เลออนกะพริบตาอย่างเชื่องช้า เขากำลังนั่งฟังรายงานของทหารคนสนิทภายในกระโจมที่กองทัพจักรวรรดิตั้งขึ้นอย่างกะหันทัน หลังจากพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันไปสักพัก เขาก็บอกว่าตอนนี้ออกไปข้างนอกได้แล้วพลางไล่ทหารออกไป

เหล่าทหารคนสนิทรู้ดีว่าในเวลาแบบนี้ควรจะรีบออกไปให้เร็วที่สุด จึงกล่าวว่าหากมีเรื่องอะไรให้เรียกหา แล้วออกไปจากกระโจมอย่างว่องไว หลังจากฟังเสียงที่ลอดเข้ามาจากด้านนอกในกระโจมคนเดียว เขาก็เอนตัวพิงเก้าอี้แล้วโยกมันอย่างน่าหวาดเสียว

‘กำลังมุ่งหน้าไปทรีออนอยู่นี่เอง’

ทหารคนสนิทของเขาได้ถามข้อมูลที่หมู่คณะของวิหารหลวงพอจะรู้จากพวกเขา ดูจากตำแหน่งของโรงแรมที่นักบุญหญิงและราธบันเข้าพักเป็นครั้งสุดท้าย รวมถึงความเร็วที่พวกเขาใช้เดินทาง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็กำลังมุ่งหน้าไปทรีออนเหมือนกับคาร์ลเช่นกัน

‘ทำไมถึงได้ไปที่นั่น’

เลออนไม่เข้าใจเลย ในตอนที่เขาได้ยินข่าวคราวเป็นครั้งแรก เขาเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าหากตนเป็นราธบันจะทำอย่างไร

นักบุญหญิงอยากรู้อยากเห็นโลกด้านนอกวิหารหลวงเป็นอย่างมาก เขาจึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ที่น่าอัศจรรย์และงดงามของโลกใบนี้ในทุกครั้งที่ไปหานางอยู่เสมอ นักบุญหญิงไม่อาจละสายตาไปจากหนังสือรวมภาพเขียนของเขาได้เลย แต่แล้ววันหนึ่งนางก็พึมพำความในใจออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“ถ้าได้ไปที่นี่จะต้อง…”

แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในวิหารหลวง แต่ก็ใช่ว่านักบุญหญิงถูกขังอยู่ในนั้นมาตลอดชีวิต ก่อนที่เขาจะได้ยินว่านางทำตัวเหลวแหลก นางก็เคยไปถึงชายแดนของแผ่นดินและใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือชาวบ้านด้วยตนเอง แต่นางกลับพูดราวกับคนที่ไม่เคยเห็นสิ่งใด และไม่เคยไปที่ใดมาเลยตลอดชีวิต

เพราะเหตุใดนางถึงมุ่งหน้าไปทรีออน

เลออนย้อนนึกถึงราธบันที่อยู่ข้างนาง เขาทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารและไปกับนางที่สูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ราธบันสามารถทำสิ่งใดก็ได้เพื่อนาง เช่นนั้นแล้วการไปอีกสถานที่ซ่อนเร้นที่อยู่อีกฟากของทวีปยังน่าจะดีเสียกว่าไปทรีออนที่เต็มไปด้วยอันตรายสิ จริงอยู่ว่าคำสั่งตามล่าจะตามติดไปชั่วชีวิต แต่อย่างน้อยมันก็ยังปลอดภัยกว่าไปทรีออนในตอนนี้

ในตอนที่กำลังจมอยู่กับความคิด ทหารคนสนิทด้านนอกผู้หนึ่งก็เอ่ยเรียกเขา

“ฝ่าบาท”

“…เข้ามา”

หากยังเข้ามาหาทั้งที่เขาบอกให้ออกไป แสดงว่าจะต้องมาบอกเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“เป็นเรื่องที่ได้ยินระหว่างที่เดินผ่านหน่วยอัศวินแห่งวิหารมาพ่ะย่ะค่ะ…ดูเหมือนว่าเซอร์ราธบันจะได้รับบาดเจ็บ”

“หมายความว่าอย่างไร?”

“เห็นว่าพวกเขาพบมีดที่ทาพิษขนานแรงที่บ้านแห่งความตายด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ทว่าหลังจากที่จัดการศพแล้วมันก็หายไป”

“พิษขนานแรงนั่น แรงขนาดไหน?”

“ดูเหมือนจะเป็นพิษที่ทำให้กระทั่งผิวของศพก็เน่าเปื่อยได้พ่ะย่ะค่ะ”

ได้ยินดังนั้น เลออนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนักบุญหญิงกับราธบันถึงมุ่งหน้าไปทรีออน

‘ราธบันบาดเจ็บ’

พิษแบบนั้นส่วนใหญ่เป็นพิษของปีศาจ ราธบันเองก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถรักษาพิษและบาดแผลได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็คงไม่อาจจัดการมันได้หายขาด และวิหารส่วนใหญ่ในแผ่นดินตอนนี้ได้รับการติดต่อจากวิหารหลวงให้ตามจับทั้งสองคนแล้ว

บัดนี้ในบรรดานักบวชที่สามารถรักษาพิษระดับนั้นได้ ไม่มีใครยอมรักษาให้ราธบัน เช่นนั้นแล้ววิธีการเดียวที่เหลืออยู่ก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิง

‘อาจจะไปตามกลับคืนมา หรือไม่ก็ไหว้วานให้หญิงสาวที่ชื่อว่าอีริสช่วย…’

เลออนทำสัญญาณมือไล่ทหารคนนั้นให้ออกไป หลังจากเหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง เขาก็ยกมือปิดหน้า

‘นางกำลังไปทรีออนเพื่อช่วยชีวิตราธบัน’

นักบุญหญิงทิ้งความหวังที่เขาวาดฝันไว้ด้านหลัง แล้วกำลังเคลื่อนไหวเพื่อราธบัน

เลออนโยนคำสบถด่าที่อัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังที่เขารู้ทั้งหมดไปหาราธบัน ไอ้คนน่าอิจฉา

เขาเองก็ต้องการนาง ไม่สิ เขาสามารถมอบทุกสิ่งอย่างที่มากกว่าราธบันให้ได้ด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาสามารถพานางไปทุกที่ที่นางอยากไปได้โดยไม่จำเป็นต้องถูกไล่ล่าจากวิหารหลวงเช่นนี้เลย

หลังจากซุกใบหน้ากับมืออยู่สักพัก เลออนก็เงยหน้าขึ้น ถึงตอนนี้จะคิดเกี่ยวกับราธบันไปก็มีแต่ทำให้รู้สึกปวดท้อง เขาต้องคิดถึงอนาคต วิธีที่จะทำให้เขาชนะในตอนสุดท้าย

ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงอัศวินที่ถูกเหยียบใต้ฝ่าเท้าเมื่อครู่ก่อนขึ้นมา

“…ไม่ใช่ว่ามีพรสวรรค์ด้านการแสดงกว่าการเป็นอัศวินหรอกหรือ?”

ภาพที่อีกฝ่ายถลึงมองตาเขาดูแล้วมีความเกลียดชังจากใจจริง

‘เหยียบแรงไปหรือเปล่านะ?’

แต่ก็ช่วยไม่ได้ การแสดงอย่างเงอะงะไม่สามารถหลอกคาร์ลได้นี่นา

ก่อนจะเข้ามาในกระโจม เลออนได้บอกคาร์ลว่าให้ไว้ชีวิตอัศวินพวกนี้และลากไปหาราธบัน หากตัดหัวพวกเขาทีละคนต่อหน้าอีกฝ่าย ราธบันก็จะเปิดเผยตัวออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แน่นอนว่าเลออนไม่คิดทำเช่นนั้นอยู่แล้ว

เลออนสะบัดมือข้างที่เจ็บ สงสัยกลัวจะไม่สมกับเป็นอัศวินแห่งวิหาร เหล่าอัศวินช่างแข็งแกร่งพอๆ กับหัวหน้าของพวกเขาเสียจริง

‘คาร์ลคงคิดว่าจับตัวประกันได้แล้วกระมัง’

ตัวประกันอะไรกันเล่า หน่วยอัศวินแห่งวิหารเพียงแค่เลือกเส้นทางที่จะได้ไปหาหัวหน้าของตนเองได้เร็วและสบายที่สุดเท่านั้น ส่วนเขาก็เพียงแค่ส่งเสริมนิดหน่อยเท่านั้นเอง

***

ซว่ากกก

ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยเสียงฝนตกกระทบใบไม้ ราธบันมองท้องฟ้าอยู่ใต้หินก้อนใหญ่ นี่ไม่ใช่ฝนที่จะหยุดง่ายๆ แต่อย่างไรก็วันนี้ก็มืดแล้ว ได้นอนที่นี่ก็คงจะดีเหมือนกัน

เขาหันหน้ามองนักบุญหญิงที่นอนอยู่ด้านข้าง นางที่หลับไปอย่างไม่รู้สึกตัวทันทีที่นอนลงบนผ้ารองนอนราวกับตายกำลังตัวขดสั่นเพราะอากาศหนาวเย็นในภูเขา เห็นดังนั้น ราธบันก็ถอดเสื้อตัวนอกแล้วคลุมให้นางอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอาการสั่นก็หยุดลง รอยยิ้มจางๆ ผลิบานบนใบหน้าของนาง

มองนักบุญหญิงที่นอนจับชายเสื้อของตนแน่นขณะหลับ ราธบันก็เบนสายตามามองมือตนเอง เขาค่อยๆ ถอดถุงมือออก เผยให้เห็นผ้าพันแผลที่ถูกมัดอย่างแน่นหนา เขาคลายมันอย่างระวัง

“เฮ้อ…”

เสียงถอนหายใจยาวดังออกมาจากปากของเขา

‘ลามแล้ว’

เนื้อที่ของผิวที่เปลี่ยนเป็นสีดำขยายใหญ่ขึ้นกว่าที่เห็นคืนก่อน บัดนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่อาจกดพิษไว้ได้อีกต่อไปแล้ว หลังจากประเมินว่ามันใหญ่ขึ้นขนาดไหน เขาก็พันผ้าพันแผลใหม่อีกครั้ง

‘ไม่มีเวลาแล้ว’

แม้จะข้ามหุบเขาอย่างรวดเร็ว แต่เวลาก็ยังจวนตัว อีกทั้งยิ่งพิษนี้แผ่กระจายมากเท่าไร มันก็ยิ่งกลืนกินพละกำลังของเขามากเท่านั้น

‘ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ทรีออนล่ะก็…’

เขาก็คงตาย

แน่นอนว่าเขาไม่มีความคิดที่จะตาย

‘อีริสอย่างนั้นหรือ’

ราธบันพึมพำชื่อนั้น ก่อนลูบแขน คงเป็นเพราะเริ่มพิษลาม เขาถึงได้รู้สึกหนาวเป็นครั้งแรก

***

“เจ้า อีนางนี่! เจ้าตั้งใจทำเช่นนี้ใช่ไหม!”

หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนเช่นนั้นพลางจับคางอีริส อีริสที่ถูกจับมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าหวาดกลัว หัวหน้าหมู่บ้านยกมือขึ้นราวกับจะตบลงมาเดี๋ยวนั้นพลางตะโกนเสียงดัง

“เป็นเจ้าที่รักษาพิษให้คนอื่น! แสร้งทำเป็นไม่รู้ก็ไม่มีประโยชน์! มีคนบอกว่าเป็นเจ้า แล้วยังไม่ใช่ว่านักบวชของวิหารก็ตามหาเจ้าอยู่หรือ?”

หัวสมองพลันวิงเวียนเพราะการสั่นอย่างแรง อีริสร้องโอดโอยพลางยกแขนมาบังศีรษะ เพราะหัวหน้าหมู่บ้านทำท่าจะต่อยกำปั้นลงมาหานางบัดเดี๋ยวนั้น

“ที่รัก เอามือลงก่อน!”

เป็นภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านที่ช่วยอีริสจากหัวหน้าหมู่บ้าน นางผลักสามีของตนเองอย่างแรง แล้วเข้าไปคุกเข่าเบื้องหน้าอีริสที่กุมคอหายใจอย่างลำบาก จากนั้นก็จับชายกระโปรงอีริส ก่อนเริ่มร้องไห้และอ้อนวอนนาง

“ข้ารู้ว่าลูกของข้าชอบแกล้งเจ้า หากว่าเป็นเพราะเรื่องนั้นข้าก็ขอโทษ เพราะงั้นเจ้าช่วยลูกของข้าด้วย ได้ไหม? เจ้าก็รู้นี่ว่าลูกของข้าชอบเจ้าเลยทำตัวไปเช่นนั้น ก็เป็นแค่การหยอกล้อเล่นขำๆ เท่านั้นเอง”

“ขำๆ…?”

ได้ยินดังนั้น อีริสก็กัดริมฝีปาก

นางจดจำได้ดีว่าลูกชายผู้สูงส่งที่พวกเขาร้องขอให้ช่วยชีวิตทำเรื่องอะไรไว้กับตนบ้าง

เขาเป็นอันธพาลของหมู่บ้าน ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเขาวางกล้ามและเที่ยวหาเรื่องไปทั่ว และยังพูดคำหยาบคายที่ส่อไปทางเพศอย่างล้อเล่นกับหญิงสาวที่ยังวัยเยาว์ในหมู่บ้านบ่อยครั้ง ซึ่งคนที่ไม่มีพ่อแม่อย่างอีริสถือเป็นเหยื่อที่ดีสำหรับอีกฝ่าย

เขามักจะชวนทะเลาะอยู่บ่อยๆ และพยายามจะแตะเนื้อต้องตัว หากอีริสวิ่งหนีไปด้วยความตกใจกลัว เขาก็จะระบายความโกรธด้วยการเหยียบสมุนไพรที่นางขุดมาจากภูเขาและตากแห้งไว้ ถุยน้ำลายใส่จนทำให้พวกมันใช้ไม่ได้ เขาเคยพยายามจะเข้ามาในบ้านของนางในวันที่เมามายด้วยเช่นกัน จากเหตุการณ์นั้น อีริสจึงต้องตรวจสอบประตูที่ล็อกแล้วซ้ำไปซ้ำมาถึงจะนอนหลับได้ และมีหลายวันที่ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจเพียงเพราะได้ยินเสียงเบาๆ

แต่นี่นางบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การหยอกล้อขำๆ อย่างนั้นหรือ?

“ใช่แล้ว ลูกชายรุ่นราวคราวเดียวกันก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น พวกเขาก็แค่รับมือกับความคึกคะนองของตัวเองไม่ได้เท่านั้นเอง ลูกของเข้าอาจจะพูดไม่ดี แสดงไม่เก่ง แต่อันที่จริงเนื้อแท้เป็นเด็กดีมาก คราวนี้ที่บาดเจ็บก็เพราะเขาออกไปข้างนอกเพื่อหมู่บ้านมิใช่หรืออย่างไร”

อีริสรู้ว่าเพราะเหตุใดลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านถึงได้รับบาดเจ็บ ช่วงนี้หมู่บ้านตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะทางฝั่งนี้มีปีศาจปรากฏตัว ท่ามกลางผู้คนที่ไม่สบายใจ ลูกชายของเจ้าของหมู่บ้านกลับถือดาบขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยฟันอะไรเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ แล้วตะโกนเสียงดังว่าตนเองยังมีความสามารถมากกว่าเหล่าอัศวินธรรมดาๆ เสียอีก

ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านที่วันต่อมาก็บอกว่าตนจะไปจับปีศาจแล้วออกจากหมู่บ้านไป กลับมาด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากศพก่อนจะถึงกลางคืนด้วยซ้ำ

“เขาเสียสละตนเองเพื่อหมู่บ้าน ไม่น่าสงสารหรอกหรือ? ทั้งที่เสียสละชีวิตเพื่อพวกเราถึงเพียงนั้น?”

นางสัมผัสได้ถึงรสชาติฝาดเฝื่อนของเลือดจากริมฝีปากที่ขบกัดแน่น ความโกรธของอีริสพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านที่กล่าวราวกับว่าเจ้ามันแย่ที่ไม่ยอมช่วยเหลือ สงสารอย่างนั้นหรือ? นางจำได้ว่าตนรู้สึกเสียดายด้วยซ้ำที่เขาไม่ตายไปทันทีในวันที่เขากลับมาด้วยสภาพร่อแร่

อีริสไม่สงสารลูกชายเจ้าของหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อย

ตอนนั้นเอง รอบข้างประตูก็เอะอะโวยวาย ก่อนที่ใครบางคนจะเข้ามา

“อาการน่าเป็นห่วงแล้ว!”

ใครบางคนในหมู่บ้านแบกลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านเข้ามา เป็นอย่างที่เขาพูด ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านเหลือลมหายใจอีกไม่มากแล้ว เห็นดังนั้น ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็กรีดร้องและเข้าไปหาเขา หัวหน้าหมู่บ้านจับอีริสอีกครั้ง

“เร็ว! รีบรักษาเดี๋ยวนี้! ไหนว่าเจ้ารักษาทุกคนที่บาดเจ็บจากปีศาจอย่างไร! แล้วทำไมถึงไม่ช่วยลูกชายข้า! รีบรักษาบัดเดี๋ยวนี้! ถ้าทำไม่ได้ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”

หัวหน้าหมู่บ้านจับอีริสลากไปหาลูกชายของตน แล้วหยิบมีดที่ใช้หาสมุนไพรซึ่งอยู่มุมหนึ่งของบ้านนางขึ้นมา

“เร็ว! ข้าบอกให้เจ้าช่วยเขา!”

ใบหน้าของอีริสขาวซีดทันทีที่มีดมาแกว่งอยู่ตรงหน้า เขาจะฆ่านาง หากตอนนี้นางไม่รักษาลูกชายของเขา ถ้าหากคนในหมู่บ้านไม่ห้ามอีกฝ่ายที่กำลังเดือดพล่าน บางทีอาจจะเกิดบาดแผลไปหลายแผลแล้วก็ได้

อีริสวางมือบนหลังของลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความหวาดกลัว

‘ไม่’

ข้าเกลียดคนผู้นี้

‘ข้าไม่อยากช่วย’

หากมีชีวิตรอดจะต้องมาแกล้งนางอีกแน่ แล้วทำไมนางต้องช่วยคนผู้นี้ด้วย?

อีริสคิดเช่นนั้นพลางจดจ่อสมาธิ

“…เอ๋?”

ทว่าบนมือของนางไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดทั้งสิ้น

“ปะ เป็นไปไม่ได้…”

เมื่อเช้าที่บ้านนางยังตรวจสอบว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่เลย แล้วทำไมจู่ๆ?

ทันทีที่อีริสมีสีหน้าตระหนก สีหน้าของเจ้าของบ้านและภรรยาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อจนเย็นยะเยือก อีริสตั้งสติอีกครั้ง ทว่าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม

“อะไรกัน? ไม่มีอะไรเลยนี่?”

“ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

“ก็จริง จะมามีพลังศักดิ์สิทธิ์อะไรในหุบเขาแบบนี้เล่า ข้าก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่”

คนในหมู่บ้านที่กำลังมองดูอยู่เริ่มส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ภรรยาของเจ้าของหมู่บ้านคว้าแขนอีริส

“เจ้า เจ้า…จงใจใช่ไหม…? เจ้ามีพลังศักดิ์สิทธิ์แล้วทำไมถึงแกล้งทำเป็นไม่มี? จะทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้ารีบใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าช่วยรักษาลูกข้าเดี๋ยวนี้ เป็นเรื่องสมควรแล้วคนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ต้องช่วยคนที่ไม่มี”

ดวงตาของภรรยาเจ้าของหมู่บ้านที่กล่าวว่าสิ่งที่เจ้ามีอยู่เป็นสิ่งต้องแบ่งให้ทุกคนประกายไปด้วยความวิกลจริต

“หรือว่า…เจ้าโกหกอย่างนั้นหรือ? เจ้าโกหกพวกเราว่าเจ้าเป็นนักบุญหญิงอย่างนั้นหรือ?”

เสียงของภรรยาเจ้าของหมู่บ้านสูงขึ้น อีริสส่ายหน้า นางไม่เคยบอกว่าตนเองเป็นนักบุญหญิงเลยสักครั้ง ทำได้เพียงแค่ร้องไห้ขอให้ใครคนอื่นช่วยเวลาเห็นคนจะตายตรงหน้า แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเข้ามาอยู่ในร่างของนาง

“เจ้าโกหกเรื่องที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”

ได้ยินเสียงร้องกะโกนของภรรยา หัวหน้าหมู่บ้านก็จับคางอีริสแล้วยกตัวขึ้น ร่างเล็กดิ้นตะเกียกตะกายอยู่กลางอากาศ แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ปล่อยมือ

“ข้าเชื่อเจ้า แต่เจ้าตั้งใจจะฆ่าลูกข้าด้วยคำโกหกงั้นรึ? ถ้าลูกข้าตาย คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ?”

“ชะ ช่วยด้วย!”

อีริสเอื้อมมือไปหาผู้คน แต่คนในหมู่บ้านกลับหันหน้าหนีจากนาง

ได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็รู้ว่าเขากำลังดื้อดึง อีริสไม่ได้บอกแต่แรกว่าตนเองรักษาได้ และยังไม่ได้บอกว่าตนมีพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วย แค่สามีภรรยาคู่นั้นกลับเชื่อคำพูดของคนอื่นตามใจแล้วพากันมาหานาง

ทว่าตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าพูดความจริงออกไปสักคน เพราะหากอีริสหายไป ความโกรธนั้นก็จะพุ่งมาหาพวกเขาแทน

อีริสมองคนในหมู่บ้านที่เป็นเช่นนั้นพลางคิด

หากมนุษย์พวกนี้ตายไปเสียให้หมดก็คงจะดี

ตอนนั้นเอง

กร๊าซซซ!

เสียงลางบอกเหตุรุนแรงที่เหมือนจะฉีกท้องออกฟ้าดังล้อมทุกคน

“ปีศาจ!”

เสียงร้องตะโกนของผู้คนดังด้านขึ้นนอกบ้าน

“ทุกคนหนี! ปีศาจโจมตี!”

ทุกคนวิ่งพล่านออกไปด้านนอกอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้ยินดังนั้น ชายที่แบกร่างลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านสังเกตคู่สามีภรรยา ก่อนจะโยนลูกชายของอีกฝ่ายที่อยู่บนหลังลงพื้น แล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว หัวหน้าหมู่บ้านปล่อยมือที่จับอีริสแล้วรีบเข้าไปหาลูกชาย อีริสไม่พลาดโอกาสนี้

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”

แล้วนางจะยืนอยู่หรือ อีริสหลบมือที่จะจับตนและวิ่งออกไปด้านนอกอย่างกระวีกระวาด

“…!”

ทว่า ขณะที่กำลังจะออกไปนอกบ้าน นางก็ต้องสะดุ้งตกใจ ปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นไม่ได้มีแค่ตัวเดียวเท่านั้น ผึ้งขนาดเท่าลูกสุนัขบินแน่นอยู่เต็มท้องฟ้าจนเป็นสีดำสนิท หลายตัวในกลุ่มเริ่มเกาะผู้คนและดึงเนื้อด้วยขากรรไกรที่แหลมคมของพวกมัน

“อ๊ากกก!”

“ช่วยด้วย!”

ภาพนรกทั้งเป็นที่เกิดขึ้นตรงหน้ากะทันหันทำให้อีริสหมุนตัวกลับ ต้องกลับเข้าไปแอบในบ้านอีกครั้ง…

ควากกก!

ชั่วขณะที่อีริสหมุนตัวกลับ เท้าของนกขนาดใหญ่ก็เหยียบบ้านนาง

“อา…”

อีริสตัวสั่น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าปีศาจขนาดใหญ่เท่าเนินเขาขนาดเล็กกำลังจ้องอีริสเขม็งอยู่ตรงนั้น เป็นปีศาจที่นางมองเห็นมันบินอยู่ไกลๆ ด้วยใจระทึก เฮกซ่า

“อา อา…”

ทั้งที่ควรจะวิ่งหนี แต่เท้ากลับไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย เลือดสีแดงไหลออกมาระหว่างเศษชิ้นส่วนของบ้านที่แตกกระจาย บางทีคงเป็นเลือดของครอบครัวเจ้าของหมู่บ้านที่อยู่ในบ้าน และบัดนี้ก็คงจะมีเลือดของนางเพิ่มไปในกองเลือดนั้นเช่นกัน

“ชะ ช่วยด้วย…”

อีริสยกมือ ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจไม่ชอบพลังศักดิ์สิทธิ์…เพราะฉะนั้นถ้านางใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มันจะต้องหนี…

ทว่าปลายนิ้วของนางกลับมีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์เลือนลางปรากฏขึ้น

ตายแน่แล้ว

อีริสปิดตาลงพร้อมกับน้ำตาที่หยดเหมาะแหมะ เฮกซ่าส่งเสียงร้องราวกับจะหัวเราะเยาะอีริสที่เป็นเช่นนั้น เฮกซ่ายกเท้าขึ้น มันตั้งใจจะเหยียบลงมา

ชั่วขณะนั้น จู่ๆ ก็มีบางอย่างดึงเอวอีริสออกมา

“…!”

อีริสมองสิ่งที่จับตนเองด้วยความตกใจ ขนสีแดงเข้มที่ดูราวกับจะแผดเผา เห็นได้ชัดว่าคือมือของสัตว์เดรัจฉาน

“คะ ใคร…”

อีริสหันศีรษะไปอย่างสั่นกลัว

“…!”

ต่างจากที่คิดว่าจะเป็นปีศาจอีกตัว ตรงนั้นกลับมีชายเจ้าของเส้นผมยาวสีเดียวกับขนของแขนที่จับตนยืนอยู่ เขาใช้ดวงตาที่แดงยิ่งกว่าจ้องอีริสเขม็ง ชั่วขณะ อีริสก็มั่นใจได้

ชายคนนี้คือปีศาจ แถมยังเป็นปีศาจที่อันตรายกว่าเฮกซ่า