บทที่ 368: ล้างบางเมืองจิงฉู (17) – ดังกะฉ่อน!
ที่สำนักงานรักษาความมั่นคง..
หัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงคนปัจจุบัน-หลัวจ้ง กำลังนั่งมองภาพวีดีโอในคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด..
วีดีโอที่หลัวจ้งกำลังดูอยู่นั้น เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพของชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งไว้ได้ ในภาพชายผู้นั้นกำลังเดินเอามือไขว้หลังข้ามถนนอยู่กลางสี่แยกแห่งหนึ่ง แต่จู่ๆกลับมาหยุดอยู่หน้ากล้อง แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นจ้องมองเข้าไปในกล้อง จากนั้นก็ยิ้มมุมปากคล้ายแสยะยิ้มให้กับกล้อง เป็นรอยยิ้มที่เต็มด้วยความมั่นอกมั่นใจ!
แล้วชายคนนั้นก็ยกมือขึ้นชี้ที่กล้องด้วยสายตาที่เย็นชาและดุดัน สีหน้าท่าทางของเขานั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองอย่างที่สุด!
และภาพวีดีโอที่หลัวจ้งกำลังดูอยู่นั้น ก็คือภาพของหลิงหยุนที่กล้องวงจรปิดตรงสี่แยกถนนจิงฉีและกู่เฟิงบันทึกไว้ได้นั่นเอง?!
ทุกครั้งที่หลัวจ้งดูภาพวีดีโอจากกล้องวงจรปิดตัวนี้ เขาถึงกับต้องถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ เพราะรู้สึกคล้ายกับว่าหลิงงหยุนกำลังยืนชี้หน้าเขาอยู่..
“มันจงใจยั่วโมโห! หลิงหยุนมันจงใจยั่วโมโหชัดๆ! นี่มันกลับมาที่จิงฉูแล้วเหรอ? ฉันก็อยากจะรู้นักว่ามันจะเก่งกาจสามารถแค่ใหนเชียว?!”
หลังจากที่หลัวจ้งถอนหายใจ และบ่นพึมพำกับตัวเอง เขาก็ไม่กล้าที่จะมองหน้าหลิงหยุนอีก และกำลังใคร่ครวญว่าจะเข้าจับกุมหลิงหยุนทันทีเลยดีหรือไม่?!
ระหว่างที่เขากำลังอึดอัดใจอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพอดี หลัวจ้งรีบกดหยุดเล่นวีดีโอไว้ชั่วคราว และทำเสียงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เข้ามาได้!”
ตำรวจหญิงเดินเข้ามาในห้อง และตรงเข้าไปที่หน้าโต๊ทำงานของหลัวจ้ง เธอยืนตัวตรงทำความเคารพก่อนจะรายงานว่า
“หัวหน้าหลัวคะ.. เกิดเรื่องใหญ่ค่ะ!”
ทันทีที่หลัวจ้งได้ยิน หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตำรวจหญิงพร้อมกับถามออกไปว่า
“มีเรื่องอะไร?”
และแน่นอนว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรจะใหญ่โตไปกว่าการที่หลิงหยุนบุกเข้าไปรื้อทำลายสำนักงานของกู่เหลียนซัน และทันทีที่หลิงหยุนออกไป พนักงานก็เป็นคนโทรเข้าไปแจ้งที่สถานีตำรวจเอง
หลังจากที่หลัวจ้วได้ฟ้ง เขาก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห
“หลิงหยุน.. แกมันโอหังเกินไปแล้ว ไม่เกรงกลัวแม้กระทั่งกฎหมาย!”
ตำรวจหญิงยังคงรายงานต่อด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “จากรายงานล่าสุด.. ตอนนี้หลิงหยุนกำลังพาคนจำนวนมากไปที่หมู่บ้านหลินเจียง เห็นว่าจะไปจัดการรื้อถอนบ้านของผู้อำนวยการสำนักงานเขตถนนหลินเจียงที่ชื่อเถียนป๋อเตาด้วยค่ะท่าน!”
หลัวจ้งได้ยินถึงกับอึ้งไปก่อนจะร้องออกมาเสียงดัง “อะไรนะ?! จะไปรื้อถอนบ้านงั้นเหรอ?! แล้วยังจะรออะไรอยู่อีก ให้ตำรวจพร้อมอาวุธจำนวนหนึ่งไปตามจับหลิงหยุนตอนนี้เลย อย่าให้มันรื้อถอนบ้านใครได้อีก แล้วผมจะรีบตามไป!”
หลังจากพูดจบ โทรศัพท์มือถือของหลัวจ้งก็ดังขึ้น และเมื่อเห็นว่าเป็นสายจากกู่เหลียนเฉินเขาจึงรีบรับสายทันที!
“หัวหน้าหลัว.. ขอโทษที่ต้องโทรมารบกวนคุณในวันหยุด! ผมแค่จะโทรมาบอกว่าหลิงหยุนมันกลับมาแล้ว และตอนนี้มันก็จัดการถล่มสำนักงานของผมจนพังหมด แล้วยังจับตัวน้องชายของผมไปด้วย ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง? กรุณาช่วยผมด้วย!”
หลังจากที่กู่เหลียนเฉิงถูกหลิงหยุนทำลายสัญลักษณ์แห่งชายชาตรีผ่านไปได้สองอาทิตย์ กู่เหลียนเฉินก็เริ่มร่วมมือกับคนที่เกี่ยวข้องวางแผนเล่นงานหลิงหยุน
หลัวจ้งพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ผมรู้เรื่องแล้ว! ในเมื่อหลิงหยุนมันไม่เคารพกฎหมาย ผมก็จะจัดการกับมันเอง ตอนนี้ผมได้สั่งการให้ตำรวจพร้อมอาวุธจำนวนหนึ่งเข้าไปจับกุมตัวมันแล้ว รอให้ผมจับมันได้ก่อนเถอะ..”
กู่เหลียนเฉิงได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมกับถอนหายใจ แล้วตอบไปว่า “ขอบคุณมาก หัวหน้าหลัว.. ได้โปรดช่วยน้องชายผมด้วยนะครับ ช่วยให้เขาปลอดภัยด้วย!”
หลัวจ้งถอนหายใจอย่างแรงพร้อมกับตอบไปว่า “สบายใจได้.. หลิงหยุนมันคงไม่กล้าทำร้ายคนกลางวันแสกๆหรอก แล้วผมจะรีบไปช่วยน้องชายของคุณกลับมาให้ได้เร็วที่สุด!”
กู่เหลียนเฉิงยังจำภาพความดุดันของหลิงหยุนได้ มือขวาของเขาเอื้อมลงไปสัมผัสอวัยวะท่อนล่างที่หายไป ริมฝีปากของเขาบิดเบี้ยวในขณะที่เอ่ยขอบคุณหลัวจ้งอีกครั้งก่อนจะวางสายไป
หลังจากวางสายไปแล้ว กู่เหลียนเฉิงก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ และจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างของโรงพยาบาล เขาถอนหายใจพร้อมกับพึมพำว่า
“เกมนี้คงยากที่จะชนะ..”
นักธุรกิจใหญ่อย่างกู่เหลียนเฉิงวิเคราะห์สถานการณ์ไปในทางที่เป็นลบ แม้ท้องฟ้าข้างนอกจะมีแสงแดดสดใส แต่ความรู้สึกของเขากลับมืดมิดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก..
…….
ภายในร้านกาแฟที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในเมืองจิงฉู สาวสวยสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน และสนทนากันอย่างสนิทสนม
คนหนึ่งแต่งหน้าบางเบา เผยให้เห็นใบหน้าสีขาวอมชมพู ผมดำเงาคล้ายเส้นไหมที่ถูกรวบขึ้นนั้น ช่วยให้เห็นหน้าผากสดใส คิ้วยาวหนา จมูกจิ้มลิ้ม และริมฝีปากเล็กที่เคลือบด้วยลิปสติกสีกุหลาบ ดูช่างเซ็กซี่ยิ่งนัก!
ดวงตาคู่งามของหญิงสาวหรี่ลงเล็กน้อย เผยให้เห็นขนตาที่ยาว ลักษณะท่าทางดูเป็นคนมั่นใจและถือดี
เครื่องหน้าของเธอนั้น ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม คิ้วที่เรียวยาวสวยงาม และริมฝีปากเล็กนั้น นับว่าเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวในสไตล์ของเหลียงเฟิงอี้..
เธอไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นน้าเล็กของฉางหลิง ซึ่งเป็นศัลยแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลเจียงหนานชื่อเหลียงเฟิงอี้นั่นเอง!
เหลียงเฟิงอี้สวมเสื้อชีฟองคอวีและกระโปรงรัดรูปสีขาว เผยให้เห็นหน้าอกที่อวบอิ่มสวยงาม และเอวที่คอดเล็กกับก้นที่แน่น รูปร่างของเธอมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ค่อนข้างได้รูปและสมส่วน
ถุงน่องสีชีมพูเข้ากับรองเท้าสีแดงสดใส ทำให้เหลียงเฟิงอี้ดูสง่างามแต่เซ็กซี่ในแบบผู้ใหญ่
ตรงข้ามเหลียงเฟิงอี้เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอีกคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ซึ่งไม่น่าจะเกิน 27 หรือ 28 ผมของเธอสั้นแค่ติ่งหู แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะไม่เซ็กซี่และน่าดึงดูดเท่ากับเหลียงเฟิงอี้ แต่ก็ดูเป็นสาวสวยที่มีสมอง..
หญิงสาวคนนี้เป็นคนที่ทั้งมณฑลเจียนหนานต้องรู้จัก เพราะเธอเป็นนักข่าวแสนสวยของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นชื่อ.. ซูหลิงเฟย!
เหลียงเฟิงอี้และซูหลิงเฟยเป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมัทธยมเหมือนเกาเฉินเฉินกับหนิงหลิงยู่ ในสมันเรียนพวกเธอทั้งคู่ต่างก็เคยเป็นดาวเด่นของโรงเรียนมาก่อนเช่นกัน
หลังจากที่จบออกมาคนหนึ่งก็เข้าสอบเข้าเป็นนักเรียนแพทย์ได้ ส่วนอีกคนก็เรียนทางด้านทีวีและการสื่อสาร แต่โชคดีที่ทั้งคู่เรียนอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน พวกเธอจึงไม่เคยขาดการติดต่อกัน และตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังได้ทำงานในเมืองจิงฉูเหมือนกันอีก จึงไม่ต้องพูดถึงความสนิทสนมของพวกเธอทั้งสองคน!
วันนี้เป็นวันหยุด หลังจากออกกำลังกายที่ฟิตเนสเสร็จแล้ว ทั้งคู่จึงนัดมาเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งนี้
ซูหลิงเฟยคนกาแฟในแก้วของตัวเองพร้อมกับจ้องมองเหลียงเฟิงอี้ ก่อนจะถามยิ้มๆ “เฟิงอี้.. วันนี้เธอดูแปลกไปนะ หรือว่ามีแฟนแล้ว?!”
เหลียงเฟิงอี้มองซูหลิงเฟยพร้อมกับมีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากริมฝีปากเซ็กซี่ “จะบ้าเหรอ! หลานสาวฉันต่างหากล่ะที่มี กำลังจะสอบเอนทรานซ์แท้ๆ แต่ดันมามีความรักซะก่อน แล้วนี่ก็ดันมาอกหักอีก ตอนนี้ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ น่าอึดอัดชะมัด..”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหลิงหยุนพร้อมรอยยิ้มสดใสของเขา ก็ปรากฏขึ้นในหัวของเหลียงเฟิงอี้ทันที เธอถึงกับส่ายหัวด้วยความตกใจจนหน้าแดง
ซูหลิงเฟยได้ฟังก็ได้แต่ถอนหายใจตาม “เฮ้อ.. เด็กผู้หญิงสมัยนี้ช่างแตกต่างจากสมัยเราจริงๆ สมัยนี้แค่มัธยมก็มีแฟนกันหมดแล้ว..”
ซูหลิงเฟยเป็นนักข่าวหญิงคนแรกของสถานีทีวีท้องถิ่น เธอจึงได้ยินเรื่องทำนองนี้บ่อยๆจนไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอะไร
เหลียงเฟิงอี้ขมวดคิ้วพร้อมกับถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “ความจริงหลานสาวของฉันเป็นเด็กที่ตั้งอกตั้งใจเรียนมากเลยนะ แล้วก็มีเธอเป็นไอดอลด้วย เฉิงหลิงตั้งใจที่จะสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยการสื่อสารเหมือนกับเธอ..”
ซูหลิงเฟยจึงถามอย่างแปลกใจ “น่าแปลก.. แค่เด็กผู้ชายคนเดียว ถึงกับยอมทิ้งเป้าหมายของตัวเอง”
ซูหลิงเฟยค่อนข้างงุนงง เพราะเธอเองก็เคยเห็นฉางหลิงหลายครั้ง และไม่เคยได้ยินว่าฉางหลิงจะชอบพอเด็กผู้ชายคนใหนเลย แล้วทำไมจู่ๆ เพียงเพราะแค่ผู้ชายคนเดียวถึงได้ไม่สนใจใยดีกับการสอบเอนทรานซ์?
“อีกแค่เดือนเดียวก็จะสอบเอนทรานซ์แล้ว รอหลังสอบเสร็จค่อยมีความรักก็ได้นี่นา?!”
เหลียงเฟิงอี้ถอนหายใจและกำลังจะตอบ แต่จู่ๆโทรศัพท์มือถือของซูหลิงเฟยก็ดังขึ้น หลังจากรับสายและนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆซูหลิงเฟยก็วางสายแล้วลุกพรวดพราดขึ้นทันที
เหลียงเฟิงอี้เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าตกอกตกใจของซูหลิงเฟยพร้อมกับถามขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรอีกล่ะแม่นักข่าวคนสวย!?”
ซูหลิงเฟยตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว.. ฉันต้องรีบไปก่อนนะ!”
เหลียงเฟิงอี้หัวเราะคิกคักพร้อมกับถามต่อว่า “มีข่าวใหญ่อะไรนักหนาที่ทำให้แม่นักข่าวคนสวยถึงกับต้องไปด้วยตัวเอง?”
ซูหลิงเฟยหันไปหยิบกระเป๋าพร้อมกับตอบไปว่า “มีคนแจ้งมาว่าสำนักงานแห่งหนึ่งบนถนนหลินเจียง จู่ๆก็มีคนเข้าไปรื้อทำลายจนพังถล่มยับเยิน รู้สึกว่าจะชื่อ.. หลิงหยุน! ฉันต้องรีบไปก่อนนะ เห็นว่าเขาจะไปถล่มบ้านในหมู่บ้านต่ออีก!”
“อะไรนะ?! หลิงหยุนเหรอ?!”
เหลียงเฟิงอี้ถึงกับตกใจเมื่อได้ยินชื่อหลิงหยุน และไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้อีก เธอลุกพรวดขึ้นมาทันทีจนหน้าอกอวบอิ่มกระเพื่อมไปทั้งสองข้าง