ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 197 ใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เมื่อได้ยินข้อสงสัยของเยี่ยนจ้าวเกอ ถังหย่งฮ่าวก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟยระแวดระวังถึงจุดนี้ต่างก็แปลกใจอยู่บ้าง สวีเฟยเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ถัง ท่านรู้อะไรใช่หรือไม่”

ถังหย่งฮ่าวขมวดคิ้วพลางกล่าวตอบ “ระหว่างทางมายังที่นี่ ข้าได้พบบางคนเข้า และได้ยินข่าวลือบางอย่าง ทว่าตอนนี้ยังไม่อาจยืนยัน”

“พอจะเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยหรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย

ถังหย่งฮ่าวมองเยี่ยฉงโจวและหลี่จิ้งหว่านแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนใจและไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่ใช้ปราณจิตราส่งกระแสจิตไปยังเยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟย ‘ในข่าวลือ ผู้ที่ก่อปัญหาคือผู้อาวุโสเฉินแห่งเมืองทะเลมรกต ซึ่งนำคณะมายังทะเลสาบปิดนภาครั้งนี้’

ในสมองเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎหน้าตาของชายชราหัวแข็งผู้นั้นออกมา ‘ผู้อาวุโสเฉิน?’

‘ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยัน เหมือนกับว่าไม่พบร่องรอยผู้อาวุโสเฉินแล้ว รอเขาปรากฎกายก่อน จึงจะสามารถสะสางข้อเท็จจริงเรื่องราวให้ชัดเจนได้’ ถังหย่งฮ่าวกล่าว

เขาเกิดที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ร่วมสำนักเมืองทะเลมรกตคือศัตรูคู่อาฆาต ไม่อาจให้ค่าได้มากนัก ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินชี้ขาดสะเปะสะปะเช่นกัน

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงฟังเข้าใจ ความหมายภายในคำพูดของถังหย่งฮ่าว คือจะชี้ว่าผู้อาวุโสเฉินขณะนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง พลันหายสาบสูญไป น่าเหลือเชื่ออยู่บ้างจริงๆ

‘ถูกนพยมโลกชักจูง ไม่มากก็น้อยล้วนมีสาเหตุอยู่บ้าง เหมือนเช่นหลิวเซิ่งเฟิงที่มีอุปนิสัยโหดเหี้ยมทารุณ ชอบทรมานผู้อื่น ทั้งยังถูกสำนักคุมขังควบคุมนิสัยไว้’ เยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับของตน ‘มหาปรมาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ที่มีพลังฝึกปรือสูงล้ำ ปณิธานมักจะยิ่งแน่วแน่มากขึ้น ไม่ง่ายที่จะถูกนพยมโลกสั่นคลอน’

‘แต่ก็เป็นเพราะว่าปณิธานแน่วแน่ด้วยเช่นกัน วันใดวันหนึ่งความคิดเกิดเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็จะปรากฎความหัวแข็งให้เห็นมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ดื้อดึงและบ้าระห่ำมากยิ่งขึ้น’

เยี่ยนจ้าวเกอหายใจออกยาวคำหนึ่ง ‘ผู้อาวุโสโม่แห่งเขาไร้พรมแดนนั้นเป็นเพราะสาเหตุอันใด ข้าก็ไม่แนใจ แต่ดูจากลักษณะของเขา เห็นได้ชัดเจนว่าร้ายกาจสุดขั้ว เต็มไปด้วยความโกรธแค้นอยุติธรรม ผู้อาวุโสเฉินแห่งเมืองทะเลมรกต ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าแม้จะหุนหันพลันแล่นและหัวแข็งอยู่บ้าง แต่ในที่สุดแล้วยังเปิดเผยตรงไปตรงมาใจกว้างต่อผู้คน’

ถังหย่งฮ่าวได้ยินดังนั้นก็ผงกศีรษะ หลังจากสวีเฟยไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เขาเอ่ยด้วยความลังเลอยู่บ้างว่า ‘เป็นไปได้หรือไม่ ว่าเป็นเพราะเรื่องหลานชายของเขา’

‘หืม?’ เยี่ยนจ้าวเกอประหลาดใจไม่น้อย ใบหน้าถังหย่งฮ่าวก็เผยเห็นสีหน้าเข้าใจในทันใดอยู่หลายส่วน

สวีเฟยกล่าวอธิบาย ‘จ้าวเกออาจจะไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะเรื่องมันค่อนข้างนานมาแล้ว หลายปีก่อนผู้อาวุโสเฉินสูญเสียบุตรชาย บุตรสาวมีหลานชายแท้ๆ สืบทอดเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ก็ป่วยกระออดกระแอดมาโดยตลอด หมดหนทางฝึกยุทธ์เช่นกัน ทำได้เพียงแค่บำรุงรักษาอย่างช้าๆ เท่านั้น ปล่อยให้ร่างกายนับวันยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ กลายเป็นผู้อาวุโสเฉินที่ความทุกข์ใจใหญ่หลวงมากที่สุด’

เขาถอนใจครั้งหนึ่ง ‘นี่เป็นเรื่องหลายปีมาแล้ว สองสามปีมานี้ไม่มีข่าวสารส่งออกมาเลย ก็ไม่รู้เช่นกันว่า…เฮ้อ!’

‘เช่นนี้เองหรือ…’ เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ ไม่ได้กล่าวอะไรมากนัก

สายตาของเขาทอดมองไกลออกไป แต่ละสนามต่อสู้ตรงนั้นต่างก็ค่อยๆ แบ่งแยกผลแพ้ชนะ

นพยมโลกสิ้นหวังเยื้องกราย แดนมารแตกสลายแว้งกัด เหล่ายอดฝีมือภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตไม่มีหวังจะชนะแล้ว ผู้ที่สามารถหลีกหนีได้ล้วนเริ่มหลบหนี ผู้ที่หลีกหนีไม่ได้ก็ต่อสู้เอาเป็นเอาตาย

ผู้คนจำนวนน้อยที่ไม่ได้ตกเป็นมาร หลังจากถูกจับเป็นแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมามีชีวิตอยู่หลายส่วน

ที่เหลือส่วนมากล้วนกลายเป็นมารแล้ว ต่อให้ถูกจับเป็น หลังจากบังคับถามให้พูดข้อมูลออกมาแล้ว เกินกว่าครึ่งก็จะถูกบั่นคอด้วยเช่นกัน

สงครามอันดุเดือดสิ้นสุดลงทีละสนาม บัดนี้ความเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภาค่อยๆ สงบลงในที่สุด

พลังปราณอันแข็งแกร่งสายต่อสาย เริ่มเข้าใกล้ยังใจกลางผิวทะเลสาบใหม่อีกครั้ง

ผู้ที่มาถึงก่อนก็คือหญิงชราผมสีขาวอมเทาคนหนึ่ง หลังโก่ง ไอต่อเนื่องมิขาดปาก ดูเหมือนว่าอ่อนแออย่างยิ่งยวด

ทว่ากลุ่มเยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย และถังหย่งฮ่าวล้วนรู้จักดี ว่าหญิงชราผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งหอคลื่นโหม ยอดฝีมือที่ทั่วทั้งเขตแดนบึงพิภพมีจำนวนเพียงหยิบมือ

ครั้นจางเหยาเห็นหญิงชราผู้นั้น ก็ยิ่งส่งเสียงร้องด้วยความดีอกดีใจ “อาจารย์ย่า!”

หร่วนผิงก็แสดงการเคารพด้วยเช่นกัน “ศิษย์หร่วนผิงเคารพท่านอาจารย์ย่า”

หญิงชรามองจางเหยา ใบหน้าเผยเห็นสีหน้ารักใคร่เอ็นดูอยู่หลายส่วน

กลุ่มเยี่ยนจ้าวเกอ รวมไปถึงเยี่ยฉงโจวที่ร่างกายบาดเจ็บหนัก อีกทั้งหลี่จิ้งหว่านและเซียวอวี่ก็รุดหน้าขึ้นมาคารวะหญิงชราพร้อมกัน

หลังจากหญิงชราได้ฟังหร่วนผิงและจางเหยารายงานสถานการณ์แล้ว สายตาตกไปอยู่บนร่างเยี่ยนจ้าวเกอ หลังจากสังเกตอย่างละเอียดแล้ว จึงเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “กว่างเฉิงช่างมีหวังอย่างยิ่ง”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ท่านผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไปแล้วขอรับ”

นางยิ้มเช่นเดียวกัน ไม่เอ่ยวาจาอีก

ในความคิดของบุคคลเช่นนางผู้นี้ เยี่ยนจ้าวเกอผู้พังทลายมหาค่ายกลแดนมาร สมควรแก่การให้ความสำคัญเสียกว่าเยี่ยนจ้าวเกอผู้กำจัดอัจฉริยะรุ่นเดียวกันมากมายในการประชุมฝ่านภาเสียอีก

ความเป็นจริงแล้ว คนที่อยู่บนยอดภู ขุนเขามองดูเล็ก[1]ท่ามกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เอาชนะอัจฉริยะชั่วร้ายคนอื่นแล้วได้ นับเป็นการบอกเค้าลางอนาคตอันไม่มีที่สิ้นสุดของหนุ่มสาวคนหนึ่ง ว่าภายภาคหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสำเร็จจนเป็นตำนาน

กระนั้นด้วยพลังฝึกปรือระดับปรมาจารย์น้อยนิดเท่านี้ พลังรบกลับโดดเด่นเกรียงไกร เข้าไปพัวพันกับเรื่องใหญ่ที่ฝ่ายมหาปรมาจารย์อาวุโสถึงจะสามารถมีบทบาทชี้ขาดได้ อีกทั้งยังประสบผลสำเร็จอีกด้วย จึงยิ่งตอกย้ำความยอดเยี่ยมในวิสัยทัศน์ การตัดสินชี้ขาด ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอ

เขาที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ ก็สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวในเรื่องราวเหตุการณ์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมทั่วทั้งใต้หล้า เช่นนั้นวันหนึ่งหลังจากพลังฝึกปรือของชายหนุ่มสูงขึ้นมากกว่านี้แล้ว จะสามารถก่อกวนสถานการณ์ได้อย่างไรอีก?

กล่าวในอีกแง่มุมหนึ่งคือ อัจฉริยะที่ไม่สิ้นชีพแต่เยาว์วัยต่างหาก จึงจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง

ผู้คนธรรมดาทั่วไปมากมาย แม้ว่าสัดส่วนอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์จะน้อย ทว่าด้วยเงื่อนไขฐานจำนวนประชากรอันมหาศาล บุคคลชั่วร้ายก็โผล่ขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายด้วยเช่นกัน

ด้วยอายุและฐานะของหญิงชรา อัจฉริยบุคคลแต่ละรูปแต่ละแบบ ชั่วชีวิตนี้นางพบเจอมามากมายยิ่งแล้ว

ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้อื่น ตำแหน่งและพลังฝึกปรือที่สามารถเดินมาถึงทุกวันนี้ ยามที่หญิงชราอ่อนเยาว์เมื่อกาลก่อน ในยุคสมัยนั้น ไหนเลยจะไม่ใช่ธิดาสวรรค์โปรดผู้นำเหล่าผู้ยิ่งใหญ่?

กระนั้นอัจฉริยบุคคลคณานับ ท้ายที่สุดผู้ที่สามารถเดินไปถึงตำแหน่งสูง มีเพียงแค่คนจำนวนน้อยอันจำกัดตลอดกาลเท่านั้น

ผ่านการกรำศึกเผชิญกับการทดสอบคัดเลือก อัจฉริยบุคคลมากมายยิ่ง ไม่สามารถเดินไปถึงระดับสูงที่ผู้คนคาดการณ์ไว้ แต่พวกเขาน่าจะไปถึงได้

การกระทำของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นนี้ ในความคิดของหญิงชรา เทียบกับอัจฉริยะเยาว์วัยเหล่านั้นที่โดดเด่นเพียงแค่พรสวรรค์วิชาวรยุทธ์เท่านั้นแล้ว อย่างน้อยก็มีโอกาสเดินไปสู่สถานที่ที่สูงยิ่งกว่า ไกลยิ่งกว่า

‘เขากว่างเฉิงมีผู้สืบทอดแล้ว บัดนี้ก็ดูว่าจะสามารถเก่งกว่าอาจารย์ได้หรือไม่’ หญิงชรามองดูเยี่ยนจ้าวเกอ พลางชื่นชมในใจ

ยอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ทยอยรีบเร่งมาถึง

ชายชราผมสีม่วงผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าท่านหนึ่งของตำหนักอัสนีสวรรค์ หลังจากทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุเรื่องราวแล้ว สายตาก็เพ่งมองเยี่ยนจ้าวเกอ เนิ่นนานไม่เอ่ยพูด

ชายวัยกลางคนระดับมหาปรมาจารย์ผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายเขามุ่นคิ้ว “ยอดฝีมือภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตล้วนถูกพวกข้าตรึงเอาไว้ เด็กผู้นี้เพียงแค่โชคดีเท่านั้น อาศัยพลังเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ลอบจู่โจมจนบรรลุเป้าหมาย อีกทั้งไม่มีมหาปรมาจารย์ขัดขวางเขาอีกด้วย”

ชายชราผมม่วงได้ยินเช่นนั้น ก็หันศีรษะมองทางชายชราวัยกลางคนผู้นี้ทันที

อีกฝ่ายไม่ได้ปริปากพูดแม้สักคำ ทว่ากลับทำให้ชายวัยกลางเกิดความรู้สึกชาทั้งร่างจนแทบจะหายใจไม่ออก เหงื่อไหลพลั่กออกมา

เห็นว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นกำลังจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ชายชราผมม่วงถึงได้ละสายตากลับมา แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ก่อนอื่น เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั่นของเขาไม่ใช่เก็บได้ตามทาง เขาโจมตีศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์ของข้าอย่างต่อเนื่องแล้วจึงได้มา ยังไม่เอ่ยถึงเยี่ยนส่านก่อน เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถใช้พลังฝึกปรือระดับขั้นเคียงนภาระยะต้น ต่อสู้กับหลินโจวที่ขั้นเคียงนภาระยะกลางได้หรือไม่?”

“แล้วจากนั้น ให้เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งแก่เจ้า ใช้พลังฝึกปรือปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาของเจ้า สามารถขับเคลื่อนพลังภายในนั้นได้สักกี่ส่วน?”

“สุดท้าย ระดับความแข็งแกร่งของมหาค่ายกลแดนมารนั่นเจ้าเองก็เห็นแล้ว มีปรมาจารย์สักกี่คนที่สามารถเอากายเข้าไปอยู่ในแดนมารได้ แล้วยังสามารถหาศูนย์กลางแกนค่ายกลได้อย่างแม่นยำ? ต่อให้มีเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ คิดอยากจะโยกคลอนศูนย์กลางค่ายกล ก็จำต้องชี้ขาดจังหวะโอกาสในการโคจรค่ายกลด้วยเช่นกัน ถึงจะสามารถโจมตีได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียงแค่การสิ้นเปลืองพลังของเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์โดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น”

ชายชราผมขาวมองชายวัยกลางคนผู้นั้น “ตอนนี้เจ้ายังคิดว่านี่เป็นเพียงแค่โชคดีเท่านั้นอีกหรือ? หากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธ์ปรมาจารย์คนอื่นสักคนหนึ่ง ขอแค่มีเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ ก็สามารถจัดการเรื่องราวนี้ได้หรือ?”

สีหน้าชายวัยกลางคนผู้นั้นอึมครึมอยู่บ้าง ก้มหน้าไม่พูดไม่จา

ชายชราผมม่วงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พูดตามตรง ยอดฝีมือของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตล้วนถูกพวกข้าตรึงไว้รอบนอกแล้ว แต่ถ้าหากไม่มีเขา ประตูแห่งนพยมโลกตอนนี้ก็เปิดแล้ว เรื่องราวเป็นอีกผลลัพธ์หนึ่งโดยสิ้นเชิง”

เขามองยังเยี่ยนจ้าวเกอ ถอนใจพลางกล่าว “นับแต่นี้เป็นต้นไป ในสายตาชายชราเช่นข้า ฐานะของเจ้าไม่ใช่เพียงบุตรของเยี่ยนตี๋อีกต่อไป เยี่ยนจ้าวเกอจากสำนักเขากว่างเฉิง นามกรนามนี้ ข้าจำเอาไว้แล้ว”

ไม่ใช่เพียงแค่ชายชราผมม่วงผู้นี้เท่านั้น ยอดฝีมือแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนกำลังจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกออยู่

นับจากวันนี้เป็นต้นไป นามของเยี่ยนจ้าวเกอแห่งสำนักเขากว่างเฉิง ทุกผู้ทุกคนล้วนรู้จัก

ใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก!

………………..

[1] คนที่อยู่บนยอดภู ขุนเขามองดูเล็ก ความหมายตรงตัว คือ เมื่อปีนขึ้นไปสู่ยอดเขา ย่อมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างใต้ฝ่าเท้าช่างเล็กจ้อย ส่วนความหมายโดยนัย คือ เมื่อบรรลุถึงบางสิ่งบางอย่างที่สูงส่งมากๆ ผู้คนที่ต่ำต้อยกว่าล้วนก้มหัวให้ และรู้สึกราวกับตัวเองเป็นราชัน