภาพได้แย่ยิ่งกว่าพวกผู้หญิง” 

 

 

เสียงของครูฝึกก้องดังกังวาน แต่ว่าทำไมชุยหังถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงนี้มันฟังดูคุ้นหูยังไงชอบกล 

 

 

เดิมทีส่วนสูงของเขาก็ไม่ได้สูงมากและเพื่อตั้งใจจะหลบพวกครูฝึกเขาถึงได้จงใจมายืนอยู่แถวด้านหลัง เพราะแบบนี้เขาก็เลยมองไม่เห็นท่าทางของครูฝึกเลย 

 

 

“หลังจากการฝึกทหารตลอดเวลาครึ่งเดือนนี้สิ้นสุดลง ตอนช่วงเปิดภาคเรียนพวกคุณจะต้องเดินสวนสนาม นี่ก็นับอยู่ในหน่วยกิตแรกที่พวกคุณต้องทำในการเริ่มเปิดภาคเรียน ดังนั้นทางที่ดีให้พวกคุณทุกคนรู้ตัวเอง อย่าให้ผมรู้ว่าพวกคุณไปทำตัวเอ้อระเหยไปวันๆ ได้ยินหรือยัง” 

 

 

สี่คำสุดท้ายนี้จู่ๆ เขาก็ทำโทนเสียงสูงขึ้นยิ่งทำให้ทุกคนได้สติขึ้นมา 

 

 

“ได้ยินแล้วครับ” เสียงคนขานรับออกมาดังเป็นหย่อมๆ 

 

 

“ตอนเที่ยงไม่ได้กินข้าวมาหรือไง ได้ยินชัดเจนหรือยัง” หลูจื้อถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ได้ยินแล้วครับ!” คราวนี้ทุกคนต่างพากันพร้อมแรงพร้อมใจกันตะโกนขานรับขึ้นมา 

 

 

ชุยหังที่แอบๆ ขี้เกียจอยู่ด้านท้ายแถว ในใจมีแค่ประโยคที่ว่า…พระเจ้าร้อนชิบหาย 

 

 

“พวกนายมีหัวห้องหรือเปล่า” หลูจื้อถามขึ้น 

 

 

“ครูฝึกครับ ผมครับ” โจวเฉวียนตะลึงหน่อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นพูด 

 

 

“ไม่ต้องยกมือ เวลาตอบคำถามครูฝึกต้องพูดว่ารายงานผู้ฝึกสอน นายต้องออกมาพูดนอกแถว โดยที่นายต้องวิ่งออกมาจากด้านในแถวมาหยุดยืนตรงอยู่ด้านข้างแถวก็พอแล้ว” หลูจื้ออธิบายให้พวกเขาเข้าใจกฎระเบียบ