“รายงานผู้ฝึกสอน ผมครับ” โจวเฉวียนเข้าใจในทันที 

 

 

“ออกนอกแถว” 

 

 

“รับทราบครับครูฝึก” โจวเฉวียนทำตามที่หลูจื้อพึ่งจะอธิบายไปเมื่อครู่นี้ โดยวิ่งออกมาตามทางแคบๆ ระหว่างแถวก่อนจะหยุดอยู่ข้างๆ ของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของแถว 

 

 

“จัดระเบียบแถว” หลูจื้อพูดขึ้น 

 

 

โจวเฉวียนนิ่งงงงวยไป จัดระเบียบแถว? 

 

 

ทุกคนต่างพากันหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จัดระเบียบแถวอะไร 

 

 

หลูจื้อมองใบหน้ามึนงงของโจวเฉวียนก่อนจะพูดต่อ: “ทั้งหมดจัดระเบียบแถวแบ่งเป็นสี่แถว คนตัวเล็กมายืนด้านหน้าสุด” 

 

 

ตัวเล็กยืนด้านหน้า? นี่มันวิธีการจัดระเบียบแถวแบบไหนกัน 

 

 

ปกติแล้วควรจะเป็นคนตัวโตอยู่ด้านหน้าสุดแล้วเรียงตามลำดับไหล่ถอยหลังไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หรอ 

 

 

หลูจื้อคนนี้ดูแล้วไม่ธรรมดาเลยจริงๆ  

 

 

โจวเฉวียนเข้าใจทันทีจึงรีบตอบรับคำสั่ง: “รับทราบครับ” 

 

 

ดูจากในรายการทีวีเกี่ยวกับทหารมาไม่น้อยก็พอจะรู้ว่าต้องตอบรับคำสั่งครูฝึกสอนยังไง 

 

 

จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับทุกคนต่อว่า: “ตามที่ครูฝึกออกคำสั่งเมื่อครู่ให้ทุกคนแบ่งเข้าแถวเป็นสี่แถว ตัวเล็กยืนด้านหน้าสุด คนตัวสูงเรียงตามลำดับถอยไปด้านหลัง” 

 

 

ทุกคนต่างพากันเดินก้าวย่างอย่างอืดอาดยืดยาดเพราะตอนนี้อากาศมันร้อนมากจริงๆ 

 

 

“ให้เร็วกว่านี้หน่อย ทำไมถึงทำตัวอย่างกับพวกผู้หญิงกันทั้งกลุ่มเลย” หลูจื้อพูด 

 

 

เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พากันเร่งความเร็วขึ้นทันที อากาศก็ร้อนขนาดนี้แถมตอนนี้ก็พึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่าวันเวลาหลังจากนี้คงจะผ่านไปไม่ได้ง่ายๆ แน่ 

 

 

เดิมทีชุยหังยังอยากจะแอบๆ ยืนหลบอยู่ข้างหลังแต่เพียงไม่นานก็ถูกคนคว้าถูกเบียดออกมาแล้ว 

 

 

คนที่ส่วนสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบ แน่นอนว่าต้องเป็นหนึ่งในสี่คนที่ต้องยืนอยู่คนหน้าสุดของแถวใดแถวหนึ่งอย่างแน่นอนที่สุด 

 

 

คนที่ยืนอยู่ข้างเขาก็คือเพื่อนจากบ้านเกิดอย่างเหลียงจื้อนั่นเอง พอเขาเห็นว่าชุยหังเองก็ถูกลากเปลี่ยนมาไว้ข้างหน้าเหมือนกันก็พากันหัวเราะคิกคักอยู่สองคน 

 

 

“สองคนนั้นน่ะ พวกนายหัวเราะอะไร ตัวเตี้ยนี่น่าภูมิใจ?” หลูจื้อพูดออกมาหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดมาก 

 

 

ชุยหังถึงกับทอดถอนใจ ครูฝึกคนนี้เข้มงวดมากจริงๆ  

 

 

เขาเงยหน้ามองหลูจื้อพักหนึ่งและหลูจื้อก็กำลังมองที่เขาอยู่เหมือนกัน 

 

 

หลังจากที่เห็นใบหน้าค่าตาของหลูจื้อแล้ว ชุยหังเกือบจะทรุดลงกับพื้น 

 

 

โลกนี้มันแคบ โลกใบนี้มันช่างแคบมากจริงๆ 

 

 

ที่แท้หลูจื้อคือคนนั้นที่เจอกันวันที่เขามาเตรียมรายงานตัวล่วงหน้าวันแรก หลังจากวิ่งลงจากรถโจรคันนั้น พี่ทหารที่นั่งอยู่บนรถทหารคันนั้น 

 

 

แต่ว่าการแต่งตัวของหลูจื้อวันนี้ยิ่งทำให้ดูฉายแววความหล่อเหลามากเพิ่มขึ้นไปอีก 

 

 

ส่วนชุยหังกลับสวมกางเกงขายาวเกินตัว แถมบนหัวยังสวมหมวกใบสีเขียวอื๋อไว้ด้วย ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูน่าเกลียดในน่าเกลียด 

 

 

นัยน์ตาของหลูจื้อพลันเปล่งประกายขึ้นมาดูเหมือนว่าจะจำชุยหังขึ้นมาได้เหมือนกัน 

 

 

ชุยหังหลับตาลงพลางคิดในใจว่าตายแน่ ดูท่าทางแล้วเขาไม่ใช่แค่ไม่ลืมแต่ดูเหมือนความจำของเขาจะดีมากๆ เลยด้วย เขาจะต้องนึกถึงตัวเองขึ้นมาได้แล้วแน่ๆ เลย 

 

 

แถมตอนนั้นตัวเองยังพูดจาแบบนั้นกับเขาออกไปด้วย บอกว่าขอบคุณเขาแทนพ่อแทนแม่และครอบครัวอะไรทำนองนั้น 

 

 

ถ้าหากว่าเขาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ตัวเองต้องแย่แน่ๆ เลย 

 

 

โดยทั่วไปแล้วคนที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาแบบนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะจิตใจคับแคบ 

 

 

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางถามออกไปตรงๆ แน่ว่าเขาจำตัวเองได้ใช่ไหม 

 

 

เพราะคำถามแบบนี้มันเหมือนกับการแกว่งเท้าหาเสี้ยน เขายังไม่อยากตายตอนนี้ 

 

 

โถ่สวรรค์จ๋า ผืนดินจ๋า ใครกันที่ปล่อยให้พี่ชายคนนี้ก้าวเข้ามาเหยียบแผ่นดินผืนนี้เนี่ย 

 

 

ทั้งๆ ที่มีห้องตั้งหลายห้องเรียนทำไมเขาไม่เลือก แล้วทำไมต้องเลือกห้องของพวกเขาเท่านั้นด้วยนะ แล้วแถมยังให้คนตัวเล็กมายืนข้างหน้าอีก 

 

 

หลูจื้อก้าวออกมาข้างหน้าก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าชุยหังในระยะประชิด 

 

 

ชุยหังแอบได้กลิ่นเหงื่อแบบผู้ชายจางๆ ลอยออกมาจากตัวเขา มันทำให้รู้สึกปลอดภัยมากเมื่ออยู่ใกล้ 

 

 

“นายชื่ออะไร” จู่ๆ หลูจื้อก็ถามขึ้น 

 

 

ชุยหังกำลังคิดว่ามาตอนนี้เขาถามชื่อตนเองเพื่อที่ต่อไปนี้จะได้ลงมือแก้แค้นได้สะดวกๆ หรือเปล่านะ? 

 

 

ในเมื่อคะแนนการฝึกทหารของตนเองเขาก็เป็นคนให้คะแนน 

 

 

เพียงแค่ตนเองทำอะไรให้เขาไม่พอใจแม้แต่นิดเดียวก็คงจะสามารถหักลบคะแนนได้ทุกที่ตามใจชอบแน่ๆ 

 

 

“ทำไม ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง นายชื่ออะไร” หลูจื้อถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ชุยหัง”