บทที่ 19 ฝูงสุนัขเห่าหอน

บุหลันเคียงรัก

หลังจากกู่ถิงพูดจบ เหล่าศิษย์พากันวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสาย

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้ม “เสวียนอี่เพิ่งจะอายุเพียงเก้าพันเจ็ดร้อยปีเท่านั้น ในเมื่อนางยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ย่อมเป็นธรรมดาที่พวกเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ทั้งหลายต้องคอยชี้แนะช่วยเหลือนาง ไฉนกลับแสดงท่าทีผลักไสไล่ส่งกันเช่นนี้ ลูกศิษย์ข้าไร้ความอดทนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”

 

 

กู่ถิงเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าข้าผลักไสไล่ส่ง แต่ว่าศิษย์ในสำนักต่างสั่งสมชื่อเสียงอันดีงามมายาวนาน เกรงว่าองค์หญิงเสวียนอี่จะไม่เหมาะกับความดีงามในด้านนั้น กลับจะทำให้ท่านขายหน้าเสียด้วยซ้ำ”

 

 

“หากชื่อเสียงไม่สอดคล้องกับความจริง ไม่ต้องมีก็ได้” มหาเทพไป๋เจ๋อโบกมือ “หยกหากไม่เจียระไนก็ไม่ล้ำค่า หากไม่เจียระไน ยังจะหวังให้เป็นหยกน้ำงามที่สุดได้หรือ พอแล้ว เรื่องนี้พอแค่นี้ก่อน ข้าไปล่ะ”

 

 

ราวกับเกรงจะถูกพวกเขารั้งอีกครั้ง เขาจึงเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้เงา เหลือไว้เพียงเหล่าลูกศิษย์ที่ยังคงวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป

 

 

กู่ถิงส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ ท่านอาจารย์ก็แค่ยอมเสียเกล็ดมังกรชิ้นนั้นไปไม่ได้เท่านั้น ความคลั่งไคล้ในของสะสมแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มหมดคำพูด

 

 

เสวียนอี่ผู้นิ่งเงียบมาตลอดหัวเราะขึ้นเบาๆ ทันที จ้องไปยังกู่ถิงด้วยแววตาระยิบระยับ “ข้ายังมีคำถามหนึ่งอยากถามศิษย์พี่แต่ละท่าน หากท่านอาจารย์สั่งให้ไปทำอะไร พวกท่านล้วนไปทำโดยไม่ลังเล ไม่ถามถูกผิด ไม่ถามถึงอันตราย ไม่ถามถึงความเป็นไปได้ใช่หรือไม่”

 

 

กู่ถิงเอ่ยเสียงเข้ม “คำพูดแบบนี้มีเล่ห์เหลี่ยมอีกแล้ว! ท่านอาจารย์จะเรียกพวกข้าไปทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายได้อย่างไร”

 

 

“ศิษย์แต่ละคนล้วนเคยถูกท่านอาจารย์ใช้ไปเอาเส้นผมของเทพเฟยเหลียน ทุกคนล้วนถูกท่านเทพบุตรไล่ตะเพิด ท่านเป็นคนพูดเองใช่หรือไม่” เสวียนอี่มองเขาอย่างสงบ “ทั้งที่รู้ว่าเทพเฟยเหลียนเจ้าอารมณ์โมโหร้าย แล้วเหตุใดท่านอาจารย์จึงสั่งให้ศิษย์ไปถูกไล่ตะเพิดครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านอาจารย์อยากได้เส้นผมของเทพเฟยเหลียน ทั้งที่สามารถขอแลกเปลี่ยนได้แต่แรก แล้วเหตุใดยังส่งลูกศิษย์ไปเอาเสียเที่ยวอยู่เสมอ เหตุผลข้อนี้ข้าไม่เข้าใจ ขอศิษย์พี่โปรดอธิบายด้วย”

 

 

“นี่…” เมื่อถูกถาม กู่ถิงถึงกับเหงื่อตก

 

 

เสวียนอี่กวาดตาโดยรอบ ยิ้มบางๆ “ท่านพูดถูกเพียงประโยคเดียว คือ ศิษย์เขลานัก ไม่ถามสาเหตุ ไม่รู้เรื่องมาตลอด นี่ก็คงเรียกว่าหลักคุณธรรมอันดีงามเช่นกัน แต่ข้ามิกล้าเห็นด้วย อย่างไรเสียข้าก็ไม่อยากเป็นสุนัขของอาจารย์”

 

 

“เจ้าพูดว่าใครเป็นหมา! ” ลูกศิษย์พากันโกรธขึ้นมา

 

 

นางหันหลังเดินกลับไปอย่างกระหยิ่มใจ พลางกล่าวว่า “ใครที่เรียกว่าดุร้าย คนนั้นก็เป็นสุนัข ข้ากลับล่ะ ศิษย์พี่กู่ถิง ท่านสนใจเรื่องตัวท่านเองก่อนเถอะ พูดมาได้เต็มปากว่าหลักคุณธรรม ข้าฟังแล้วขัดหูชะมัด”

 

 

“เจ้าจู๋อินคนนี้จะมากเกินไปแล้ว! ” เหล่าลูกศิษย์ต่างโมโหจนตัวสั่น “อย่าให้ถึงคราวที่พวกข้าเข้าเรียนกับท่านอาจารย์ล่ะ! ข้าจะให้อาจารย์ไล่องค์หญิงออกไปให้ได้! ”

 

 

กู่ถิงอดยิ้มขมขื่นไม่ได้ “หากอาจารย์ต้องการไล่ คงไม่รับมาเป็นศิษย์แต่แรก ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีก ที่จริง…ที่นางพูดก็มีเหตุผล”

 

 

ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของมหาเทพไป๋เจ๋อล้วนเคยถูกเทพเฟยเหลียนโยนออกมาด้วยกันทั้งนั้น มีเพียงนางที่นำเส้นผมกลับมาด้วยได้ แล้วยังสามารถบังคับให้ท่านอาจารย์เอากระพรวนทองคำมาแลกเปลี่ยน แค่จุดจุดนี้ ก็เก่งกว่าพวกเขามากแล้ว

 

 

ชายหนุ่มส่ายหัวพลางถอนหายใจ

 

 

จื่อซีเองก็อดถอนหายใจไม่ได้ ก่อนที่องค์หญิงจู๋อินผู้นี้จะมา อะไรก็ดีไปหมด ศิษย์ร่วมสำนักรักใคร่สามัคคี พอนางมาเท่านั้น ก็ทำให้ที่นี่วุ่นวายไปหมด แล้วยังทำเรื่องบังอาจกับฝูชางมากมาย…

 

 

คิดถึงฝูชางขึ้นมา นางรีบมองหาเงาร่างของเขา กวาดสายตามองผ่านกลุ่มเทพที่อยู่ในโถง ก๋อนจะหยุดอยู่ที่เงาร่างสีขาวราวหิมะ

 

 

ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีชาติกำเนิดสูงส่ง สง่างาม เพียงเลือกมั่วๆ มาสักคนหนึ่งเท่านั้น ก็ล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาในโลกแห่งเทพทั้งสิ้น แต่นางรู้สึกว่าพวกเขาทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วก็ยังไม่สู้ฝูชางผู้มีเงาร่างขาวราวหิมะ ชวนให้ใจสั่นคนนั้น

 

 

ชายหนุ่มก้มหัวต่ำ มองกระบี่วิเศษที่อยู่ในมือ ใบหน้าเสี้ยวหนึ่งหล่อเหลาคมคาย ขนตางอนยาวดุจปีกผีเสื้อ สายตาแลดูเยือกเย็นและมุ่งมั่น

 

 

จื่อซีคิดถึงบุรุษรูปงามในงานเลี้ยงของจักรพรรดินีเมื่อปีก่อน นางกับท่านพ่อไปร่วมงานรื่นเริงที่ทั้งยาวนานและอึกทึกวุ่นวายนั้น ในใจรู้สึกทนไม่ไหว จนกระทั่งเมื่อได้เห็นฝูชางจับกระบี่ร่ายรำ พลิ้วไหวดุจสายลม เคลื่อนไหวทั้งเบาและอ่อนช้อย

 

 

นับแต่นั้นมานางก็มิอาจลืมภาพสุดท้ายยามชายหนุ่มเก็บกระบี่ลงได้เลย

 

 

พอรู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์จับคู่ให้ฝูชางกับองค์หญิงจู๋อิน นางรู้สึกเพียงว่าโลกพลันมืดมิดไปหมด วันนั้นที่สวนดอกไม้หลังตำหนักของราชาบุปผามีสายตานับไม่ถ้วนคอยจับจ้องอยู่ นางเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

แต่ทว่าฝูชางมีอะไรบางอย่างที่ต่างจากเทพองค์อื่นๆ ไม่รู้ทำไม จื่อซีมั่นใจมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาไม่เหมือนใคร ไม่ผิดแน่ ที่เขาต้องการคือคนที่เข้าใจ คนรักที่เข้าใจในตัวเขาและเคารพเขา

 

 

จื่อซีรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว จึงรีบเอามือปิดหน้าไว้

 

 

นางเสียสติไปแล้ว แม้ว่าจะมั่นใจว่าตนคือ “คนรู้ใจ” คนนั้น แต่ก็ไม่รู้ทำไม นางกลับไม่รู้สึกขัดแย้งกับความเสียสติของตัวเองในตอนนี้ น่าจะเป็นเพราะอยู่กับองค์หญิงเสวียนอี่นั่นนานเกินไปแล้ว ทำให้ติดนิสัยพรรค์นี้มา

 

 

จื่อซีปรับอารมณ์ให้กลับคืนเป็นปรกติ ก้มหน้าก้มตารีบออกไปจากตำหนักหมิงซิ่ง

 

 

 

 

เมื่อฝูชางตามหาไท่เหยาพบที่ด้านหลังตำหนัก ศิษย์พี่คนนี้กำลังนั่งพิงเสาหน้าซีดเผือด ดูแล้วก็รู้ว่าการยกกระพรวนทองคำน้ำหนักสามพันสามร้อยจินคงเป็นงานหนักสำหรับเขา ถึงตอนนี้ยังเหนื่อยจนพูดไม่ออก

 

 

ฝูชางยื่นกระบี่ออกไป “ศิษย์พี่ไท่เหยา ขอบคุณท่านมากสำหรับกระบี่”

 

 

ไท่เหยาหอบหายใจหนักๆ สองสามครั้ง แล้วจึงรับกระบี่มา ทว่ายังคงไม่ได้เก็บกลับไปคาดไว้ที่เอว แต่กลับชักออกมาพินิจดูครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม “กระบี่นี้มีชื่อว่าฉุนจวิน เป็นกระบี่ล้ำค่าที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ยามบิดาข้ายังเยาว์วัย ได้หล่อกระบี่ขึ้นมาด้วยตนเอง ปีก่อนข้าป่วยหนัก ท่านพ่อจึงมอบกระบี่นี้ให้ข้า น่าเสียดายที่ว่าทุกวันนี้ข้ากลับไม่ชำนาญเรื่องกระบี่ ทำให้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าอย่างไม่มีทางออก ข้าเห็นศิษย์น้องฝูชางใช้กระบี่นี้อย่างกล้าหาญแล้วยังใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ กระบี่เล่มนี้ก็ยินดียิ่งเมื่ออยู่ในมือเจ้า ข้าจึงขอมอบกระบี่นี้ให้เจ้า”

 

 

ฝูชางตกใจอย่างคาดไม่ถึง “กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ที่จักรพรรดิสวรรค์พระราชทานให้ท่าน ข้าจะรับได้อย่างไร อีกอย่างข้าเองก็ไม่พกกระบี่ แค่ใช้เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ศิษย์พี่ไท่เหยาให้ข้ามากไปแล้ว”

 

 

ไท่เหยากระแอมไอเล็กน้อย “อันนี้น่ะหรือ…เจ้าได้ใช้มันตัดผมเทพเฟยเหลียนไปแล้ว…”

 

 

ฝูชางใช้เวลาพิจารณาอยู่ชั่วครู่ หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ศิษย์พี่คนนี้ช่างเป็นเทพที่ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากจริงๆ เขามีสถานะพิเศษ อีกทั้งยิ่งไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับเหล่าทวยเทพ เมื่อตนใช้ฉุนจวินหั่นผมเทพเฟยเหลียน ก็หมายความว่าผูกความแค้นกับเทพเฟยเหลียนแล้ว หากเขายังเก็บกระบี่นี้คืนไป ไม่แน่ว่าวันไหนที่เทพเฟยเหลียนเห็นกระบี่นี้เข้า ตอนนั้นเขาย่อมตกที่นั่งลำบาก

 

 

ฝูชางรับฉุนจวินมา พูดเสียงต่ำ “ศิษย์พี่ไท่เหยามีบางส่วนคล้ายกับท่านอาจารย์มาก”

 

 

ไท่เหยากลับส่ายหน้า “อย่าเลย ข้าแค่ติดตามท่านอาจารย์มานาน ที่จริง เห็นท่านอาจารย์เหนื่อยหน่ายใจกับศิษย์น้องหญิงอย่างนั้น แต่ในใจท่านชอบนางมากอยู่ ศิษย์น้องหญิงกับท่านอาจารย์สิถึงจะเป็นแนวเดียวกัน”

 

 

คิ้วยาวของฝูชางเลิกขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดจึงเห็นเป็นเช่นนั้น”

 

 

ไท่เหยากล่าวว่า “ก็พวกที่ฉลาดมากๆ มักไม่ค่อยฟังใครหรอก ข้าว่าศิษย์น้องฝูชางก็เป็นหนึ่งในนั้น”

 

 

ฝูชางก้มหัวต่ำเอ่ย “ข้าเป็นได้แค่เพียงหนึ่งใน ‘ศิษย์ผู้โง่เขลา’ เท่านั้น”

 

 

ไท่เหยาส่ายหัว พูดเรียบๆ “ที่นี่ยังไม่มีศิษย์คนไหนกล้าเหาะไปตัดผมเทพเฟยเหลียน และไม่มีใครกล้าปกป้องศิษย์น้องหญิงยามที่เทพเฟยเหลียนไล่ตามมา เฮ้อ ไม่รู้ต่อไปจะยังวุ่นวายอะไรอีก พวกกู่ถิงล้วนเป็นพวกสมองช้า จะตามศิษย์น้องหญิงทันได้อย่างไร…ช่างเถอะ เจ้าไปเถอะ ข้าต้องการงีบสักพัก”