บทที่ 453

บทที่ 453

กองทัพเปิงไม่สามารถไล่ตามกองทัพอินทรีสวรรค์ได้ และในขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ค่ายของกองทัพเทียนหยวน พวกเขาก็ได้พบเข้ากับห่าฝนลูกศรที่รุนแรงจากกองทัพอินทรีสวรรค์จนมีทหารต้องพลีชีพไปมากมาย ก่อนในท้ายที่สุดจ้านอู่ฉางจะทำได้เพียงสั่งให้กองทัพทั้งหมดถอยกลับเข้าเมืองอย่างไร้ทางเลือก

หลังจากเห็นว่ากองทัพเปิงทั้งหมดถอนตัวออกไปแล้ว จีหยิงก็จึงมอบการป้องกันค่ายทางเหนือให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แล้วรีบกลับไปรายงานเรื่องทั้งหมดกับถังหยินทันที

หลังจากฟังรายงานจากจีหยิง ถังหยินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและหัวเราะ “ครั้งนี้แม่ทัพจีหยิงทำได้ดียิ่ง !”

คำพูดดังกล่าวทำให้จีหยิงโค้งคำนับและกล่าวว่า “เพราะความเมตตาของนายท่าน !” และหลังจากหยุดชั่วขณะหนึ่ง เขาก็พลันคุกเข่าลงและพูดว่า “ขอแสดงความยินดีกับนายท่านด้วยที่การสู้รบประสบความสำเร็จ ! ไม่เพียงแต่เราจะกำจัดพวกแม่ทัพที่เก่งกล้าของศัตรูได้ กำลังทหารของพวกมันก็ยังถูกกวาดล้างออกไป แล้วไหนจะที่จับเจี๋ยนฟานไปแบบเป็น ๆ นั่นอีก ! ….ข้าน้อยว่าชัยชนะของเราอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วขอรับ !”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่ทัพโดยรอบก็พากันคุกเข่าลง ก่อนจะตะโกนพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีด้วยขอรับท่าน !”

ภาพตรงหน้าทำให้ถังหยินฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่เขาจะโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นและกล่าวว่า “การต่อสู้ครั้งนี้ พวกเจ้าทุกคนทำได้ดีมาก !!!”

หลังจากที่จีหยิงลุกขึ้นยืนแล้ว ก็เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “นายท่าน จะเอายังไงกับกู่เฟิงดีขอรับ ?”

“หึหึ !” ถังหยินนึกขำ จากนั้นจึงหันมองไปรอบ ๆ และพูดว่า “ชายคนนี้ทำให้กองทัพของเราได้รับชัยชนะ ข้าควรที่จะขอบคุณเขาซักหน่อย !”

“ฮ่าฮ่า” ทุกคนเริ่มหัวเราะ

ถังหยินลูบคางของเขาและคิดสักพัก จากนั้นก็พูดว่า “ให้กู่เฟิงกลับไป ถ้าข้าไม่ฆ่าเขาตอนนี้ เขาก็ถูกส่งไปตายอยู่ดี พวกเปิงเพิ่งจะประสบความพ่ายแพ้อย่างหนักไป แล้วถ้าเกิดว่ากู่เฟิงกลับไปในสภาพที่ครบสามสิบสอง เขาต้องถูกสงสัยว่าทรยศอย่างแน่นอน !”

มูฉิงเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ไม่ลืมที่จะคว้าโอกาสกล่าวประจบสอพลอ “ตามคำกล่าวที่ว่า ‘ฆ่าโดยไม่ต้องหลั่งเลือด’ ช่างเป็นอะไรที่หลักแหลมเกินคำบรรยายซะนี่กระไร !”

เมื่อได้ฟังคำนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของถังหยินพลันกว้างขึ้น ด้วยบางครั้งเขาก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของมูฉิงช่างน่าฟังนัก !

ในเวลานี้สายลับ 2 คนได้เดินเข้ามา ในมือของพวกเขามีดาบขนาดใหญ่ที่มีใบดาบสีม่วงเข้ม …นั่นคือดาบแสงสีม่วงที่จ้านอู่ตี้ใช้เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ! และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฉิงจินก็พลันเดินเข้าไปหาถังหยินและพูดว่า “นายท่าน อาวุธของจ้านอู่ตี้ขอรับ !”

“หืม ! ให้ข้าดูหน่อยสิ” ถังหยินโบกมือเรียกด้วยความสนใจ

คนทั้งสองจึงถือดาบและเดินไปข้างหน้าถังหยิน ก่อนที่ฝ่ายหลังจะยืนขึ้นและเอื้อมมือออกไปคว้าดาบแสงสีม่วงเข้ม ทำให้พบว่าดาบนี่มีน้ำหนักประมาณ 200 จินเลยทีเดียว และแม้ว่าดาบจะเป็นสีม่วง หากแต่ถ้าใครก็ตามที่อยู่ในระยะ พวกเขาเหล่านั้นก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วกาย !!

“ไม่เลวเลย !” แม้ว่ามันจะเป็นอาวุธของศัตรูที่มาจากแคว้นหนิง แต่ถังหยินก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม เขาจับดาบด้วยมือข้างเดียวและโบกเบา ๆ สองสามครั้งก่อนจะถอนหายใจ “มีคนของเรากี่คนที่ต้องสังเวยให้กับดาบเล่มนี้ ?” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ส่งต่อไปให้เฉิงจินและพูดว่า “หลอมมันเข้ากับดาบของข้าและปรับแต่งมันด้วย ..ที่ผ่านมาพวกของเราล้มตายกันไปมากเหลือเกิน ดังนั้นพวกหนิงมันจะต้องชดใช้อย่างสาสม ”

“รับทราบขอรับ !” เฉิงจินเข้าไปรับดาบแสงสีม่วงจากมือถังหยินด้วยความเคารพแล้วจากไปในทันที

ถังหยินหายใจเข้าลึก ๆ หรี่ตาและยิ้มจาง ๆ “ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าปฏิกิริยาของจ้านอู่ฉางจะเป็นอย่างไรเมื่อรู้ว่าน้องของมันถูกพวกเรายิงพรุนเป็นเม่นไปแล้ว”

หยวนยู่เมื่อได้ยินแบบนั้นเขาก็พลันเอ่ยเสียงเย้ยหยันออกมา “ใครจะรู้ บางทีจ้านอู่ฉางอาจนำกองทัพทั้งหมดออกจากเมืองแล้วเข้ามายอมจำนนก็เป็นได้ !”

ถังหยินหัวเราะและส่ายหัว “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าผิดหวังเกินไป”

ตอนนี้เรื่องที่จ้านอู่ตี้ ฮ่าวจ้าว เจี๋ยนฟานนำกำลังทหาร 2 หมื่นนายออกไปรบแล้วถูกกวาดล้างได้แพร่กระจายไปยังผู้คนในเมืองจางหยูแล้ว ซึ่งก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจ้านอู่ตี้ ฮ่าวจ้าวและแม่ทัพคนอื่น ๆ ยังมีชีวิตอยู่ ตาย ถูกจับหรือว่ายอมจำนนไปแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากได้ยินข่าวนี้ ขาทั้งสองข้างของจ้านอู่ฉางก็พลันทรุดลงกับพื้นในทันที เพราะด้วยบุคลิกที่แข็งกร้าวของจ้านอู่ตี้ อีกฝ่ายไม่มีทางยอมจำนนแน่ ! และถ้าเขาไม่สามารถตีฝ่าออกมาได้ งั้นแล้วก็คงมีแต่การตายในสนามรบเป็นแน่แท้…

จ้านอู่ฉางไม่กล้าคิดต่อไป ด้วยเขายังคงมีความหวังสุดท้ายที่น้องชายของเขาจะกลับมาได้สำเร็จ

ทว่าก็น่าเสียดายที่มันไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ !!

เมื่อรุ่งสางมาถึงและท้องฟ้าสว่างไสว ความหวังสุดท้ายในใจของจ้านอู่ฉางก็เป็นต้องแตกสลายลง ด้วยด้านบนของค่ายฝั่งศัตรูแขวนไว้ด้วยศพที่มีสภาพเละเทะจนไม่สามารถมองเห็นลักษณะดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน หากแต่บนศพนั้นก็ได้มีผ้าสีขาวยาวมัดไว้ โดยผ้าผืนนั้น มันก็ได้มีคำขนาดใหญ่เขียนด้วยเลือดไว้ว่า “กบฏชั้นต่ำ จ้านอู่ตี้”

เมื่อมองไปยังศพนั่น จ้านอู่ฉางก็แทบสิ้นสติ ร่างของเขาทรุดลงกับพื้นอย่างห้ามไม่อยู่

“ท่านจ้านอู่ฉาง !” ซ่งเทียน เสี่ยวชางและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างร้องออกมาในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับทหารยามโดยรอบที่รีบเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา

“ทำใจดี ๆ ไว้ก่อน” เสี่ยวชางเอ่ยกับอู่ฉางด้วยความเป็นห่วง

ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้น ใบหน้าของจ้านอู่ฉางก็พลันกลายเป็นซีดเซียวราวกับศพ เช่นเดียวกับน้ำตาสีเลือดที่ไหลออกมา

“ทะ…ท่าน ชาวเมืองกำลังดูอยู่นะ ละ..ล…แล้วก็บางทีน้องท่านอาจยังไม่ตายก็เป็นได้ ศพนั่นต้องเป็นของปลอมแน่ !” เสี่ยวชางพูดติดอ่างในขณะที่เขาพยายามเกลี้ยกล่อม และแม้ว่าจะพูดแบบนั้น หากแต่ในใจเขากลับเชื่อเรื่องนี้เจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว !!

ท่ามกลางความวุ่นวาย อยู่ ๆ ก็มีแม่ทัพคนหนึ่งที่พูดขึ้น “ท่านแม่ทัพ บางทีนี่อาจเป็นอุบายของถังหยินก็ได้นะ” ทว่าคำปลอบโยนนี้กลับไปไม่ถึงจ้านอู่ฉาง เพราะอีกฝ่ายนั้นเติบโตมากับผู้เป็นน้องและไม่เคยแยกห่างกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ แค่จากขนาดของศพ จ้านอู่ฉางก็สามารถบอกได้ในทันทีแล้วว่าเป็นน้องชายของเขา !

จ้านอู่ฉางผลักคนที่พยุงเขาออกไป ก่อนจะนั่งยอง ๆ และทุบศีรษะของตัวเองเข้ากับพื้น ปล่อยให้เลือดและน้ำตาไหลหยดออกมา…

ตอนนี้จ้านอู่ฉางทั้งเสียใจและไม่พอใจ ทั้งยังเกลียดที่ตนเองไม่สามารถมองเห็นแผนการตลบหลังของกองทัพเทียนหยวนได้ !!!

อย่างไรก็ตาม โลกใบนี้ก็หาได้มียาสำหรับแก้ความเสียใจไม่ แม้ว่าจ้านอู่ฉางจะสำนึกผิดมากแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์ใดแล้ว…

เมื่อจ้านอู่ฉางสูญเสียเหตุผลทั้งหมดและตกอยู่ในความเศร้าโศก คนอื่น ๆ ก็คิดว่าพวกตนคงจะสูญเสียกู่เฟิงให้กับกองทัพเทียนหยวนไปแล้ว

แต่เมื่อเห็นว่ากู่เฟิงสามารถกลับมาได้โดยที่มีชีวิตอยู่ ทั้งยังกำลังยืนอยู่นอกเมืองและตะโกนเข้ามาที่กำแพงเมือง เสี่ยวชางก็ทั้งประหลาดใจระคนยินดี เขารีบสั่งให้ทหารเปิดประตู ให้กู่เฟิงเข้าไปในเมืองในทันที

โดยไม่รอให้คนลงไป จ้านอู่ฉางที่นั่งยองอยู่บนพื้นก็พลันลุกยืนและคว้าตัวรองแม่ทัพเอาไว้

ในเวลานี้ถึงแม้ใบหน้าของจ้านอู่ฉางจะเต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา หากแต่สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไป… ด้วยดวงตาทั้งสองโหมไปด้วยแรงโทสะ ! ทำเอารองแม่ทัพตกใจตัวสั่นและพูดตะกุกตะกักว่า “ทะ… ท… ท่าน ?”

ทว่าจ้านอู่ฉางไม่สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาหันมองไปที่เสี่ยวชางอย่างเย็นชาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “จะให้มันเข้ามาไม่ได้ เพราะมันอาจถูกพวกเฟิงส่งมาสอดแนมก็เป็นได้ !”

“อะ… ?” เสี่ยวชางตกตะลึง ด้วยจะเป็นไปได้หรือที่กู่เฟิงจะทรยศ… ? มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?

จ้านอู่ฉางเห็นแบบนั้นจึงเน้นคำพูดทีละคำว่า “แผนการที่ข้าวางแผนไว้นั้นไร้ที่ติ หากไม่มีใครบอก ถังหยินจะอ่านแผนการของข้าออกได้อย่างไร ดังนั้นมันจึงมีแต่กู่เฟิงเท่านั้นที่มีโอกาสจะเป็นแบบนั้น ตอนนี้ยังมีโอกาส ปลิดชีพมันซะ !”

“ท่าน… ?” ถึงเสี่ยวชางจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่เขาก็รู้สึกว่าคำพูดของจ้านอู่ฉางนั้นดูเกินจริง ด้วยแม้ว่ากู่เฟิงจะเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด แต่พวกเขาก็ควรพาอีกฝ่ายกลับเข้ามาก่อนที่จะทำการสอบปากคำ

เมื่อเห็นเสี่ยวชางลังเล จ้านอู่ฉางที่สูญเสียความมีเหตุผลไปแล้วก็พลันบันดาลโทสะ เขาใช้สายตาที่ชั่วร้ายจ้องมองตรงไปและเอ่ยถามออกมา “สงสัยอะไร… หรือว่าที่แท้เจ้าเองก็อยู่ฝ่ายไอ้ถังหยินนั่น ? ” คำพูดของเขารุนแรงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซ่งเทียนยังคงอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้

ร่างกายของเสี่ยวชางสั่นสะท้าน เขาโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ ไม่ ไม่ ! …ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกขอรับ !” ในขณะที่พูด เขาก็ได้เหลือบมองไปที่ซ่งเทียนเป็นครั้งคราว

เสี่ยวชางกลัวคำพูดของจ้านอู่ฉาง แต่นั่นหาใช่กับลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ บรรดาแม่ทัพเหล่านั้นต่างพากันไม่พอใจ ด้วยจ้านอู่ฉางคือใครกัน ทำไมเขาถึงมีสิทธิ์มาสั่งพวกตนได้ ?!

ทางด้านของซ่งเทียน เขาเองก็คิดเช่นกันว่าการกลับมาของกู่เฟิงนั้นน่าสงสัยเกินไป และหลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็จึงหันไปพูดกับเสี่ยวชางว่า “หากกู่เฟิงเป็นสายลับจริง ๆ งั้นแล้วการอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาในเมือง มันก็อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ร้ายแรงที่ยากเกินควบคุม !!” เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งเทียน เสี่ยวชางก็ไม่สามารถปกป้องกู่เฟิงได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงทำตามคำสั่ง ร้องบอกให้พวกทหารยิงธนูเข้าสังหารกู่เฟิงที่อยู่นอกเมือง

กู่เฟิงผู้น่าสงสารสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาถึงเมืองได้สำเร็จ ทว่าในท้ายที่สุดสิ่งที่ต้อนรับเขาคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยห่าฝนธนู !!