มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้มพลางพูดเสียงอบอุ่น “เจ้าตัวก่อเรื่องนี่นะ ข้าจะชดใช้ให้ท่านเทพแทนนางเอง เมื่อหลายร้อยปีก่อนซู่หนี่ว์ [1] มอบยาผสานหิมะมาให้ข้ากล่องหนึ่ง ท่านเทพเอาไปเถิด เมื่อทายานี้ลงไป ไม่เกินสามวันก็จะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม ภายหน้าข้าจะยังส่งของกำนัลไปให้อีก ขอท่านเทพอย่าได้ถือสาลูกศิษย์ข้าเลย”
เทพเฟยเหลียนพ่นลมหายใจอีกครั้ง “ข้าพูดแล้ว ยาอะไรของขวัญอะไรข้าไม่ต้องการทั้งนั้น! ข้าต้องการนังเด็กอวดดีนั่น!”
ตกลงนางทำอะไรลงไปถึงทำให้เขาเดือดดาลถึงขั้นนี้ได้ ไม่แม้แต่จะไว้หน้ามหาเทพอย่างเขามหาเทพไป๋เจ๋อมองเสวียนอี่อย่างมีคำถาม
ไท่เหยาผู้ยืนอยู่ข้างๆ อธิบายให้ฟังแล้วรอบหนึ่ง เมื่อบอกถึงเรื่องที่นางใช้เล่ห์เหลี่ยมไปเอาผมของเทพเฟยเหลียนทั้งสามเส้น มหาเทพไป๋เจ๋อพลันหลุดยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึงยังทำให้ผมของเขากลับเป็นแบบเดิม นี่ไม่เรียกว่าหลอกใช้แล้วจะเรียกว่าอะไร”
เสวียนอี่ค่อยๆ อธิบาย “อาจารย์ คนที่ต้องการผมของเทพเฟยเหลียนไม่ใช่ข้า ข้าเพียงแต่ไปเอามาแทนท่าน พลังมืดของตระกูลจู๋อินข้าทำใจให้ไปไม่ได้หรอก ตอนนี้ท่านเทพมาพอดี ท่านอาจารย์ก็อยู่ ขอให้ท่านทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเองเถอะ เกี่ยวอะไรกับข้าเสียที่ไหนกัน”
มหาเทพไป๋เจ๋ออ้าปากค้างเพราะคำพูดนาง ตะลึงไปพักใหญ่ จึงตรงเข้าไปกระซิบเสียงเบา “เด็กดี ช่วยอาจารย์เรื่องนี้ได้หรือไม่ ทำให้ผมเขากลับเป็นสีดำ ทุกคนจะได้มีความสุขดีหรือไม่”
สีหน้าเสวียนอี่แสดงท่าทีลำบากใจ คิดชั่วครู่ จนสุดท้ายก็พยักหน้าลงอย่างฝืนๆ “หากท่านอาจารย์กล่าวเยี่ยงนี้ ข้าก็ต้องทำเต็มที่ แต่ข้ายังเยาว์นัก พลังเทพไม่พอ เมื่อครู่ข้าก็เพิ่งใช้พลังมืดแห่งจู๋อินไปกับท่านเทพ เช่นนั้นท่านอาจารย์กับท่านเทพอดทนรอสักไม่กี่หมื่นปีแล้วกัน รอข้าโตกว่านี้หน่อย พลังเทพเต็มที่แล้ว ถึงตอนนั้นจะช่วยท่านเทพเรื่องผมนี่แน่นอน”
ไม่กี่หมื่นปี! นางยังแสร้งทำเป็นพูดจาเลอะเทอะอีก!
มหาเทพไป๋เจ๋อหันไปมองเทพเฟยเหลียน เขายังคงกระตุกหนวดถลึงตาจ้องมา ครั้นมองไปที่เสวียนอี่อีกครั้ง นางยังคงคลี่ยิ้มโง่งมไม่รับรู้เรื่องราว สุดท้ายมองไปยังเหล่าลูกศิษย์ที่ล้อมรอบอยู่ ทุกคนล้วนมีท่าทีอับจนหมดหนทาง
เขาเองก็รู้สึกอับจนแล้วเช่นกัน ผิดหวังจริงๆ …แต่แรกนี้ไฉนเขาถึงต้องรับตัววุ่นวายนี้เพื่อเกล็ดมังกรเกล็ดหนึ่งด้วยหนอ
“ท่านเทพ ตามความเห็นข้า เส้นผมของท่านเทพไม่ใช่ว่าจะไร้ทางแก้เสียทีเดียว” มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้มพลางเดินตรงเข้าไปหา ก้มมองเส้นผมยาวสีเงินล้วนของเทพเฟยเหลียนที่ตั้งขึ้นคล้ายงู “ในพลังเทพของท่านเทพมีพลังวายุอยู่ ดังนั้นเนื่องจากพลังเทพส่วนนี้ทำให้ผมท่านฟูและบิดงอ หากท่านเทพไม่กลัวความยุ่งยาก ให้แบ่งผมเป็นช่อเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ทุกช่อให้ติดเครื่องประดับศีรษะหนักๆ หนึ่งอัน นับแต่นั้นหากพลังเทพตื่นตัวขึ้น ผมก็จะถูกเครื่องประดับถ่วงเอาไว้ ไม่ยุ่งเหยิงขึ้นมาอีก”
เทพเฟยเหลียนพูดเสียงเย็น “พูดนั้นง่าย แต่ข้าจะไปหาเครื่องประดับศีรษะนับหมื่นอันมาจากไหน!”
วังวั่งซูแต่เดิมคือตาน้ำบริสุทธิ์ เทพีวั่งซูกินลมแทนอาหาร กินน้ำค้างแทนเครื่องดื่ม แม้ข้าวก็ไม่กิน เขาเป็นเพียงคนนำทางคนหนึ่งเท่านั้น จะมีเครื่องประดับได้สักกี่ชิ้น
มหาเทพไป๋เจ๋อรู้สึกเจ็บปวดราวโดนข่วนที่แก้มอวบอิ่มนั้น ยิ้มแห้งเอ่ยว่า “เรื่องนี้พิจารณาแล้วเป็นข้าเองที่ผิดแต่แรก ควรชดใช้เป็นธรรมดา เอาอย่างนี้ ตอนข้ายังเด็กบังเอิญพบปีศาจเผ่ามารที่ก่อความวุ่นวายเข้า เคยใช้พลังเทพหลอมออกมาจนกลายเป็นกระพรวนทองคำแท้เก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าลูก หากท่านเทพไม่รังเกียจ สามารถเอาไปใช้ได้ทั้งหมด”
เขาสั่งให้ไท่เหยากลับไปเอากระพรวนทองคำ จนกระทั่งเหล่าเทพเจ้ารออยู่ในทะเลเมฆจนเวลาผ่านไปราวหนึ่งมื้ออาหาร ไท่เหยาจึงวิ่งขาสั่นกลับมา กอดกล่องไม้ขนาดใหญ่กล่องหนึ่งไว้ในอ้อมแขน เหนื่อยจนหน้าซีด วางกล่องนั้นอย่างยากเย็น จากนั้นทำได้เพียงนั่งหอบอยู่ข้างๆ
มหาเทพไป๋เจ๋อดีดนิ้วเบาๆ กล่องไม้เปิดขึ้นทันที ในวินาทีนั้นประกายทองคำสาดส่องไปทั่วบริเวณ เปล่งประกายจนไม่อาจละสายตาไปได้
“ท่านเทพ โปรดดูเถิด ในนี้คือกระพรวนทองคำเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าลูก” มหาเทพไป๋เจ๋อมองกระพรวนน้อยทองคำแท้ระยิบระยับ กะพริบตาปริบๆ ด้วยความปวดใจ “กระพรวนเหล่านี้แต่ละลูกหนักสามเฟินสามหลี ในนี้จึงมีน้ำหนักสามพันสามร้อยจิน [2] แต่ถ้าตามความสามารถของท่านเทพแล้ว ของหนักเช่นนี้ย่อมกลายเป็นเบาราวขนนกเป็นธรรมดา”
เทพเฟยเหลียนสีหน้าเคร่งขรึมราวน้ำลึก ก่อนจะหยิบกระพรวนทองคำลูกหนึ่งมาวางบนมือ มองจ้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสอดปอยผมร้อยเข้ากับกระพรวนทองคำ กระตุ้นพลังเทพเจ้าขึ้นมา ผลคือผมที่ถูกร้อยกระพรวนไว้ไม่ชี้ขึ้นฟ้าอีก ยังคงเรียบอยู่ข้างหลัง
ในที่สุดสีหน้าเขาฉายแววซาบซึ้งใจ เขายกกล่องไม้นั้นขึ้นมากอดไว้ ดูเบาราวกับว่ากล่องนั้นเป็นขนนกจริงๆ
“ขอบคุณท่านมหาเทพไป๋เจ๋อมาก ข้าขอตัว”
เขาหาได้พิรี้พิไรแม้แต่น้อย บอกว่าจะไปก็ไปเลย หลังจากมองเสวียนอี่ปราดหนึ่งอย่างมาดร้าย พริบตาเดียวเขาก็หายไปแล้ว
พอถึงตอนนี้เหล่าเทพเจ้าจึงพากันถอนหายใจโล่งอก นับว่าดาวแห่งหายนะเคลื่อนผ่านไปแล้ว
มหาเทพไป๋เจ๋อปวดใจจนไม่อาจสงบใจได้ ร่างสั่นเทิ้มมองเสวียนอี่ ลมหายใจขาดห้วง “เจ้า เจ้า…หากไม่กลับมานี่คงได้เรื่องไปแล้ว เจ้าไปหาเรื่องอะไรกับเขาไว้ ทำให้ข้าอยู่ดีๆ ต้องเสียกระพรวนทองชดใช้ไป เจ้าเองก็ยุ่งนัก นี่มันไม่คุ้มเอาเสียเลย!”
เสวียนอี่ไม่ตอบอะไร ยิ้มราวดอกไม้ดอกหนึ่ง
เพื่อเส้นผมสามเส้นทำให้หมดเวลาไปตลอดเช้า ชั้นเรียนจึงไม่สามารถเริ่มได้แล้ว มหาเทพไป๋เจ๋อคิดแต่ว่าอยากกลับไปนอนสักพัก แล้วยังเจ็บใจเรื่องกระพรวนทองคำนับแสนอันนั้น พอหันหลังเข้าตำหนัก เขาก็ต้องชะงัก ด้วยเพราะตกใจกับจื่อซีกับกู่ถิงที่ร้องเรียกเขาอยู่ข้างหลัง “ท่านอาจารย์”
“มีอะไร” เขาเอ่ยอย่างหมดแรง
จื่อซีเดินมาข้างหน้าก่อนจะพูดอย่างร้อนรน “อาจารย์ ศิษย์น้องฝูชางถูกเทพเฟยเหลียนทำร้ายจุดสำคัญ ท่านอาจารย์โปรดช่วยตรวจให้ด้วยขอรับ”
ถ้าบาดเจ็บที่จุดสำคัญแล้วเขาจะไปเอาแรงจากไหนมาตัดผมคนอื่นเสียค่อนหัวเล่า มหาเทพไป๋เจ๋อสงสัยภายในใจ เพ่งมองไปยังรอยเท้าที่หน้าอกฝูชาง พูดเรียบๆ “เท้าเทพเฟยเหลียนทำไมถึงเล็กอย่างนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเทพจึงใช้ฟันและเท้าทำร้ายคน เขาไม่เป็นอะไร ไม่ต้องตกใจไปหรอก”
จื่อซีเข้าใจในบัดดลว่ารอยเท้าและรอยฟันนั้นเป็นผลงานของใคร ตอนเหยียบลงไปคงแรงน่าดู จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ “ที่แท้เจ้าก็ไม่เป็นอะไร…เป็นองค์หญิงจู๋อินนั่นอีกแล้วใช่ไหมที่ทำ เพิ่งมาถึงแค่วันเดียวแท้ๆ ก็ทำเรื่องวุ่นวายขนาดนี้!”
ชายหนุ่มหันกลับไปมองนางแวบหนึ่ง ที่นางตำหนิเสวียนอี่นั้นก็เหมือนกับตำหนิเขา เขาก็ไม่ก่อเรื่องยุ่งยากน้อยไปกว่าองค์หญิงมังกรนั่นสักนิด
“ทำไมหรือ” สายตาของชายหนุ่มทำให้จื่อซีใจคอไม่ดี
“ศิษย์พี่หญิงพูดถูก ข้าผิดไปแล้ว” ฝูชางรับเรียบๆ
จื่อซีรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาทันที ที่เขาพูดหมายความว่าอะไร นางไม่ได้ต่อว่าเขาสักหน่อย…
“ท่านอาจารย์ ศิษย์มีเรื่องอยากพูด เกี่ยวกับองค์หญิงเสวียนอี่” กู่ถิงสีหน้าแน่วแน่ เอ่ยเสียงต่ำ
พอพูดออกมา ศิษย์รอบตัวล้วนคอยเงี่ยหูฟัง มหาเทพไป๋เจ๋อมองเสวียนอี่อย่างสนใจ นางเบิกตากลมโตราวกับแมวมิปาน ใบหน้าใสซื่อราวกับตนไร้ความผิด
“ศิษย์คิดว่า พฤติกรรมและลักษณะนิสัยขององค์หญิงเสวียนอี่ เมื่อเทียบกับ ‘หลักคุณธรรม’ ของท่านอาจารย์แล้ว ล้วนขัดแย้งกัน แล้วยังไม่เหมาะสมที่จะเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักนี้ เรื่องดอกโบตั๋นเริงระบำนั่นก็เรื่องหนึ่ง ทำให้เห็นถึงความหยิ่งยโสขององค์หญิง ไร้ซึ่งความเมตตา เรื่องเทพเฟยเหลียนเรื่องที่สอง องค์หญิงมีวาจาปลิ้นปล้อน มีเล่ห์เหลี่ยม หลอกให้ท่านเทพตกหลุมพราง ทำให้ศิษย์หวาดกลัว ไร้น้ำจิตน้ำใจ แล้วที่คุยกับท่านอาจารย์เมื่อครู่ องค์หญิงยังปล่อยตัวตามสบาย ไม่มีมารยาทสักนิด ไม่รู้จักมารยาท ศิษย์เขลานัก ไม่อาจอยู่ร่วมสำนักกับองค์หญิงเสวียนอี่ได้ ท่านอาจารย์โปรดพิจารณาเถิด”
—
[1] ซู่หนี่ว์ นักดนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์จีน เชี่ยวชาญด้านการเล่นพิณ ทั้งยังเป็นเทพธิดาด้านการรักษา
[2] จิน หน่วยวัดน้ำหนักของจีน โดย 1 จินเท่ากับ 500 กรัม