“ถุย!”

น้ำลายที่ตกลงสู่พื้นปะปนไปด้วยเลือด แอสรันนิ่วหน้าพลางขว้างของที่ตนถืออยู่ไปสุดแรง ทันใดนั้น ของทรงกลมขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก็ปลิวไปด้วยความเร็วระดับน่ากลัว ก่อนจะกระแทกเข้ากับหินตรงหน้าส่งเสียงปัก! แล้วแตกกระจายออก

สิ่งที่เขาขว้างไปคือร่างของปีศาจ หรือพูดให้ชัดเจนขึ้นคือตาของปีศาจเฮกซ่า

ตอนที่ดึงมันออกมา ไม่รู้ว่าเฮกซ่าเดือดพล่านถึงเพียงไหน ตอนนี้รอบด้านจึงไม่มีสิ่งใดที่ไม่เสียหายเลย สิ่งที่เรียกว่าต้นไม้หักและแตกจนหมด พื้นดินหลายจุดถูกขุดเป็นรูราวกับยักษ์ใช้พลั่วขุดออกมา ก้อนหินขนาดเท่าบ้านที่เขาเขวี้ยงลูกตาใส่ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่มาแต่แรก

หลังจากมองดูรอบด้านที่ถูกเผาไหม้จนเกรียม แอสรันก็มองซากลูกตาที่ไหลย้อยลงมาตามก้อนหิน แม้เขาจะดึงดวงตาออกมาข้างหนึ่งแต่ก็ยังไม่อาจสร้างความเสียหายสาหัสกับเฮกซ่าได้ เพราะอย่างไรตาของมันก็คงจะงอกใหม่ในไม่ช้า

แอสรันที่จ้องมองหินพลันรู้สึกเหมือนเคยทำอะไรคล้ายๆ แบบนี้ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อไรกัน?

ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของแอสรันพลันมีรอยยิ้มขึ้นมาชั่วขณะ

นึกออกแล้ว เขาเคยหยิบขนมปังเขวี้ยงใส่หน้าไอ้ลูกหมาขนเหลืองนั่น

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาอารมณ์ดียิ่งนัก เพราะเศษขนมปังได้ปลิวใส่หน้าไอ้คนที่กระดิกหางแล้วแสร้งทำเป็นไม่มีพิษภัย แสร้งทำเป็นคนดี แสร้งทำเป็นสุภาพอยู่ข้างนักบุญหญิงนั่น ถึงแม้นักบุญหญิงจะมีสีหน้าราวกับจะเป็นลม แต่ฐานะองค์ชายรัชทายาทหรืออะไรก็ตามแต่ของมนุษย์นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องสนใจ

หากจบแค่นั้นก็แล้วกัน แต่เจ้าหมอนั่นกลับยังแสร้งทำตัวน่าสงสารอยู่ข้างนักบุญหญิง แถมนางยังเช็ดหน้ามันราวกับเห็นใจมันอีก

ใบหน้ายิ้มแย้มของแอสรันกลับมาบิดเบี้ยวอีกครั้ง จู่ๆ กำปั้นก็เกร็งขึ้นมา ใจจริงตอนนี้เขาอยากกลับไปวิหารหลวงแล้วไปซัดหน้าเจ้าหมอนั่นเสีย จิตใจจะได้เบิกบานขึ้นมา และแน่นอนว่าไอ้หมาขนดำก็ต้องโดนด้วยเช่นกัน

“ให้ตาย…”

แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ แอสรันมองแขนของตนที่ใช้จับลูกตาของเฮกซ่าขว้างไปเมื่อครู่ก่อน ตรงนั้นไม่ใช่แขนมนุษย์ แต่กลับเป็นเท้าของสัตว์เดรัจฉานที่เต็มไปด้วยขนสีแดง มันกลับคืนสู่สภาพปีศาจ

แอสรันโคจรดูพลังเวทที่อัดแน่นอยู่ภายในร่าง ก่อนจะทรุดตัวลงตึง ถ้าหากเขาควบคุมตนเองในสภาวะนี้ไม่ได้อีกสักนิดก็คงจะเริ่มคลั่งแน่แล้ว และดูเหมือนเฮกซ่าจะจ้องช่วงเวลานั้นอยู่

“ไอ้เจ้าเล่ห์”

มันเป็นปีศาจที่มีหัวสมองกลิ้งกลอกอย่างไม่ธรรมดาในบรรดาปีศาจทั้งหลาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่คิดว่ามันจะกล้าวางกับดักกับเขาซึ่งเป็นคู่ต่อสู้

“แต่ไม่รู้ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเวทมนตร์เสร็จสมบูรณ์ช้า”

เวทมนตร์ของเขาที่มีจุดเริ่มจากวิหารหลวงเสร็จสมบูรณ์ช้ากว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีล้นทะลักในวิหารหลวงปะทะกับพลังของเขาจึงทำให้กลายเป็นเช่นนั้น ทว่าหลังจากมาทรีออนแล้วแอสรันถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะเฮกซ่าสูบพลังเวทไป จึงทำให้เวทมนตร์สมบูรณ์ช้า และยังได้รู้ความจริงที่ว่าเฮกซ่าจ้องจะเอาพลังเวทที่อยู่ในร่างของเขา

“ไอ้ลูกเฒ่านั่นก็คงกลับออกไปจากที่นี่ไม่ได้เหมือนกันกระมัง”

ปกติหลังจากเฮกซ่าอิ่มหนำสำราญจากการกินมนุษย์ในโลกฝั่งนี้ มันก็จะกลับไปยังโลกของตนเองอย่างว่องไวอยู่เสมอ ทว่าในการมาเยือนคราวนี้ เฮกซ่ากลับเติบโตขึ้น รอยร้าวของโลกที่เคยผ่านไปมาอย่างไม่มีปัญหา บัดนี้จึงเล็กเกินจะให้เฮกซ่าผ่าน

และเพราะมันเป็นปีศาจที่มีหัวสมอง เฮกซ่าจึงตระหนักได้ทันทีว่าตนต้องมีสิ่งใดจึงจะกลับไปได้ นั่นก็คือพลังเวทที่แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อฉีกรอยร้าวของโลกออก

พอดีกับที่โลกนี้มีแอสรันผู้ซึ่งครอบครองพลังเวทมหาศาลอยู่ และเขายังทำเรื่องบ้าๆ อย่างการขยายพลังเวทที่ควรจะเก็บไว้ในร่างให้มิดชิดไปทั่วทั้งทวีปอีก ในสายตาของเฮกซ่าคงเห็นมันไม่ต่างจากอาหารที่ถูกจัดเตรียมให้กิน

หลังจากฉีกเฮกซ่าให้เป็นชิ้นๆ อยู่ในใจหลายพันรอบ แอสรันก็เปล่งเสียงครางพร้อมกับหลับตาลง

ความหงุดหงิดพลันถาโถม เขาปลดปล่อยพลังเวทของตนเองออกมาจนหมดเพื่อตามหาว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปของนักบุญหญิงอยู่ที่ใด แต่เพราะเฮกซ่าวิ่งเข้ามาทันทีที่เขามาถึงที่นี่ เวทมนตร์จึงแตกกระจาย ด้วยเหตุนั้น แอสรันจึงพลาดไปว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงถูกรวบรวมอยู่ที่ไหนกันแน่

‘แต่เป็นเช่นนี้อาจจะดีกว่าก็ได้’

แอสรันลองจินตนาการถึงกรณีที่ตนคลั่งแล้วสูญเสียสติสัมปชัญญะ

“ชิ”

เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความอึดอัดใจหลุดออกมาจากปากของเขาทันที หากเขาสูญเสียสติสัมปชัญญะ สัญชาตญาณแรงกล้าที่สุดในตัวจะควบคุมเขา

‘ความปรารถนาที่จะสืบพันธุ์’

แอสรันคาดเดาได้อย่างกระจ่างแจ้งว่าตนจะกลายเป็นอย่างไร หลังจากฉีกทึ้งเฮกซ่าเป็นชิ้นๆ เพื่อไม่ให้มันพบตัวเมียของเขาและขัดขวางเขา เขาก็จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ทันที จากนั้นก็จดจ่ออยู่แต่กับการเติมเต็มความปรารถนาของตนเอง

‘ไม่’

ตอนนี้นักบุญหญิงสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ก่อนที่เวทมนตร์จะแตกออก เขารับรู้ได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปของนางกำลังเคลื่อนไหว ดูจากการเคลื่อนไหวแล้ว ดูคล้ายว่ามันไปอยู่ในร่างของมนุษย์คนอื่น หากเป็นเช่นนั้น เขาต้องเข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นั้นคือนักบุญหญิงแล้วสมสู่กับนางแน่ ซึ่งเขาไม่ต้องการ

“…”

หลังจากจมอยู่ในภวังค์อยู่สักพัก เขาก็ตื่นตระหนก ทำไมล่ะ? เป้าหมายก็คือลูก เช่นนั้นแล้วจะได้รับจากใครก็ไม่สำคัญ แล้วทำไมเขาถึงได้รู้สึกไม่ชอบใจถึงเพียงนี้

แอสรันเอื้อมมือออกไป ทันใดนั้น อากาศที่ว่างเปล่าก็พลันบิดเบี้ยว ก่อนจะที่กระดานชนวนแผ่นหนึ่งจะเผยออกมาในไม่ช้า

‘ถ้าหากพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่กลับมาหานักบุญหญิงล่ะ?’

ความคิดเช่นนั้นแวบผ่านในหัวของเขาที่มองกระดานชนวนที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างฉับพลัน เขาเสยผมอย่างแรง เลือดของปีศาจหยดไหลติ๋งๆ ลงมาตามเส้นผมยาวสีแดง

เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจนถึงตอนนี้ถึงไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนั้นมาก่อน พลังศักดิ์สิทธิ์อย่างไรก็เป็นของนักบุญหญิง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันจะต้องหวนกลับคืนมาหาลีน่า แต่ถ้าไม่ล่ะ? ถ้ามีนักบุญหญิงคนใหม่เกิดขึ้นมาล่ะ?

ดวงตาของเขาที่จ้องมองกระดานชนวนหรี่ลง เช่นนั้นแล้วของสิ่งนี้ก็ไม่มีความหมาย ไม่สิ ไม่ถึงขนาดนั้น มันจะกลายเป็นสายจูงที่บีบรัดคอเขาต่างหาก

‘มันไม่ใช่แค่อาร์ติแฟกต์ธรรมดา’

ในโลกฝั่งนี้ มันถูกมองเป็นกระดานชนวนที่ครอบครองพลังที่ควบคุมให้ทำตามสัญญาที่ลงนามเอาไว้ หากฟังเผินๆ ที่สิ่งนี้มีคำว่า ‘อย่างแน่นอน’ ติดอยู่จนแสดงให้เห็นว่าเป็นสัญญาที่มาพร้อมกับการบังคับ

มนุษย์คงไม่รู้ว่าคำนั้นอันตรายเพียงใด ดังนั้นนักบุญหญิงถึงได้ลงนามในนั้นอย่างไม่ใส่ใจ แอสรันจับกระดานชนวนที่ลอยอยู่ด้วยแขนที่คืนสู่สภาพปีศาจ ทันใดนั้น กระดานชนวนก็ส่งเสียงคร่ำครวญและสั่นเบาๆ

‘ตอนแรกข้าเองก็พูดไม่ออกที่เห็นของสิ่งนี้อยู่ที่นี่ในสภาพนี้’

แม้มันจะอยู่ในรูปร่างของวัตถุธรรมดา แต่สิ่งนี้คือหนึ่งใน ‘พระเจ้า’ ที่พวกมนุษย์พูดถึง ตัวตนที่ดูราวกับมีความสามารถรอบด้าน ทว่าอันที่จริงกลับมีข้อจำกัดมากมาย ขณะตระเวนไปรอบโลก ก็ได้กลายสภาพเป็นกระดานชนวนที่นี่และดูเหมือนอำนาจของมันจะถูกจำกัดโดยขึ้นอยู่กับฝั่งที่สร้างสัญญา

ดวงตาของแอสรันจ้องมองพื้นที่ที่ปล่อยว่างของนักบุญหญิงบนชนวน หากนางเกิดตั้งท้องลูกของเขาจริง เขายอมเชื่อฟังข้อเรียกร้องที่นักบุญหญิงร้องขอทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใดก็ตาม

สิ่งที่เขาเคยคิดว่าสมควรจะเป็นกวนใจเขาอยู่ตลอด ทำไมนักบุญหญิงถึงยังไม่เขียนอะไรลงไปตรงนี้เลย? นางตั้งใจจะร้องขออะไรจากเขากันแน่?

“เฮ้อออ…”

เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น ภายในหัวยุ่งเหยิง มีคำถามเพิ่มขึ้นมากมายแต่กลับไร้คำตอบ แอสรันหลับตาลง คนที่เขาคิดถึงผุดขึ้นมาราวกับรออยู่ แอสรันนึกถึงภาพของนักบุญหญิงที่ไม่สบายใจในตอนที่เขาบอกว่าจะออกไปตรวจสอบพลังศักดิ์สิทธิ์

‘ข้าน่าจะแค่ฆ่าทิ้งไปให้หมดแล้วพาตัวนางมาเลยจริงๆ’

โลกของพวกมนุษย์มีเรื่องให้ต้องระวังมากมายยิ่งนัก ปีศาจอย่างเขาที่ใช้แค่พลังเป็นทางออกของทุกอย่างจึงมีเรื่องน่ารำคาญใจมากเหลือเกิน

‘แต่อยู่คนเดียว น่าจะไม่มีเรื่องอะไร’

หลังจากคิดถึงนักบุญหญิงที่อยู่คนเดียว ความหงุดหงิดก็จับตัวเป็นรอยย่นอยู่เต็มหน้าผาก คิดดูแล้วไม่ใช่คนเดียวเสียหน่อย ยังมีไอ้ลูกหมาที่เขาทิ้งไว้สองตัว

‘ถ้านางบาดเจ็บแม้แต่ผมเส้นเดียวในครั้งที่ข้าจะได้พบนางอีกล่ะก็…’

เขาก็จะใช้นั่นเป็นข้ออ้างให้พวกมันออกห่างจากนักบุญหญิงเสีย แน่นอนว่ามันง่ายกว่าถ้าเขาจะฆ่าทิ้ง แต่ช่วยไม่ได้ หากเขาทำเช่นนั้น นักบุญหญิงคงจะไม่ยิ้มให้เขาอีกแน่

แอสรันเหยียดยิ้มพลางคิดถึงวิธีที่จะแยกราธบันและเลออนออกมา ก่อนจะลุกขึ้น

กรี๊ซซซ!

อีกด้านหนึ่งของท้องฟ้ายามอัสดงพลันบิดเบี้ยว เฮกซ่าจะเผยร่างขนาดใหญ่ออกมาพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องไม่น่าฟัง ปีศาจยังไม่คุ้นชินกับร่างที่ใหญ่ขึ้นของมัน อีกทั้งยังเติบโตขึ้นในที่ที่ไม่ใช่โลกของตนเอง คงจะยิ่งตระหนกมากขึ้น

แอสรันกัดฟัน เขาต้องเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้เพราะไอ้ตัวที่สามารถฆ่าตายได้ในคราวเดียวหากอยู่ในร่างเดิมเลยหรือ แต่ก็ช่วยไม่ได้ หากเขาคืนร่างเดิมก็ไม่รู้ว่าจะเผลอทำเรื่องเลวร้ายใดไปบ้าง แถมยัง…

‘กอดนางไม่ได้อีก’

เขาไม่สามารถกอดนางด้วยร่างนั้นได้ เขาสัญญากับนางไว้ว่าจะพาไปดูท้องฟ้าตลอดเวลาที่นางต้องการ

แอสรันจ้องเฮกซ่าเขม็ง ความจริงที่ว่าบนท้องฟ้าที่นางชอบมีของเช่นนั้นลอยอยู่ทำให้หงุดหงิดใจยิ่งนัก ชั่วขณะต่อมาหลังจากทั้งสองสบตากัน ทุกสิ่งรอบข้างก็เริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ

การต่อสู้ของปีศาจสองตัวเริ่มขึ้นอีกครั้ง

***

ราธบันพูดอะไรไม่ออกจากใจจริง

นักบุญหญิงเบือนหน้าที่แดงก่ำไปทางอื่น คำพูดของนางยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา หมายความว่า ตอนนี้ นางคิดว่าเขาเหนื่อยก็เลยปล่อยนางไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ…?

จู่ๆ ก็พลันรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม

เขาคืออัศวิน แถมยังเป็นผู้บัญชาการของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้ แม้ศิลปะดาบจะสำคัญเช่นกัน แต่ในบรรดาเงื่อนไขมากมายที่อัศวินจำเป็นต้องมี ร่างกายและพลังกายคือสิ่งสำคัญอันดับแรก และแน่นอนว่าราธบันมีเงื่อนไขเหล่านั้นไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด

แค่การขี่ม้าวิ่งไม่กี่วันจะเหนื่อยได้อย่างไร มีบ่อยครั้งที่เขาไม่ได้หลับตานานกว่าสิบวันเพื่อต่อสู้กับปีศาจ สำหรับเขาแล้ว การหลบหนีเช่นนี้ยังใช้แรงไม่ต่างจากการเดินเล่นด้วยซ้ำ ปัญหาก็คือนักบุญหญิงที่ไม่คุ้นชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ต่างหาก

บนม้าที่สั่นสะเทือน นักบุญหญิงนอนเอนกายอยู่ในอกของเขาราวกับสิ้นสติอยู่ตลอด ตอนอยู่ในที่พักแรมก็ไม่ต่างกัน เสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดที่นางเปล่งออกมาเป็นระยะขณะนอนหลับสนิทสามารถบอกได้ว่านางเหน็ดเหนื่อยเพียงใด

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาลังเลที่จะแตะผมหรือจับมือนาง นางเหนื่อยถึงเพียงนั้น เขากังวลว่าตนจะยิ่งไปทำให้นางเหนื่อยมากขึ้น

แต่ใครจะไปคิดว่าจะถูกเข้าใจผิดแบบนี้

ราธบันจ้องนักบุญหญิง ตอนนี้นางลอบมองเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำจนเหมือนจะระเบิด ริมฝีปากน้อยๆ สีแดงไม่อาจทนความอับอายได้จึงบ่นงึมงำเบาๆ

เขาอยากเลียริมฝีปากนั้นบัดเดี๋ยวนี้

ราธบันกัดฟันเพราะความปรารถนาที่ผุดขึ้นมาครอบงำ

“ถ้าอย่างนั้น ลีน่า”

ราธบันกระซิบข้างหูนางอย่างอ่อนโยน ตอนนี้เขาเองก็อดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ทั้งยังต้องแก้ไขความเข้าใจผิดด้วย

“คืนนี้ข้าขอกอดท่านได้ไหม?”

คราวก่อนที่เขาโอบกอดนางตลอดทั้งคืน เขาคิดว่าเขาได้เห็นปลายทางของความเหลวแหลกแล้ว ทว่าดูเหมือนก้นบึ้งของความปรารถนาอันต่ำต้อยของเขาจะอยู่ลึกลงไปกว่านั้น ในวันนี้ ราธบันต้องการค้นหาว่าปลายทางนั้นจะมีสิ่งใดอยู่

และสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาอยากโอบกอดสตรีที่น่าเอ็นดูคนนี้อย่างบ้าคลั่ง ให้ดวงตาที่เป็นกังวลมีแต่ความวิงวอน ให้รุนแรงจนนางไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวเวลาว่างมาห่วงเขา

ได้ยินคำถามที่คล้ายกับการอ้อนวอนของเขา นักบุญหญิงก็กะพริบตาปริบๆ และไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่ ใบหน้าราวกับไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตนกำลังได้ยินอะไร ราธบันครุ่นคิดว่าควรเร่งเอาคำตอบดีหรือไม่ ก่อนจับมือของนางแทนการเปิดปากพูด ฝ่ามือโฉบผ่าน ก่อนที่นิ้วจะแนบชน จากนั้นนิ้วของเขาก็ค่อยๆ สอดประสานนิ้วของนาง สองมือที่เกี่ยวประสานจับกันแน่นในไม่ช้า

“อา…”

ตอนนั้นเอง นักบุญหญิงก็อุทานออกมาสั้นๆ ราวกับตระหนักได้แล้วว่าเขาอ้อนวอนสิ่งใด ไม่ช้า ใบหน้าขาวก็ร้อนผะผ่าวจนขึ้นสีแดง ราธบันรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ริมฝีปากของนางขยับอย่างลังเลยาวนานเหลือเกิน ผ่านไปพักใหญ่ นางถึงเอ่ยเสียงเบาหวิวราวกับพึมพำ

“แต่… เจ้าน่าจะเหนื่อย…”

เหนื่อย? แน่นอนว่าเขาเหนื่อย เพราะเขาต้องต่อสู้กับความปรารถนาที่จู่โจมเขาอยู่ทุกคืน

ราธบันไม่อาจลืมความสุขสมที่เขาเคยลิ้มลองมาครั้งหนึ่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทุกครั้งที่ลมหายใจของนางที่นอนแนบกายสัมผัสตัวเขาทุกๆ คืน ความทรงจำในค่ำคืนนั้นก็จะผุดขึ้นมาในหัวของเขา แม้ส่วนล่างที่รู้สึกเจ็บแปลบจะทำให้เขานึกตำหนิตนเองว่าเหตุใดจึงเหมือนสัตว์เดรัจฉานถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจถอนสายตาที่จ้องมองอีกฝ่ายได้เลย

สติสัมปชัญญะของเขาเต้นอยู่บนเชือกเส้นใหญ่ที่สั่นไหวเล็กน้อยได้โดยไม่ร่วงหล่นลงมา ทว่าในตอนนี้กลับมีมือกำลังดันหลังเขาพลางถามว่าทำไมถึงได้ยืนเกร็งอยู่เช่นนั้น เป็นมือของคนที่เขาคิดว่าสำคัญกว่าสิ่งใดในโลกนี้ ดังนั้นราธบันจึงตัดสินใจที่จะร่วงลงไปด้วยความยินดี

“ลีน่า”

ริมฝีปากของราธบันแตะลงบนหน้าผากของนาง

“จากนี้ไปขอให้ท่านเป็นห่วงตัวเอง ไม่ต้องห่วงข้า”

ริมฝีปากของเขาไล่ลงมาตามใบหน้าอย่างแผ่วเบา แล้วขบกัดริมฝีปากแดงที่ทำให้เขาเป็นบ้าตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน