เชิญออกจากเกี้ยวของข้า

ในที่สุดหวูเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเย่หยวนถึงสามารถบรรลุยอดเต๋าแห่งโอสถได้ แถมยังได้การยอมรับจากเต๋าแห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์อีก

ความบ้าบิ่นของเจ้าเด็กนี่ทำเอาเขาประสาทกินอย่างแท้จริง!

หากกล่าวว่าเหล่านักหลอมโอสถทุกคนล้วนเป็นพวกบ้าชอบหมกมุ่น เย่หยวนคงเป็นยอดคนบ้าในหมู่คนบ้าทั้งปวง!

เย่หยวนใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็มเพื่อพินิจวิเคราะห์โอสถปราณลึกล้ำชนิดนี้ ระหว่างทางเขาพ่นคำถามมากมายกระหน่ำใส่หวูเฉินอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

อย่างไรก็ตามแต่ ด้วยสภาพของเย่หยวนในปัจจุบัน เขาไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถปราณลึกล้ำได้เลย

นอกจากนี้ เขาไม่รู้เรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับโอสถศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย แม้จะขึ้นชื่อว่าโอสถเหมือนกัน แต่หลักฐานบางประการกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้มีคนมาวางส่วนประกอบทั้งหมดลงต่อหน้า เขาก็ไม่มีปัญญาไปหลอมกลั่นอะไรเลย

เย่หยวนในตอนนี้เพิ่งจะเริ่มก้าวลงบนเส้นทางแห่งโอสถที่แท้จริงเท่านั้น!

สุดเกินจะทานทนหวูเฉินตะคอกสวนด้วยความหงุดหงิดว่า

“เจ้าจะรีบร้อนหลอมกลั่นโอสถปราณลึกล้ำไปหาสวรรค์วิมารอันใด! หากยังถามไม่เลิกเช่นนี้ เกรงว่าจะได้พิการไปตลอดชีวิต!”

ถูกตะคอกเตือนสติเช่นนี้ เย่หยวนเพิ่งจะมารู้สึกฟื้นตัวและพบว่าที่หวูเฉินกล่าวไปล้วนถูกต้อง

ด้วยสภาพร่างกายดั่งมนุษย์ผักแบบนี้ หากไม่รีบหาหนทางรักษาโดยเร็ว เกรงว่าจะพิการตลอดชีพ

อย่างไรก็แล้วแต่ เย่หยวนเองก็ตระหนักดีว่า ร่างกายของเขาในปัจจุบันค่อนข้างสาหัสเกินเยียวยา พลังปราณเทวะไม่เหลือเลยสักนิดและไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถรักษาตัวเองได้

โชคยังดีที่เขายังฟื้นสติขึ้นมาได้ และพยายามซึมซับฤทธิ์โอสถที่ตกค้างอยู่ในร่างกายให้ได้มากที่สุด

แม้วิถีนี้จะแทบมิได้ช่วยให้การดูดซับฤทธิ์โอสถเร็วงขึ้นเท่าไหร่นัก แต่นี่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เลยตามเลย

โอสถปราณลึกล้ำ เป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นสูง ประสิทธิภาพของโอสถย่อมสูงมากแน่นอน

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในที่สุดเย่หยวนก็พอขยับนิ้วได้บ้าง เขาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือ หญิงสาวนางหนึ่งผู้มีใบหน้างดงามและขาวนวลดุจหิมะ

เหลียงหวางหรูที่กำลังเฝ้าดูแลเย่หยวนอยู่นั่นเอง ยามนี้เห็นว่าเย่หยวนได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว นางเองก็ประหลาดใจมิใช่น้อยพร้อมขยิบตาปริบๆทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน

“หรือ…หรือว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้?”

เย่หยวนเปิดปากกล่าวขึ้น นี่มิใช่การสื่อสารทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แบบที่สนทนากับหวูเฉิน แต่เมื่อพยายามที่จะกล่าวออกมา เขาก็พบว่าทั่วทั้งลำคอของเขาค่อนข้างแห้งกราดประดุจเม็ดทราย

เหลียงหวางหรูที่ได้ยินดังนั้นก็รีบไปนำน้ำดื่มมาป้อนเย่หยวนทันที หลังกระดกดื่มด้วยความกระหายไปยกใหญ่ เย่หยวนก็รู้สึกดึขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้?”

เย่หยวนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

เหลียงหวางหรูพยักหน้าตอบ

เย่หยวนตื่นตกลึงเล็กน้อยยามนีกขึ้นได้ว่านางเป็นใบ้

“ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ช่วยเหลือชีวิตข้า! หนี้น้ำใจครั้งนี้ช่างหนักหนา ยามใดที่อาการบาดเจ็บของเย่หยวนคนนี้ฟื้นตัวสมบูรณ์ ข้าย่อมหอโอกาสตอบแทนแม่นางเป็นอย่างดี!”

เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ

เหลียงหวางหรูเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยและส่ายหัว

เย่หยวยตระหนักทราบดี นางต้องการจะบอกว่า นางมิใช่ช่วยเหลือเขาเพราะหวังสิ่งตอบแทน

ทว่าในเวลานั้นเอง เหลียงหวางหรงกลับระเบิดเสียงหัวเราะเยาะดังสนั่นจากด้านหลัง นางโพล่งกล่าวขึ้นพร้อมสายตาสุดรังเกียจว่า

“ช่างน่าขันสิ้นดี! ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าถูกทำลายไม่เหลือ ร่างกายก็สาหัสเกินรักษา เป็นแค่คนพิการแท้ๆ แต่ยังกล้าอ้าปากกล่าวสัญญาลมๆแล้งๆ ขยะอย่างแกคนมีแต่แค่พูดจาโอ้อวด! พี่สาวผู้แสนประเสริฐของข้า สุดท้ายก็มีดีแค่สร้างภาระ!”

คู่คิ้วของเย่หยวนขมวดเข้มในบัดดล เขารู้เรื่องของเหลียงหวังหวางหรงมาจากหวูเฉินแล้ว

ในขณะที่เหลียงหวางหรูช่วยชีวิตเขา แต่เหลียงหวางหรงกลับเอาแต่ผลักไสไล่ส่งและสั่งให้ทุกคนในกองคาราวานไม่ต้องไปสนใจพวกเขาทั้งสอง

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้จะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก

คนหนึ่งช่างมีจิตใจอ่อนโยนและมากเมตตา ในขณะที่อีกคนไม่เพียงชั่วร้ายดุจอสรพิษ แต่ยังมีจิตใจแข็งกร้าวเย็นชาไร้ความมนุษยธรรม

เหลียวหวางหรูเร่งก้มศีรษะให้เย่หยวนเชิงขอโทษขอโพยในทันใด เห็นได้ชัดว่า นางกำลังขอโทษเขาที่น้องสาวของนางทำกิริยาหยาบคายใส่เขา

เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อย เขาเอ่ยกล่าวขึ้นอีกคราโดยเมินวาจาถากถางของเหลียงหวางหรงไปโดยสิ้น

“ท่านมอบโอสถปราณลึกล้ำให้แก่ข้า สักวันข้าจะหลอมโอสถปราณลึกล้ำให้คืน!”

เมื่อเห็นว่าเย่หยวนมิได้แยแสนางแม้สักนิด ยามนี้เหลียงหวางหรงอดโมโหมิได้และโพล่งกล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาลขึ้นว่า

“สวะอย่างแกกล้าเมินข้าผู้นี้เชียวรึ! เชื่อหรือไม่ว่า ข้าสามารถเตะเจ้าออกจากกองคาราวานได้ในทันที! คนพิการอย่างแกจะมีปัญญาเอาชีวิตรอดกลางป่ากลางเขาเช่นนี้หรือไม่?”

ยังทันทีที่เย่หยวนจะได้ตอบโต้อะไรกลับ แต่เหลียงหวางหรูก็โพล่งขึ้นหน้าขวางกั้นระหว่างเขากับเหลียงหวางหรง พร้อมสาดสายตาเชิงดุใส่

เจตนาดีที่ต้องการปกป้องเขาของเหลียงหวางหรู เย่หยวนรู้ซึ้งประทับจับใจยิ่ง

ทว่าเหลียงหวางหรงที่เห็นเช่นนั้น นางก็เริ่มหัวเราะคิกคักและกล่าวเย้ยขึ้นว่า

“เฮ้ออ…พี่สาวผู้ประเสริฐของข้า ไม่นึกเลยว่าจะมาตกหลุมรักชายพิการคนนี้? เอ๊ะ…แต่กระทั่งแขนขาก็ยังขยับไม่ได้ ยังเรียกว่าคนได้อีกรึ? กล่าวได้ว่าพี่สาวของข้าพบรักกับเศษขยะก้อนหนึ่ง! หุหุ คนหนึ่งเป็นใบ้ ส่วนอีกคนพิการ นี่มันกิ่งทองใบหยกชัดๆ!”

เหลียงหวางหรงเพิ่งจะมาค้นพบว่า ยิ่งนางกล่าวมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น หลังสิ้นเสียงไป นางก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง

ในอีกด้าน เหลียงหวางหรูที่ได้ยินแบบนั้น นางทั้งรู้สึกโกรธและเขินอายในเวลาเดียวกันจนร่างกายบอบบางของนางสั่นเทาไม่หยุด

เพียงว่านางพูดไม่ได้ จึงมิอาจต่อล้อต่อเถียงกับเหลียงหวางรงได้เลย

แต่เสี้ยวอึดใจถัดมา จู่ๆเย่หยวนก็กล่าวขึ้นเสียงลอยว่า

“แม่นางหวางหรูทั้งสวยและใจดี ชายใดได้ครองครู่กับนางนับเป็นพรจากสวรรค์โดยแท้ แต่ถ้าใครได้แม่นางหวางหรงเป็นเมีย… หุหุ…”

เย่หยวนได้แต่แพร่งพรายลากเสียงหัวเราะยาว แต่มิได้กล่าวความสารต่อ

ซึ่งคำว่า‘หุหุ’ของเย่หยวน เผยให้เห็นถึงทัศนคติอันแสนหยามเหยียดสุดจะเปี่ยมล้น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหลียงหวางหรงโพล่งลุกขึ้นทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว!

นางกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า นางเป็นสาวงามประดุจบุปผาและไม่แพ้เหลียงหวางหรูแน่นอน สถานะของนางในตระกูลเหลียงเปรียบเสมือนเทพธิดาที่ชี้สั่งไม้เป็นไม้ อำนาจอิทธิพลของนางเหนือกว่าไม่รู้กี่เท่าหากเปรียบเทียบกับเหลียงหวางหรู

แต่ไอ้ขยะพิการตัวนี้มันกล้าดูถูกนางจริงๆ!

“ไอ้สวะ! แกกล้าปากเสียกับคุณหนูผู้นี้รึ! ‘หุหุ’นั้นหมายความอันใด?!”

เหลียงหวางหรงลุกขึ้นอาละวาดทันที

เหลียงหวางหรงนางนี้มิใช่คนหัวไวนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกเรื่องของตระกูลเหลียงล้วนเป็นหน้าที่ของแม่ที่คอยจัดการให้

นางใช้อำนาจทุกทางเพื่อบีบบังคับและรังแกพี่สาวของนางตามใจอยาก สำหรับเรื่องนี้ทุกคนในตระกูลต่างทราบดี

หากเหลียงหวางหรงมีปัญหาอันใด นางจะชี้นิ้วสั่งคนรับใช้เพียงอย่างเดียว

ดังนั้น แม้นางจะทราบอย่างชัดแจ้งว่า วาจาคำกล่าวของเย่หยวนกลับหาใช่เจตนาดี แต่นางก็ยังต้องการฟังว่า เขาต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่

เย่หยวนรวนหัวร่อเสียงเย็นกระด้างพลางกล่าวอย่างไม่แยแสว่า

“ก็มิได้หมายความอย่างไร แม่นางหวางหรง…เชิญออกจากเกี้ยวของเย่คนนี้ไปได้แล้ว!”

น้ำเสียงเจือรำคาญแผดดังลั่นออกจากปากเย่หยวน นี่ทำเอาเหลียงหวางหรงเดือดดาลจนเส้นประสาทปูดโปน

ความหมายที่เขาต้องการจะสื่อช่างชัดเจนนัก ตัวนางหาดีแทบไม่ได้แถมยังเป็นรองพี่สาวแทบทุกด้าน บุรุษเพศคนใดได้เป็นเมียคงนึกเสียใจชั่วชีวิต!

ชายพิการคนนี้จงใจเหยียดหยามศักดิ์ศรีของนางชัดๆ!

“แก! แก! ไอ้คนพิการอย่างแกกล้าหยามเหยียดคุณหนูผู้นี้จริงๆ! จางชุน ฆ่าไอ้พิการนี่ทิ้งซะแล้วโยนให้สุนัขกิน!”

เหลียงหวางหรงคุ้นเคยดีกับเรื่องฆ่าฟัน ในสายตาของนาง ชีวิตคนอื่นมีค่าแค่ผักปลา

“เอ่อ…”

จางชุนเอ่ยปากขึ้นอย่างลังเลใจ

จางชุนในยามนี้ปวดเศียรยิ่งเมื่อถูกดึงมาเกี่ยวข้อง เหล่าทหารยามอย่างพวกเขาเป็นเพียงคนรับใช้ในเรือนตำหนัก ปัจจุบัน คุณหนูทั้งสองนางมีเรื่องกัน จึงเป็นเรื่องยากที่เขาถูกจับมาเป็นคนกลางแบบนี้

แม้สถานะของคุณหนูรองจะสูงมากภายในตระกูลเหลียง แต่จางชุนย่อมทราบดี ท่านประมุขตระกูลรักใคร่คุณหนูใหญ่ยิ่งกว่าใคร

จะต้องทำอย่างไร ทำให้ไม่มีฝ่ายใครบาดหมางในตัวเขา?

“ยังจะยืนงงอันใด! จางชุน หรือเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของคุณหนูรองผู้นี้แล้ว?”

เหลียงหวางหรงสาดสายตาใส่จางชุนพร้อมตะคอกใส่อย่างเอาแต่ใจ

ทันทีที่สิ้นเสียง เหลียงหวางหรงยกบาทาขึ้นพร้อมเตะอัดกลางอกจางชุนและเหลียวหวางหรูสุดแรง จนทั้งคู่กระเด็นออกไปโดยตรง

สีหน้าของเย่หยวนมืดทมิฬลงในทันใด พร้อมจิตสังหารที่เริ่มพรั่งพรูปะทุขึ้น

เมื่อเหลียงหวางหรงเห็นแบบนั้น นางพลันแสยะยิ้มชั่วและกล่าวขึ้นเสียงทุ้มเย็นว่า

“ไอ้พิการ แกกล้าเหลือบมองคุณหนูผู้นี้รึ? จงจำไว้เศษขยะอย่างแกไม่มีคุณสมบัติจะเงยหน้ามองใครได้! คุณหนูผู้นี้จะลงโทษแกโดยการควักลูกตาออกดีหรือไม่? นี่นับเป็นความเมตตาแล้ว จงสำนักเอาไว้!”

กล่าวเสร็จสิ้น เหลียงหวางหรงพุ่งตรงเข้าไปบีบคอเย่หยวน พร้อมมืออีกที่ข้างควักมีดพกสั้นออกมาจ่อดวงตาเตรียมควักอย่างอำมหิต คมโลหะสะท้อนเงาวิบวับสว่างจ้า

แม้เย่หยวนสามารถเปิดปากกล่าวได้ แต่เขากลับไม่สามารถขยับเหยื้อนร่างกายได้เลย

เย่หยวนได้แต่นอนรอเตรียมถูกสังหารบนเกี้ยวอย่างสงบนิ่ง

เหลียงหวางหรงกดมีดสั้นเข้าประชิดจ่อแก้วตาเย่หยวน นางแสยะยิ้มแสนน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่พร้อมเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดอำมหิตไร้ใจ

“แสงจ้าดีไหม! สว่างดีไหม! อีกสักครู่เจ้าก็จะมองไม่เห็นแสงตะวันอีกตลอดกาล!”