เช้าตรู่ หลังจากออกมาจากกระท่อม พวกเราก็จูงม้าที่ผูกไว้ด้านนอกมุ่งหน้าไปยังถนนบนภูเขาอีกครั้ง แต่การขี่ม้าบนทางที่สูงชันมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป อีกทั้งฉันยังสัมผัสได้ว่าม้าเหนื่อยเพราะมันสะสมความล้าจากการวิ่งมาตลอด หากวิ่งแบบนี้ต่อไปก็มีแต่ทำให้ทั้งม้าและพวกเราลำบากเท่านั้น

ท้ายที่สุด พวกเราจึงเข้าไปขายม้าให้กับหมู่บ้านที่พบระหว่างทาง ราธบันเข้าไปขายม้าคนเดียว เขาปล่อยฉันไว้ตรงจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อแอบซ่อนเหมือนครั้งที่เข้าไปในโรงแรม และทิ้งคำเตือนไว้อย่างหนักแน่นว่า หากเขาช้าไปหรือด้านในเกิดเอะอะโวยวายขึ้นมา ให้รีบปลีกตัวไปทันที ก่อนเข้าหมู่บ้านไป

โชคดีที่ผ่านไปมานาน ราธบันก็ถือถุงใส่เงินใบเล็กเดินออกมาจากหมู่บ้าน

“ราธบัน”

ทันทีที่ฉันเดินออกมาจากป่าและเอ่ยเรียกเขา อีกฝ่ายก็คลี่ยิ้มอย่างสดใส

“ไม่มีเรื่องอะไรนะขอรับ?”

“อืม คำสั่งไล่ล่าของวิหารหลวงคงจะยังมาไม่ถึงตรงนี้จริงๆ ดูจากทิศทางที่หน่วยอัศวินแห่งวิหารหลวงวิ่งไปและท่าทางที่ดูรีบเร่งแล้ว…พวกเขาคงจะมุ่งหน้าตรงไปยังทรีออนเลย”

“…ก็จริง วิหารหลวงจำเป็นต้องมีนักบุญหญิง”

เขาจะต้องไปพาอีริสไปวิหารหลวงทันทีแน่ เหมือนอย่างที่เคยทำกับอีเบลลีน่า พวกเราเดินทางผ่านถนนบนภูเขาอีกครั้ง เราเองก็ควรจะรีบให้เท่ากับที่คาร์ลรีบ ทว่ามีปัญหาอยู่

“อึก…”

เพราะการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขณะที่ราธบันกระโดดลงจากหิน ทำให้ฉันหลุดเสียงร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้น เขาก็มองฉันด้วยแววตาเป็นกังวล

“เหนื่อยมากไหมขอรับ?”

ฉันตอบอย่างไร้เรี่ยวแรงขณะอยู่บนหลังเขา

“…ไม่เป็นไร”

น้ำเสียงที่ใครได้ยินก็รู้ว่าเป็น แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าหากฉันพูดออกไปว่าเหนื่อยสักหน่อย เขาก็คงอุ้มฉันไว้ในอ้อมอกแล้วเดินไปบนถนนราวกับถือเครื่องปั้นดินเผาล้ำค่าอีกครั้ง ท่าทางเหมือนกับที่อุ้มเจ้าหญิงในหนังอย่างไรอย่างนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ฉันอยากจะปฏิเสธจริงๆ

“ดูเหมือนวันนี้เราจะต้องแวะพักกันที่หมู่บ้านถัดไปที่คนในหมู่บ้านบอกมาขอรับ ได้พักให้เต็มที่หน่อยก็คงจะดีขึ้น”

บัดนี้ เขาไม่เอ่ยถามว่าฉันเป็นไรหรือไม่อีกแล้ว เพราะดูอย่างไรฉันก็อยู่ในสภาพที่ไม่โอเค และฉันก็จะไม่ถามเขาด้วยเช่นกัน ในวันข้างหน้าก็ไม่คิดจะถามด้วย เพราะใครเห็นก็รู้ว่าเขาเป็นปกติมาก!

ไม่สิ ไม่ใช่แค่ระดับปกติ ดูเหมือนจะมีพละกำลังล้นหลามด้วยซ้ำ

‘แน่ล่ะ เพราะงั้นเมื่อเช้าถึงได้ทำอีกรอบ…’

คำพูดที่เขาบอกว่าให้ฉันห่วงตัวเองไม่ใช่แค่คำพูดไร้สาระ ตอนกลางคืนก็ทีหนึ่ง ส่วนตอนเช้าไม่รู้ว่าฉันคิดว่าเขาจะฆ่าฉันหรือเปล่าไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขากอดฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต่อให้ได้มาครอบครองก็ยังไม่เพียงพอ แต่ทั้งที่ทำไปจนนับครั้งไม่ได้ ส่วนนั้นของเขากลับไม่หดตัวลงเลย ไม่สิ อย่าว่าแต่หดตัว ไม่รู้ทำไมเหมือนมันจะยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ตอนที่ตื่นมาในตอนเช้า ฉันรู้สึกอยากเป็นลมจริงๆ หลังจากเห็นส่วนนั้นของเขาขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

‘คิดดูแล้ว ทำไมฉันถึงไปนอนอยู่แบบนั้นกันนะ…’

ฉันนึกว่าตอนลืมตาตื่นขึ้นมาจะอยู่ในอ้อมแขนของราธบันเสียอีก แต่กลับไปนอนขดตัวอยู่มุมหนึ่งของห้อง อีกทั้งยังไม่รู้ว่าระหว่างคืนฉันใส่เสื้อใหม่หรืออย่างไร เงื่อนตรงเอวถึงได้ถูกผูกใหม่ และอาจเป็นเพราะฉันผูกมันตอนหลับ เงื่อนถึงได้ถูกมัดไปคนละทางกับที่ฉันมัดเป็นปกติ

หลังจากฉันตื่นและส่งเสียงออกมา ราธบันก็ลืมตาขึ้นทันที เขามองฉันที่อยู่ไกลออกไปอย่างยากจะเชื่อ ก่อนจะดึงฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมอกอีกครั้ง ผ่านไปสักพัก หลังจากจับฉันที่อ่อนแรงกลับมา เขาก็พูดอย่างเขินอาย

“ไม่นึกเลยว่าข้าจะนอนหลับไปโดยที่ไม่รู้ว่าปล่อยท่านหลุดออกจากอก…”

“นั่นก็เพราะราธบันเหนื่อย…อา ไม่ใช่!”

แต่ก็สายไปแล้ว เขาเริ่มทำอีกครั้ง

‘เขาคงอดทนไว้นานมากจริงๆ…’

หากตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาคงไม่ปล่อยฉันออกจากอ้อมแขนแน่ ระหว่างที่มองเขาช่วยสวมเสื้อให้ฉันอย่างเสียดาย ฉันก็ลองจินตนาการถึงภาพที่ได้เดินทางไกลกับเขา จะดีแค่ไหนกันถ้าได้ไปท่องเที่ยวในโลกใบนี้ ได้ชื่นชมสิ่งที่สวยงามและน่าอัศจรรย์ไปพร้อมกับเขาอย่างไม่ต้องกังวลสิ่งใด เดินด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน

อนาคตที่เพียงแค่คิดก็ทำให้ยิ้มออกมาได้ แต่ไม่นานฉันก็นึกถึงมือของเขาที่จับฉันเมื่อคืน

อาจเพราะไม่ชอบที่ฉันรู้สึกผิดในทุกครั้งที่เห็น มือของเขาจึงพันผ้าพันแผลไว้ ร่องรอยของบาดแผลและพิษอยู่ใต้นั้น

‘ต้องไปหาอีริส’

ฉันไม่ได้ต้องการพลังศักดิ์สิทธ์ทั้งหมดที่นางครอบครอง ขอแค่ได้กลับคืนมาให้พอจะรักษาราธบันได้ก็เพียงพอแล้ว

“เหมือนจะเห็นหมู่บ้านตรงนั้นขอรับ ดูจากขนาดแล้วน่าจะมีโรงแรม”

เขาพูดขึ้นอย่างดีใจหลังจากเดินแบกฉันโดยไม่ได้หยุดพัก

“วันนี้พวกเรา…”

จู่ๆ ราธบันก็หยุดพูด ขณะที่ฉันยืดหน้ามองด้วยความสงสัยและเห็นภาพที่อยู่อีกฟากของไหล่เขา ฉันเองก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

ปากทางเข้าของหมู่บ้านที่เขาเห็นไกลๆ มีธงของวิหารหลวงแขวนอยู่

***

“ยังหานักบุญหญิงตัวปลอมกับราธบันไม่เจออีกอย่างนั้นหรือ”

ได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นของคาร์ล ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารก็ค้อมตัวลง

“ขออภัยขอรับ”

ปกติแล้ว หากตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวินว่างลง รองผู้บัญชาการจะเป็นผู้รับตำแหน่งนั้นต่อโดยอัตโนมัติ ทว่าคนที่รับตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยอัศวินตอนนี้ไม่ใช่รองผู้บัญชาการ ผู้บัญชาการอัศวินคนใหม่ เป็นคนที่ยังอ่อนเยาว์จนจัดอยู่ในกลุ่มคนที่ยังเด็กในหน่วยอัศวิน

‘จิ๊’

คาร์ลเดาะลิ้นในใจ

หลังจากราธบันกับนักบุญหญิงหลบหนีไป เขาก็รวบรวมหน่วยอัศวินขึ้นมาใหม่ทันที

หน่วยอัศวินแห่งวิหารยังไม่อาจยอมรับว่าผู้บัญชาการของตนฆ่าสหายคนเก่าแล้วหลบหนีไปได้ง่ายๆ สำหรับพวกเขา ราธบันยังคงเป็นหัวหน้าที่น่าเชื่อถือและยึดมั่น เป็นดั่งผู้มีพระคุณในชีวิตก็ว่าได้ เพราะในการสู้รบกับปีศาจที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพันทุกครั้ง ไม่มีใครที่ไม่เป็นหนี้ชีวิตเขา

ดังนั้นจึงมีคนที่ลาออกจากหน่วยอัศวินและออกจากวิหารหลวงไปทันทีที่มีคำสั่งให้ไปตามจับราธบัน แน่นอนว่าเขาออกหมายจับคนเหล่านั้นแล้ว ทว่าจะเอะอะโวยวายไปไม่ได้ เพราะมันจะกลายเป็นการป่าวประกาศว่ามีคนที่เชื่อฟังราธบันเป็นจำนวนมากเท่านั้น

คนที่จงรักภักดีกับราธบันเป็นแค่สิ่งกีดขวางสำหรับคาร์ล ด้วยเหตุนี้เขาจึงคัดหน่วยอัศวินจำนวนหนึ่งออกและสร้างกองกำลังของหน่วยอัศวินแห่งวิหารขึ้นมาใหม่หนึ่งหน่วย

คาร์ลเรียกคนเหล่านั้นมาทีละคนและอธิบายให้ฟังว่าจากนี้ไปเรื่องที่พวกเขาต้องทำนั้นสำคัญเพียงใด และคนที่กำลังหลบหนีได้ทำเรื่องโหดร้ายและชั่วช้าเพียงใด เพราะเป็นคนที่ยังเด็ก จึงโน้มน้าวได้ง่าย จิตใจอันเที่ยงธรรมที่ล้นพ้นจึงปะทุไปตามทิศทางที่คาร์ลต้องการ ทว่าก็มีเพียงความปรารถนาแรงกล้า แต่ความสามารถยังไม่เพียงพอ

ในตอนที่คาร์ลกำลังสาปแช่งเรื่องที่เหล่าอัศวินหนีไปและกัดฟันอยู่นั้นเอง

“ท่านผู้อาวุโสคาร์ล มีคนต้องการพบท่าน”

“…ตอนนี้เรียกได้ว่าวุ่นวายแล้ว”

“แต่ว่าเหล่าอัศวินที่ออกจากวิหารหลวงไป…”

“เหล่าอัศวิน?”

หมายความว่าพวกเขากลับมาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ควรจะรีบออกไปดู ขาข้างที่ไม่ดีพลันเจ็บแปลบทันทีที่เขาลุกขึ้นอย่างเร่งรีบ เขาจะตั้งใจสอนนักบุญหญิงคนใหม่ให้ดีกว่าอีเบลลีน่าเมื่อได้พบนาง ให้นางยอมมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของตนเองเพื่อขาข้างนี้ของเขา ในขณะที่คิดเช่นนั้นพลางม้วนผ้าที่ปิดทางเข้ากระโจม คาร์ลก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหว

หน้ากระโจมมีกลุ่มคนเปรอะเปื้อนเลือดถูกมัดด้วยเชือกเกลียวกำลังกลิ้งไปมา

“นี่มัน…”

จู่ๆ คนพวกนี้ก็โผล่ออกมาจากไหน แล้วใครทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพนี้ก่อนจะนำมาที่นี่กัน คาร์ลพิจารณาดูกลุ่มคนที่อยู่บนพื้น แม้จะไม่อาจแยกแยะได้ทันทีเพราะเปรอะเลือดและเปื้อนฝุ่นจนสภาพดูไม่ได้ ทว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่ เห็นได้ชัดว่าคือชุดเครื่องแบบของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร เมื่อพิจารณาดูใบหน้าก็พบว่ามีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคน พวกเขาล้วนแต่เป็นสมาชิกของหน่วยอัศวินที่บอกว่าราธบันไม่มีทางทำเช่นนั้น และโต้แย้งคาร์ลว่าจะไม่ไปตามจับเขาจนถึงที่สุด

สุดท้าย เมื่อคำสั่งตามจับราธบันถูกถ่ายทอดออกไป พวกเขาจึงทำตามคำสั่งนั้นไม่ได้และถอนตัวออกจากหน่วยอัศวินโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่?’

คาร์ลเงยหน้า ตอนนั้นเองเขาถึงได้เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง กลุ่มคนที่สวมชุดเกราะสลักลวดลายของจักรวรรดิไม่ใช่วิหารหลวง พวกเขาคือหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิ และชายผมสีทองที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของพวกเขามองคาร์ล ก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าราวกับยินดีที่ได้พบสหายที่ไม่ได้เจอกันนานอีกครั้ง

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ นักบวชคาร์ล ไม่สิ ตอนนี้เป็นผู้อาวุโสเสียแล้ว ยินดีได้มาเจอกันเช่นนี้อีกครั้ง”

เห็นท่าทางเช่นนั้นของเลออน คาร์ลก็หลุดพูดออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“องค์ชายรัชทายาทเลออน…? ได้ยินว่าตอนนี้ท่านทำสงครามกับอัศวินของเฟเวนอยู่…”

“เมื่อวานซืนข้าจัดการไปหมดแล้ว”

เลออนพูดออกมาทันทีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ใดเป็นพิเศษราวกับไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อันใด คาร์ลรีบพิจารณาสภาพเลออนอย่างว่องไว ยังคงสะอาดสะอ้าน ทว่าคาร์ลก็ไม่พลาดรอยเลือดที่ติดอยู่ใบหน้า กำปั้น และเสื้อของเขา

‘คงไม่ใช่ว่าเขาจับคนพวกนี้เองเลยกระมัง?’

ราวกับอ่านความสงสัยของคาร์ลได้ เลออนจึงกล่าว

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเข้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสระหว่างที่ข้าออกจากการคุ้มครองของวิหารหลวง”

ได้ยินดังนั้น คาร์ลต้องพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้สูญเสียรอยยิ้ม ทั้งที่ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสแล้ว แต่คำพูดระดับต่ำที่เลออนใช้ก็ยังเหมือนเดิม

“ข้าควรจะเตรียมของขวัญแสดงความยินดีมาให้ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าอย่างสถานการณ์ตอนนี้ทำให้หาของที่เหมาะสมยากเหลือเกิน หากไปนำมาจากจักรวรรดิก็น่าใช้เวลานาน…”

เลออนก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วเตะเอวของอัศวินที่คว่ำหน้าอยู่อย่างแรง

“ค่อก!”

อัศวินผู้นั้นทนต่อความเจ็บปวดไม่ได้จนล้มไป เลออนเหยียบไหล่ของเขาเบาๆ พลางยิ้มให้คาร์ล

“ข้าเลยจับพวกลูกหนูที่หลบหนีจากทางนั้นมาให้…แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่า”

เมื่อเห็นรอยยิ้มผ่าเผยของเลออนราวกับว่านี่เป็นของขวัญที่ดี คาร์ลก็ก้มศีรษะเล็กน้อยพลางตอบกลับ

“ขอบพระคุณที่ท่านช่วยจับอัศวินที่หลบหนีออกไปจากวิหารหลวงให้ แต่ทว่าอย่างไรพวกเขาคือผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยถือดาบอยู่ภายใต้ชื่ออันมีเกียรติของพระเจ้า ขอให้ท่านหยุดการปฏิบัติที่รุนแรงด้วย”

“เจ้ายังคงรักษาเกียรติของคนเช่นนี้อีก ตำแหน่งผู้อาวุโสคงจะเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก”

เลออนยกไหล่พลางเอาเท้าลง คาร์ลมองดูภาพที่อัศวินคนนั้นถลึงตาจ้องเลออนเขม็งเงียบๆ

ท่ามกลางคนที่ติดตามราธบัน พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถและสมรรถภาพเป็นเลิศ ดังนั้นแม้อัศวินที่เหลืออยู่ในวิหารจะไล่ตามอย่างไรก็ไม่อาจจับตัวมาได้ แต่นี่เขากลับจับอัศวินเหล่านั้นกลับมาได้หมดถึงเพียงนี้ ในตอนที่คาร์ลกำลังประเมินความสามารถของเลออน เขาก็เข้ามาข้างคาร์ล หน่วยอัศวินแห่งวิหารที่ยืนอยู่ด้านข้างเฝ้าระวังทันใด คาร์ลยกมือห้ามปราบพวกเขา

“รักษามารยาทกับองค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิ”

เลออนมองการกระทำนั้นของคาร์ลด้วยความพึงพอใจก่อนจะเปิดปาก

“ข้าได้ยินมาระหว่างทาง เห็นว่าเจ้ากำลังจะไปทรีออนเพื่อตามหานักบุญหญิงคนใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้น”

“…ใช่แล้ว”

“หากไม่รบกวน พวกเราร่วมเดินทางไปด้วยกันเป็นอย่างไร? อย่างที่เจ้ารู้ ข้า…”

เลออนที่เข้ามาจนถึงหน้าคาร์ลตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ก้มตัวลงแล้วกระซิบข้างหูเขา

“ชอบนักบุญหญิงคนก่อนมากเหลือเกิน แถมยังไม่ชอบใจผู้บัญชาการคนก่อนที่ตัวติดอยู่ด้านข้างมาก”

ได้ยินดังนั้น คาร์ลก็ถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วพิจารณาเลออน มนุษย์ที่ถูกเรียกว่าจิ้งจอกสีทอง ตอนอยู่ในวิหารหลวง แม้จะมองดูโง่เขลาแต่ก็เป็นคนที่ไม่ทิ้งช่องโหว่ใดไว้เลย อาจเพราะตระหนักได้ถึงความลังเลของคาร์ล เลออนจึงกล่าวเสียงต่ำอีกครั้ง

“ข้าต้องการนาง ดังนั้นจึงได้ร่วมมือ แน่นอนว่าอัศวินของข้าก็เช่นกัน”

คาร์ลเห็นความสัตย์จริงอันดิบเถื่อนเปล่งประกายอยู่ใต้ใบหน้าที่กำลังยิ้ม

‘อยากได้อีเบลลีน่าอย่างนั้นหรือ…’

หากว่าจับกลับมาได้ อย่างไรเขาก็ตั้งใจจะฆ่าอีเบลลีน่าต่อหน้าอีริส ไม่ใช่ว่าร่างกายที่ยังสาวและงดงามไม่น่าเสียดาย แต่นางผู้ไม่มีพลังศักด์สิทธิ์ไม่ใช่คนที่สำคัญกับเขาเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว อย่างไรเขาก็อยากเหยียบย่ำนางมากกว่าสรรหาความสุขทางกายอันน่าตื่นตาตื่นใจจากนาง

แต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับต้องการของที่เขาทิ้งแล้วเสียนี่ ไม่ใช่การค้าที่เสียหาย อีกทั้งความสามารถของเลออนและอัศวินของเขายังเป็นสิ่งที่เร่งด่วนสำหรับคาร์ลที่ไร้หน่วยอัศวินที่เหมาะสม หากร่วมมือกัน เลออนจะต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อตามจับอีเบลลีน่าและราธบันกลับมาแน่นอน

คาร์ลยิ้มเหมือนอย่างที่เคยมาตลอด พลางตอบกลับเลออน

“วิหารหลวงรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับความร่วมมือที่ฝ่าบาทมอบให้”