“อ๊ะ อาอ๊ะ…ราธบัน ยะ หยุด…!”

ร่างขาวบางใต้ร่างส่งเสียงครวญครางพร้อมกับขยับขึ้นลงในทุกครั้งที่ราธบันเคลื่อนไหว หากเป็นปกติ ราธบันจะรีบออกห่างและสำรวจดูอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้ร่างกายของเขาไม่แม้แต่ขยับเขยื้อนดุจดั่งภูเขาลูกใหญ่ หลังจากเลียต้นคอ เขาก็ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าลงด้านล่าง เสื้อตัวบางที่ยังถอดออกไม่หมดบดบังผิวสีแดงก่ำ

ราธบันเงยหน้าขึ้น ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้นักบุญหญิงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกอยู่ชั่วครู่ ราธบันยกมือขึ้นถอดเสื้อที่ขัดขวางเขาอยู่อย่างไม่ลังเล ร่องรอยที่เขาทิ้งไว้เมื่อไม่นานมานี้ยังคงเหลือรอยจางๆ อยู่บนผิวสีขาวที่เจิดจรัสใต้แสงจันทร์

“ราธบัน!”

การกระทำของเขาทำให้อีกฝ่ายยกสองแขนขึ้นมาปิดหน้าอกด้วยความตกใจ มือของราธบันจับข้อมือของนางอย่างนุ่มนวล จากนั้นออกแรงกดไปไว้ด้านข้างใบหน้าของนาง ทันทีที่หน้าอกที่พยายามปิดบังเผยให้เห็นอย่างแจ่มชัด นางก็เบือนหน้าหนีราวกับเขินอาย

“ทำไมต้องปิดด้วยขอรับ”

“…”

“ทั้งที่…”

ราธบันก้มศีรษะลงไปอีกครั้ง แม้ดวงตาของนักบุญหญิงจะเบิกกว้างเมื่อตระหนักได้ว่าเขาก้มลงไปตรงไหน แต่เขาก็ยังขบริมฝีปากลงไปที่ส่วนที่ตนจับจ้องอย่างไม่ลังเล ยอดอกที่เต่งนูนด้วยอารมณ์อย่างเต็มที่ถูกโลมเลียและขบกัดอยู่ในริมฝีปากของเขา

“อา…อ๊ะอ๊ะ!”

ความรู้สึกเสียวซ่านที่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้นักบุญหญิงส่งเสียงร้องทั้งที่ยังอับอาย ราธบันดื่มด่ำเสียงร้องของนางราวกับกำลังฟังดนตรีที่ไพเราะที่สุดในโลก เสียงที่ร้องออกมาเพราะเขาเป็นคนทำมันช่างถูกใจยิ่งนัก ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มอัดแน่นอยู่เต็มปากของเขา เขาใช้ฟันเย้าแหย่ยอดอกที่ชูชันอย่างไม่ทำให้เจ็บโดยไม่หยุดพัก เสียงของนักบุญหญิงร้องสูงขึ้นในทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น

“ฮึ อา อ๊ะอ๊ะ…”

เสียงสะอื้นเริ่มแทรกมาตามเสียงร้องคราง ราวกับกำลังน้ำตาจะทะลักออกมาเดี๋ยวนั้น ลิ้นของเขาโลมเลียและเกี่ยวกวัดยอดอกอย่างไร้สติอยู่สักพัก ก่อนออกแรงกดไปทั่วหน้าอก ความสุขสมพลันแผ่ซ่านและระเบิดออกมาเป็นเสียงครางกระเส่าอันเร่าร้อนจากปากของนาง

“ฮ๊า…!”

ตอนนั้นเอง ราธบันถึงได้ยกใบหน้าออกห่างจากทรวงอกของนาง หน้าอกที่อยู่ใต้แสงจันทร์เป็นเงาวาวไปด้วยน้ำลายของเขา เขาจ้องนางที่ถูกตนกลืนกินด้วยใบหน้าพึงพอใจพลางเอ่ยคำพูดที่ยังพูดไม่จบครู่ก่อน

“…ทั้งที่หวานถึงเพียงนี้”

ขอบตาของนางที่จ้องมองเขาเป็นสีแดงก่ำ สีหน้าไม่อยากเชื่อว่าคำที่เพิ่งพูดนั้นออกมาจากปากของเขา ราธบันเองก็ไม่ต่างกัน ตลอดชีวิตเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยสักครั้งว่าตนจะพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าใครบางคนได้

เขาว่ากันว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยากในตอนเริ่ม แต่ครั้งต่อไปก็มักจะง่ายดาย ราธบันเริ่มพูดในสิ่งที่ตนต้องการราวกับไม่รู้สึกถึงความละอายและเคอะเขินอีกแล้ว

“ข้าขอดูมากกว่านี้”

“ราธบัน…?”

ทั้งที่ใช้น้ำเสียงอ่อนโยน แต่นักบุญหญิงกลับขนลุกชัน เส้นเลือดที่ปูดโปนบนแขนของเขาที่ยังจับมือนางไว้เริ่มกระดุกกระดิกจนน่ากลัว นี่เขาตั้งใจจะทำอะไรอีก…

มุมปากของราธบันพลันมีรอยยิ้มลึกราวกับอ่านความคิดของอีกฝ่ายออก รอยยิ้มไม่ต่างกับสัตว์ร้ายหิวโหยกำลังมองเหยื่อที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ริมฝีปากของเขาแตะปลายยอดอกแดงราวกับเสียใจกับการจากลาชั่วขณะ ก่อนจะเลื่อนลงไปด้านล่างทีละคืบๆ ดุจการประทับตรา ตอนที่ริมฝีปากที่เลื่อนลงอย่างไม่ลังเลสัมผัสใต้สะดือ ร่างของนักบุญหญิงก็เริ่มบิดหนี สัญชาตญานของนางรับรู้ได้ว่าเขากำลังจะลงไปที่ไหนและกำลังจะทำอะไร

แต่ก็สายไปแล้ว มือของเขาปล่อยข้อมือตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ และเลื่อนลงด้านล่างมาจับเรียวขาของนาง จากนั้นศีรษะของเขาก็แทรกเข้ามาระหว่างขาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก

“ราธบัน!”

กล้ามเนื้อส่วนบนของเขาที่ไม่รู้ว่าถอดเสื้อออกไปเมื่อไรสั่นสะท้าน การเคลื่อนไหวหยุดลงชั่วขณะ นักบุญหญิงดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะในระหว่างที่เขาฝังใบหน้าและละเลงลิ้น ส่วนล่างของนางเปียกจนน่าอับอาย

ไม่นาน ริมฝีปากของราธบันก็สัมผัสบนชิ้นส่วนผ้าที่ปิดส่วนลับ ลิ้นของเขาเฉียดผ่านเหนือส่วนที่เปียกแฉะ บัดนี้นักบุญหญิงร้องไห้โฮออกมาทันที

“ราธบัน หยุด! หยุดเถิด! ขอร้อง…”

การมีอะไรกันโดยตรงยังน่าอายน้อยกว่าทำแบบนี้เสียอีก นางส่ายหน้าอย่างแรงเพราะการเย้าแหย่อย่างไม่ลังเล หยาดน้ำตาใสเป็นประกายไหลอาบแก้มนางในทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น ราธบันเงยหน้าขึ้นชั่วครู่ และคิดว่าภาพนั้นช่างสวยงามยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงอยากเห็นมันมากกว่าเดิม

“ไม่นะ ได้โปรดหยุด…อ๊า!”

มือที่ส่ายกลางอากาศสั่นระริกก่อนตกลงพื้น ลิ้นของเขาดันชิ้นส่วนผ้าและแทรกเข้าไประหว่างร่องเนื้อที่ปิดแน่นอย่างเขินอาย รอยมือสีแดงก่อตัวบนเรียวขาขาวที่ถูกยึดไว้แน่น

“ฮา อา อ๊ะอ๊ะ! อือ อึก!”

เสียงร้องไม่เป็นคำจางหายไปในอากาศในทุกครั้งที่ลิ้นของเขาขยับ นางดิ้นอย่างแรงจนไม่อาจเอ่ยเรียกได้กระทั่งชื่อของเขา ความสุขสมที่มากเกินไปก็คล้ายคลึงกับความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ปากหอบหายใจเร่าร้อนและส่งเสียงครางโดยไม่อาจคิดสิ่งใดทั้งสิ้น

ราธบันซุกใบหน้าของตนไปที่ส่วนล่างของนางราวกับคนเสียสติ ด้านล่างเองก็หวานเหมือนด้านบน ไม่สิ ที่ตรงนี้ยังหวานกว่าส่วนที่เขาขบกัดเมื่อครู่ก่อนเสียอีก ต่อให้สั่งให้เลียทั้งวัน เขาก็สามารถทำตามได้

“อา ฮึ ฮึก! อา…!”

เสียงครางปนสะอื้นดังมากขึ้น ขณะที่เขาดุนลิ้นลงไปในจุดที่นางดูตอบสนองเป็นพิเศษนั่นเอง

“อ๊างงง”

ร่างกายที่ดิ้นพร่านทรุดลงบนผ้ารองนอนราวกับตุ๊กตาที่ด้ายขาด เวลาเดียวกับที่ของเหลวร้อนไหลพรวดออกมา

“ฮือ ฮึก…”

ราธบันเงยหน้าขึ้นก็เห็นนักบุญหญิงกำลังเอาสองมือปิดหน้าและร้องสะอึกสะอื้น นางกำลังเขินอายที่ตนถึงฝั่งฝันด้วยปากของราธบัน ความพลุ่งพล่านที่สัมผัสได้ไหลออกมาจากหว่างขาที่อ้าออกอย่างไร้เรี่ยวแรงและทิ้งรอยคราบวงกลมไว้บนผ้ารองนอน

“ลีน่า”

“ฮึกกก…”

ทันทีที่เขาเอ่ยเรียก นักบุญหญิงก็สูดขี้มูกพลางหายใจเข้าราวกับพยายามจะควบคุมลมหายใจที่สั่นเครือ หลังจากเห็นภาพนั้น ราธบันก็ลุกขึ้น แต่แน่นอนว่ายังกักนางไว้ระหว่างขาของเขาอย่างแน่นหนา

“…ราธบัน?”

นักบุญหญิงที่ตั้งสติจนพอจะพูดได้เห็นภาพที่เขาถอดกางเกงแล้วก็ต้องปิดปากอีกครั้ง ชั่วขณะที่กางเกงหลุดออก แก่นกายของเขาก็ผงาดออกมา นักบุญหญิงสาบานว่าตอนนี้ส่วนนั้นของเขาดูอันตรายยิ่งกว่าอาวุธใดๆ ที่นางเคยเห็น แก่นกายที่ตั้งตรงจนเหมือนจะแตะหน้าท้องกำลังกระตุกและมีเส้นเลือดปูดโปน

“ราธบัน ดะ เดี๋ยวก่อน…”

“ข้าได้บอกท่านไปแล้ว ว่าจากนี้ไปอย่าได้ห่วงข้าแต่ให้ห่วงตัวท่านเอง”

“ต แต่ว่า…”

“แล้วท่านยังเป็นห่วงพละกำลังข้าอีก ท่านคงไม่รู้ว่ามันเป็นคำพูดที่น่าอับอายสำหรับอัศวินเพียงใด”

“ไม่ใช่ ข้าก็แค่เป็นห่วง…!”

เข่าของราธบันแทรกเข้าไประหว่างขาของนาง ส่วนล่างที่จวนเจียนจะหุบปิดอ้าออกอีกครั้ง ส่วนลับที่เปียกไปด้วยของเหลวเหนียวข้นส่งเสียงน่าอายและเปิดออก ราธบันนั่งอยู่ระหว่างขาของนางโดยให้ขาของนางเกี่ยวเอวของตนไว้

เขาจับแก่นกายแล้วสอดใส่เข้าไปในส่วนลับของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเนื้อนุ่มและอุ่นร้อนก็งับส่วนหัวของเขาเข้าไปราวกับรอมันอยู่แล้ว

“อื้อออ…”

ได้ยินเสียงครางกระเส่าที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง ราธบันก็เอ่ย

“เพราะฉะนั้น ข้าจะพยายามเพื่อไม่ให้ท่านต้องเป็นห่วงข้าอีกต่อไป”

ก่อนที่นักบุญหญิงจะได้ถามกลับไปว่าพยายามอะไร เขาก็ลดเอวลงด้านล่างเล็กน้อย ทันใดนั้นปลายหัวก็หายเข้าไปในส่วนลับที่ผ่อนคลายและเปียกชื้น

แม้ร่างกายจะผ่อนคลายเพราะความสุขสม แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะรับส่วนนั้นของเขาเข้าไปได้ง่ายๆ ราธบันคิดว่าคราวนี้นางก็คงจะดิ้นไปมาและมีน้ำตาเพราะเกินจะรับไหวเช่นเดิม แต่ทว่า…

“…”

นักบุญหญิงมีท่าทางต่างจากที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง นางประสานมือกันแน่น กลั้นลมหายใจและจ้องเขาด้วยสีหน้าราวกับไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็จะยอมรับเข้ามาให้ได้ สิ่งที่รับตัวเขาเข้าไปก็คือร่างกายที่อ่อนแอจนน่าอัศจรรย์ใจ เขาจำได้ว่าคืนแรกที่มีอะไรกันนั้นนางเหน็ดเหนื่อยมากเหลือเกิน

บางทีอาจเพราะนางก็จดจำคืนนั้นได้ สายตาที่จ้องมองเขาถึงได้มีความหวาดกลัวในสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้แอบแฝงอยู่ ทว่าก็มีความเชื่อใจที่มากกว่าความกลัวนั้น ความเชื่อใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายนาง

ราธบันหยุดการเคลื่อนไหวและจ้องนางอย่างลุ่มหลง ลมหายใจหอบหนัก เส้นผมยุ่งเหยิง ทั้งที่อยู่บนผ้ารองนอนผืนเก่าที่ถูกทิ้งอยู่ในกระท่อมของคนล่าสัตว์ แต่นางกลับงดงามกว่าตอนไหนๆ อย่างน่าประหลาด

ราธบันกัดฟันแล้วลดเอวของตนอย่างระมัดระวัง แก่นกายอวบหายเข้าไปในตัวนางอย่างเชื่องช้า ยิ่งเขาเข้าไปด้านในทีละน้อยมากเท่าไร ใบหน้าของนางก็ยิ่งเปลี่ยนไปหลากหลายมากเท่านั้น ตอนแรกนางเบิกตาโตอย่างยากจะเชื่อ แต่แล้วก็เริ่มหายใจลำบากจนต้องอ้าปาก หยดน้ำตาที่คลออยู่บนขอบตาร่วงลงมาอีกครั้ง ราธบันต้องใช้พลังทั้งหมดในการประคองสติตนเอง

ทันทีที่ส่วนนั้นของเขาหายเข้าไปด้านในของนางจนหมด ร่างของทั้งคู่ก็แนบชิดจนไม่มีช่องว่างราวกับเป็นหนึ่งเดียวกันมาแต่แรก

บัดนี้เพิ่งเข้าไปเท่านั้นเอง แต่นางกลับหมดแรงเสียแล้ว และใช่ว่าราธบันจะสบาย

ทั่วร่างพลันรู้สึกอ่อนยวบเพราะด้านในของนางที่ตอดรัดอย่างอบอุ่น หากเขาสติหลุดไปแม้แต่นิดเดียว ก็คงจะเผลอขยับตัวอย่างบ้าคลั่ง แต่หากทำเช่นนั้น นางจะต้องบาดเจ็บเป็นแน่ ซึ่งเขาไม่ต้องการเช่นนั้น

“ลีน่า”

ราธบันเอ่ยเรียกนางพลางจุมพิตบนหน้าผาก

“ไหวหรือไม่?”

“ไม่…เป็นไร…เพราะงั้น…รีบ…”

จะไม่เป็นไรได้อย่างไร ในเมื่อกำลังเหนื่อยถึงเพียงนี้

ทั้งที่นางก็ไม่อาจเก็บซ่อนลมหายใจหอบได้แล้วแต่ก็ยังตอบเพื่อเขา ราธบันรู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาจากส่วนลึกในใจ ความร้อนเติมเต็มกระทั่งซอกลึกในร่างจนไม่เหลือแม้แต่ที่ว่าง สิ่งที่อัดแน่นในตัวเขา ทำให้เขาอบอุ่นแต่ก็อ่อนโยน ทำให้คันยุบยิบแต่ก็ละมุนละไม ราธบันรู้ว่ามันคืออะไร

“ลีน่า”

หลังมือของเขาลูบไล้พวงแก้มที่เปียกไปด้วยน้ำตาอย่างทะนุถนอม ราธบันแนบใบหน้าเข้ากับใบหน้าของนาง จากนั้นก็เอ่ยกระซิบ

“ข้ารักท่าน”

อารมณ์ที่เติมเต็มเขาได้รับชื่อและล้นทะลักออกมา

ลมหายใจหอบถี่ของนักบุญหญิงพลันสะดุดเมื่อได้ยินคำสารภาพของเขา ดวงตาที่เบิกกว้างราวกับคนที่ได้ยินความจริงอันยากจะเชื่อมองมาทางเขา นัยน์ตาสีฟ้าสั่นไหวราวกับจมอยู่ในทะเลสาบ ก่อนที่หยดน้ำเม็ดใหญ่จะตกลงบนผ้ารองนอนจนส่งเสียงเปาะแปะ

ริมฝีปากของนักบุญหญิงขยับเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง ราธบันหยุดรอฟังคำที่นางจะพูด ผ่านไปสักพัก นางถึงได้กล่าวคำพูดที่เขาคาดไม่ถึงออกมา

“อี อีริส…”

ได้ยินดังนั้น ราธบันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมที่ผ่านมาอีกฝ่ายถึงดูไม่สบายใจนัก

อีริส หญิงสาวผู้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ และเป็นคนที่ไม่มีความหมายใดกับเขาทั้งสิ้น

“…หรือว่า ท่านคิดว่าข้าจะไปหาคนผู้นั้นหรือ?”

น้ำตาทะลักออกมาแทนคำตอบของคำถาม ราธบันเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นางอย่างระมัดระวัง ในทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น อาการสั่นเทาของร่างที่เชื่อมติดกันส่งมาถึงเขาอย่างไม่อาจซ่อนเร้น แม้จะสัมผัสกันอย่างลึกซึ้งจนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันถึงเพียงนี้ แต่ดูเหมือนความไม่สบายใจที่นางมีจะไม่หายไปง่ายๆ

ต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้นางเชื่อว่าเขาเป็นของนางอย่างแท้จริง

ราธบันดึงนางเข้ามากอดแล้วขยับตัวขึ้น ทันทีที่ร่างกายที่คิดว่าคงเข้าไปลึกกว่านี้ไม่ได้แล้วข้ามขีดจำกัดนั้น นักบุญหญิงก็ส่ายหัวและคว้าไหล่เขาราวกับพยายามจะหนี การเคลื่อนไหวที่ราวกับจะวิ่งหนีจากเขา ทำให้ราธบันจับเอวนางและดึงมาหาตน

“อา…”

นักบุญหญิงกอดคอเขาอย่างหมดแรงเพราะส่วนนั้นของเขาที่แทงลึกอีกครั้ง แต่ไม่นานนางก็พยายามลุกขึ้นราวกับจะหนีอีกรอบ ราธบันยิ้มขมขื่น มือที่จับเอวเลื่อนลงด้านล่าง ก่อนจับสะโพกและดึงให้เข้ามาชิดตัวเขาอย่างแรงจนเกิดรอยมือ

“…!”

นักบุญหญิงทำไม่ได้กระทั่งส่งเสียงร้อง นางทุบไหล่ของเขาราวกับขอให้ปล่อย ทว่านั่นเป็นคำสั่งที่เขาไม่อาจทำตามได้

“ระ ราธบัน…มัน…ละ ลึกเกินไป…”

“ลีน่า”

เขาเอ่ยเรียกนางที่ร้องอ้อนวอนพลางขยับเอว นางส่ายหน้า ผมสีบลอนด์สั่นไหวอย่างแรง ทั้งที่การกระตุ้นเพิ่งจะเริ่มขึ้นแต่มันกลับเร่าร้อนและรุนแรงเหลือเกิน

“ข้าจะไม่จากท่านไป”

สะโพกของราธบันขยับอย่างแรงอีกครั้ง เขาดึงเอวที่โค้งดุจคันธนูอยู่ด้านบนเข้ามากอดแล้วเอ่ยกระซิบ

“ดังนั้นท่านเองก็จะหนีจากข้าไปไม่ได้เช่นกัน โปรดจำไว้ด้วยขอรับ”

ราธบันอยากจะสลักความจริงข้อนั้นไว้ในส่วนลึกของนาง ไม่ใช่ในร่างแต่เป็นจิตวิญญาณของนางที่อยู่ลึกลงไป

ร่างของเขาฝังลึกเข้าไปในตัวนางยิ่งขึ้น พร้อมกับระเบิดความใคร่ทั้งหมดที่อดกลั้นมา

***

สีของขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย ในช่วงเวลาที่ดาวประจำเมืองเผยตัวอย่างเอียงอาย เสียงหมู่วิหคที่ร้องมาตลอดทั้งคืนสงบลงและทุกคนกำลังหลับสนิท อีเบลลีน่าก็ลืมตาขึ้น

นางเลื่อนสายตาลงและมองแขนที่โอบเอวของตนอยู่ กิจกรรมที่รุนแรงก่อนนอนทำให้ผ้าพันแผลที่ราธบันพันมือของตนไว้อย่างแน่นหนาคลายออกเล็กน้อยและตกอยู่ที่พื้น

บาดแผลขนาดใหญ่และร่องรอยการลามของพิษที่เพียงแค่กดข่มเอาไว้สะกดสายตาของนาง

หลังจากมองฝ่ามือนั้น อีเบลลีน่าก็ยกมือของเขาที่เกี่ยวเอวของตนออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ตามปกติแล้วเขาจะต้องตื่นตัวและลืมตาขึ้นเพราะการเคลื่อนไหวเช่นนี้ราวกับผี แต่ไม่ใช่วันนี้

หลังจากยืนยันว่าราธบันนอนหลับสนิทจริงๆ นางก็ลุกขึ้นอย่างระวัง แสงจันทร์สว่างสาดส่องเข้ามาผ่านบานกระจกที่สกปรกของวงกบเก่า

นางจ้องมองท้องฟ้ายามราตรีอยู่สักพัก ก่อนหลับตาลง ความเฉยเมยที่ราวกับอยู่เหนือทุกสิ่งอย่างของโลกใบนี้พลันปรากฏขึ้นบนหน้านาง

หลังจากหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวเช่นนั้นอยู่สักพัก อีเบลลีน่าก็เปิดปาก

“…อีริสอย่างนั้นหรือ”

นางเคยคิดว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลออกไปจะไปรวมอยู่ที่ใดสักแห่ง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเข้าไปอยู่ในร่างของคนอื่น ใบหน้าของอีเบลลีน่าพลันบิดเบี้ยว ผ่านไปสักพัก เสียงพึมพำเบาๆ ที่มีเพียงนางที่ได้ยินก็แทรกผ่านริมฝีปากของนางออกมา

“…ข้าคือนักบุญหญิง”

ประกายไฟเย็นวาบในดวงตาของอีเบลลีน่า

“ต้องเป็นข้า”