พรรคสุสานโบราณอันกว้างใหญ่ มีหลุมฝังศพขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้เต็มไปด้วยความบรรยากาศมืดครึ้มไม่มีแสงสว่างอย่างที่ผู้คนคิด หลังจากเย่เทียนเฉินแบกตงฟางเมิ่งเดินเข้าไปจึงพบว่าในพรรคสุสานโบราณมีไข่มุกราตรีอยู่ทุกที่ รับประกันได้เลยว่าจะมีแสงจันทร์ส่องสว่าง ส่วนตอนกลางวันก็มีพระแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา เนื่องจากด้านบนของพรรคสุสานโบราณมีรูอยู่มากมาย ไม่สามารถขัดขวางแสงอาทิตย์ได้ แต่กลับไม่อาจมีฝนพัดเข้ามาได้ ผู้ก่อตั้งพรรควรยุทธโบราณเป็นผู้ประดิษฐ์ที่มีพรสวรรค์จริงๆ เป็นผู้หญิงที่ดูถูกไม่ได้เลย
เย่เทียนเฉินหยิบแผนที่หนังแกะที่จางอีเต๋อมอบให้เขาออกมา จากตำแหน่งที่เขียนอยู่บนนั้นคร่าวๆ สถานที่ที่ถูกทำสัญลักษณ์สีแดงเอาไว้ทั้งห้าแห่งเป็นห้องลับของพรรคสุสานโบราณทั้งห้าห้อง ไม่ต้องพูดถึงคนนอกเลย ขนาดลูกศิษย์ในพรรคสุสานโบราณก็ไม่สามารถเข้าไปได้ บางทีกระทั่งตงฟางเมิ่งอาจจะยังรักษากฎเกณฑ์ของพรรคมาจนถึงทุกวันนี้จึงไม่ได้เข้าไป
ดังนั้นหากคิดจะหาเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกคงไม่ง่ายแน่นอน หากอยู่ในห้องลับที่ถูกทำสัญลักษณ์สีแดงทั้งห้าห้องนี้ก็ยังดี แต่ถ้าหากไม่ได้อยู่ในนั้น เย่เทียนเฉินคงต้องลำบากแล้ว สุสานโบราณที่กว้างขวางขนาดนี้ มีห้องมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ด้านใน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหาห้องลับที่มีเคล็ดวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกให้พบเลย แค่ไม่หลงทางก็ยากแล้ว ดังนั้นยิ่งคิดเย่เทียนเฉินก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอยู่ว่างๆ ไม่ว่าดีดันหาเรื่องใส่ตัว ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับตงฟางเมิ่งแท้ๆ แค่รู้สึกสนใจพรรควรยุทธโบราณก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนยอมแพ้ง่ายๆ ในความคิดของเขาไม่มีคำว่า “ยอมแพ้” ยิ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายเขาก็ยิ่งชอบ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงยังคงแบกตงฟางเมิ่งไว้บนหลังแล้วเดินไปในห้องลับที่ถูกทำสัญลักษณ์สีแดงด้านขวา พบว่าบนก้อนหินที่วางขวางอยู่หน้าห้องลับมีตราประทับสีแดงอยู่ เย่เทียนเฉินมองตาประทับสีแดงด้านบน คิดว่าคงมีมาหลายปีแล้วจนเริ่มเปลี่ยนสีไปช้าๆ สีแดงด้านบนไม่มีรอยจาง คงจะไม่เคยมีใครเข้าไปเลย กฎเกณฑ์ของพรรคสุสานโบราณเคร่งครัดมากจริงๆ ต่อให้ปัจจุบันพรรคจะเหลือตงฟางเมิ่งเพียงคนเดียว เธอก็ยังไม่ยอมเข้าไป รักษากฎของพรรคสุสานโบราณอย่างเข้มงวด นี่นับเป็นความเคารพที่มีต่อผู้ก่อตั้ง
“เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ของพรรคสุสานโบราณของพวกคุณ ผมคงต้องขอล่วงเกินแล้ว!” เย่เทียนเฉินคิดในใจ
มือขวาจับประตูหินค่อยๆ ออกแรงขยับตราประทับสีแดงที่ถูกผนึกอยู่บนประตู ในขณะเดียวกันก็เอียงตัวไปไปด้านข้าง ดึงประตูหินหนักๆ ออกมา เพราะกลัวว่าจะมีกลไกอาวุธลับอะไรอยู่เย่เทียนเฉินจึงกางโล่พลังพิเศษนานแล้ว สามารถป้องกันได้ทุกเมื่อ ประตูหินนี้หนักมาก อย่างน้อยก็หนักหลาย 100 จิน เย่เทียนเฉินดึงออกมาด้วยมือข้างเดียวจึงรู้สึกกินแรงอยู่บ้าง ในพรรคสุสานโบราณมีของที่ทำให้ประหลาดใจอยู่มากจริงๆ
เสียงครืนดังขึ้น เย่เทียนเฉินดึงประตูหินบานใหญ่ออกมา ด้านในมีประกายแสงสาดส่องเหมือนกับแสงจากไข่มุกราตรี ท่าทางทุกห้องในพรรคสุสานโบราณจะมีไข่มุกราตรีคอยให้แสงสว่างอยู่ ผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกชื่นชม
สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ เดิมทีเขาคิดว่าจะมีกลไกอาวุธลับอะไรประเภทนั้นอยู่ แต่หลังจากที่ประตูหินถูกเปิดออกกลับไม่มีอะไรโผล่ออกมาเลย ไม่มีกลไก ไม่มีอาวุธลับ แต่เย่เทียนเฉินยังคงป้องกันด้วยความระมัดระวัง แบกตงฟางเมิ่งเดินเข้าไป ในตอนที่เข้าไปและได้เห็นทิวทัศน์ด้านในห้องหินเย่เทียนเฉินพลันตกตะลึงไปทั้งร่าง ของด้านในเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านซ้ายแล้ว ในตอนที่เขาเปิดห้องลับด้านซ้ายก็ไม่พบอาวุธลับกลไกอะไร และไม่มีของน่าแปลกใจ นี่ไม่ใช่ห้องใหญ่ นอกจากเป็นห้องว่างเล็กๆ ที่มีไข่มุกราตรีคอยให้แสงสว่างแล้ว บนกำแพงหินทั้งสี่ด้านมีเพียงรูปภาพปรากฏอยู่สี่ภาพ
ภาพแรกเป็นภาพเด็กสาวกำลังฝึกกระบี่ ถึงแม้เพลงกระบี่จะลึกล้ำสูงส่งแต่ ไม่ได้สละสลวย เธอเหนื่อยจนหอบหายใจออกมา ท่าทางเพิ่งจะเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะได้ไม่นาน หลังจากฝึกฝนกระบี่หญิงสาวก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ารูปภาพที่อยู่บนก้อนหินที่ถูกตัดจนเรียบนี้อยู่มานานแค่ไหนแล้ว แต่รูปสวยเหมือนมีชีวิตจริงๆ เด็กสาวในภาพใส่ชุดสมัยโบราณดูมีชีวิตชีวาและงดงามมาก เย่เทียนเฉินมองจนตกตะลึง
ภาพที่สองคล้ายกับเป็นภาพเด็กสาวได้รับความโศกเศร้า เธอนั่งอยู่ข้างน้ำตกแห่งหนึ่งด้วยความรู้สึกอยุติธรรม ทำท่าคล้ายกำลังพูดความในใจบางอย่างกับน้ำตก มีนกตัวหนึ่งบินมาเกาะแขนของเธอ เด็กสาวจึงจับนกตัวนั้นมาวางบนฝ่ามือด้วยความเบิกบานใจ ปกป้องมันด้วยความระมัดระวังด้วยเกรงว่าจะทำร้ายนกน้อย ตั้งแต่นั้น ทุกวันเด็กสาวล้วนมาที่น้ำตกแห่งนี้เพื่อมาให้อาหารนกน้อยและคอยดูแลมัน
ภาพที่สามเป็นภาพเด็กสาวกำลังให้อาหารนกอยู่บริเวณน้ำตก ทิวทัศน์งดงามอากาศเย็นสบาย เด็กสาวเบิกบานใจยิ่งนัก อารมดีไม่น้อย ยังร้องเพลงให้นกน้อยฟังอีกด้วย ทั้งยังฝึกวิชาที่งดงามอ่อนช้อย เย่เทียนเฉินได้เห็นก็ส่งเสียงออกมาเป็นระลอก แต่ละกระบวนท่าคล้ายกับผสานไปกับฟ้าดิน ดูอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แต่ในความอ่อนโยนก็ยังแฝงไปด้วยพลังมหาศาล
ส่วนภาพที่สี่ วันหนึ่งในขณะที่เด็กสาวกำลังให้อาหารนกหลังจากฝึกฝนเสร็จ และยังพูดคุยกับเหล่านกน้อยทั้งหลายอยู่นั้นเอง จู่ๆ ข้างน้ำตกก็มีเสียงดังสนั่น มีเงาคนพุ่งออกมาก่อนจะตกลงไปยังน้ำตก ในขณะที่ตกลงไปในน้ำตกก็มีงูน้ำตัวใหญ่พุ่งออกมาด้วย งูตัวนั้นดุร้ายมาก และร้ายกาจมาก คล้ายกับว่าจะสามารถกลืนคนลงไปได้ทั้งตัว ในช่วงเวลาสำคัญ เด็กสาวยื่นมือออกไปใช้ฝ่ามือซัดลงบนหัวของเจ้างูตัวนั้น ก่อนจะใช้มือซ้ายจับเถาวัลย์ข้างน้ำตกเอาไว้ ส่วนมือขวารับเงาคนที่กำลังตกลงมา ดึงกลับมาอยู่บนก้อนหินใหญ่ข้างน้ำตกได้อย่างราบรื่น ในอ้อมกอดของเด็กสาวคือผู้ชายคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินพบว่าใบหน้าของผู้ชายคนนี้ถูกลบออก เหมือนกับมาลบออกภายหลัง เนื่องจากก่อนหน้านี้ภาพงดงามพวกนี้เหมือนกับสร้างสรรค์จากสวรรค์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!
เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นรูปภาพทั้งสี่นี้ก็รู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร และไม่รู้ว่านี่มีความหมายอะไร เด็กสาวคนหนึ่งช่วยชายที่มีกระบี่ติดอยู่ด้านหลังเอาไว้ แค่นี้ก็จบแล้ว แต่เรื่องราวหลังจากนั้นล่ะ? นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดต่อไป บางทีอาจจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นก็ได้
เย่เทียนเฉินมองไปยังตงฟางเมิ่ง ไม่ปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อต่อไปอีก นี่เป็นเพียงห้องแรกเท่านั้น ด้านในมีภาพอยู่แค่สี่ภาพ ไม่มีเคล็ดวิชาฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกอะไรอยู่เลย ก่อนจะออกมาเย่เทียนเฉินก็สำรวจอย่างละเอียดแล้วแต่ไม่พบจุดไหนที่ดูแปลกๆ ท่าทางห้องนี้จะไม่ใช่
หลังจากออกมา เย่เทียนเฉินที่แบกตงฟางเมิ่งอยู่ก็มองไปยังห้องลับด้านขวา เดิมทีเขาคิดว่าห้องลับด้านขวาอาจจะไม่ใช่ แต่เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเขาจึงยังคงเปิดประตูห้องด้านขวาเข้าไป ห้องที่ถูกผนึกด้วยรอยสีแดงไม่มีอาวุธลับกลไกอะไรเช่นเดียวกัน แต่เย่เทียนเฉินกลับรู้สึกสงสัยมาก เนื่องจากในห้องลับด้านขวาก็มีภาพอยู่สี่ภาพเช่นเดียวกัน แต่กำแพงหินทั้งสี่ด้านนี้ถูกปราณกระบี่ทำลายไปแล้ว จึงดูไม่ออกว่าบนภาพคือภาพอะไรกันแน่ บางที หากยึดตามภาพที่อยู่ในห้องด้านซ้าย นี่คงเป็นเรื่องราวที่ต่างออกไป
หลังจากคิดครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินจึงเตรียมจะดูให้ถึงที่สุด รวบรวมพลังพิเศษไปที่ดวงตาทั้งสอง ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งร่างของเขาพร่าเลือนขึ้นมา ดวงตาทั้งสองก็พร่าเลือนขึ้นมาเช่นเดียวกัน เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่ค่อนข้างพิเศษ ชื่อว่า “หวนระลึกคืนสภาพ” นี่เป็นเคล็ดวิชาลับที่สามารถย้อนกลับไปยังภาพดั้งเดิมได้ เป็นเคล็ดวิชาที่เย่เทียนเฉินอ่านเจอในตำราลับเล่มหนึ่งโดยไม่ตั้งใจในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เคล็ดวิชาลับนี้ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แค่ใช้ตามหาร่องรอยผู้ลงมือเท่านั้น แต่ก็ไม่เลวจริงๆ
หากต้องการใช้เคล็ดวิชาอ”หวนระลึกคืนสภาพ” นั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร ที่สำคัญก็คือวิชาลับเช่นนี้มีวิธีการใช้ของมันอยู่ แต่คนธรรมดายากที่จะรู้ นอกจากระดับความสามารถจะไปถึงขอบเขตที่แข็งแกร่งจนสามารถใช้พลังต้นกำเนิดออกมาได้ ซึ่งนั่นจำเป็นต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิขึ้นไป เพราะจะสามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ถ้ายังไปไม่ถึงขอบเขตจักรพรรดิ พลังต้นกำเนิดจะมีจำกัด เมื่อใช้ออกมาจะทำให้ตัวเองต้องตายเหมือนตะเกียงขาดน้ำมัน ในตอนนั้นตงฟางเมิ่งใช้พลังต้นกำเนิดเพราะต้องการลากชิงเฉิงเยว่ไปตายด้วยกัน ทำให้มีสภาพเช่นนี้ ดังนั้นการจะใช้พลังต้นกำเนิดย่อมอันตรายมาก หากยังไม่ถึงขอบเขตที่แข็งแกร่งก็เป็นแค่การฆ่าตัวตายเท่านั้น
ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้ “วิชาหวนละลึกคืนสภาพ” เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพออกมา มีเด็กสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา เหมือนกับเด็กสาวที่เขาเห็นในภาพที่ห้องลับด้านซ้ายทุกกระเบียดนิ้ว สวมชุดแบบสมัยโบราณ เป็นชุดผ้าไหมพริ้วไหวงดงามและสวยงามเป็นอย่างมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กำลังใช้กระบี่สลักรูปอะไรบางอย่างบนก้อนหินอยู่ ในขณะที่สลัก บนใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นประดับไปด้วยรอยยิ้มหวนระลึกถึงอันงดงาม ในตอนที่นางเธอสลักรูปภาพเสร็จเย่เทียนเฉินก็ต้องตกตะลึง เนื่องจากเขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในรูปภาพที่อยู่ทางห้องด้านซ้าย เขาเข้าใจแล้วว่าเด็กสาวคนนี้เป็นใคร และรู้แล้วว่าทำไมสุดท้ายถึงทำลายรูปภาพในห้องหินห้องนี้ไปทั้งหมด นั่นเป็นเพราะเธอเจ็บปวดมาก เธอถูกผู้ชายที่เธอช่วยชีวิตทำร้ายจิตใจ
“ที่แท้อาจารย์บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณก็มาที่นี่ตั้งแต่สาวๆ แล้ว และถูกทำร้ายจิตใจต้องอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต ความจริงเธอรอผู้ชายที่เธอรักอย่างลึกซึ้งคนนั้นมาตลอด แต่น่าเสียดาย สุดท้ายรอจนแก่ตาย ทั้งสองก็ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถามโลกหล้ารักนั้นเป็นฉันใด มาตรเป็นตายังขออยู่คู่เคียงกัน!”
เย่เทียนเฉินมองไปยังรูปภาพที่ถูกทำลายซึ่งอยู่ในห้องหินด้านขวา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ขึ้นมา หดหู่ที่ต่อให้คนเราจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนก็ตาม ต่อให้แข็งแกร่งเช่นผู้ก่อตั้งพรรคสุสานโบราณที่สามารถสร้างวิถีการฝึกฝนกำลังภายในที่ไม่ด้อยไปกว่าคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นขึ้นมาได้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ต้องเศร้าโศกเสียใจเพราะผู้ชายที่ตนรักอย่างลึกซึ้งไปชั่วชีวิต
…………….