บทที่ 99 เรื่องที่สอง

ท่องภพสยบหล้า

ช่วงเวลาต่อมา แทบทุกวันเจียงวั่งจะไปฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับเจ้าหล่าง บางครั้งก็ทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมให้กับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในกองทัพประจำเมือง

ระหว่างขัดเกลาการต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งและความถี่สูงเช่นนี้ เขาเริ่มคุ้นเคยกับการใช้วิชาเต๋ามากขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ปรับตัวกับรูปแบบการต่อสู้ที่พลิกแพลงไปมาของเจ้าหล่างได้แล้วเช่นกัน

จนกระทั่งไป๋เหลียนมาหาถึงหน้าประตูอีกครั้ง

เวลาเป็นช่วงกลางคืนเหมือนเคย ไป๋เหลียนยังไม่เข้ามาในห้องนอนเช่นเดิม

อาจจะเพราะนางรู้ความสำคัญของเจียงอันอันในใจเจียงวั่ง นางจึงให้ตนเองที่มีอันตรายติดตัวมารออยู่ที่ลานบ้าน

“เรื่องที่สองรึ” หลังจากทิ้งข้อความไว้ให้อันอันและเดินออกมา เจียงวั่งก็ถามขึ้นตรงๆ

ไป๋เหลียนไม่พูดไม่จา หมุนตัวเดินออกไป

หลังกลับมาจากยอดเขาหยกสมดุล ความจริงเจียงวั่งไตร่ตรองระยะห่างระหว่างเขากับไป๋เหลียนมาโดยตลอด พิจารณาว่าเขาควรเผชิญหน้ากับไป๋เหลียนด้วยท่าทีเช่นไร

จุดหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ ไป๋เหลียนหรือองค์กรสักอย่างที่อยู่เบื้องหลังนางไม่ได้เป็นมิตรกับราชสำนักจวง

เรื่องยอดเขาหยกสมดุลถล่มลงมา เจียงวั่งเลือกประชาชนเมืองซานซาน โดยพื้นฐานก็คืออยู่ตรงข้ามกับราชสำนักจวงแล้ว แต่ความรู้สึกที่มีต่อราชสำนักจวงในใจเขาซับซ้อนอย่างมาก

เขาเติบโตที่รัฐนี้มาตั้งแต่เล็ก ด้วยการศึกษาที่ได้รับในวัยเด็ก เขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อราชสำนักจวง และรู้สึกเคารพรักเจ้ารัฐ

ดังนั้นเขาจึงขัดแย้งในใจนัก ต่อมาถึงแม้จะคลายลงบ้างจากจดหมายของเยี่ยชิงอวี่ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เลือกผิด แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องหันหลังไปคนละทางกับราชสำนักจวง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่เข้าใจ เรื่องที่ยอดเขาหยกสมดุลไป๋เหลียนทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ทำไมจึงต้องพาเขาไปแล้วให้เขาเป็นคนเลือก

เจียงวั่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีความลับที่เขาไม่ควรล่วงรู้บางอย่าง ทำให้เขาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

สำหรับไป๋เหลียน เขาตั้งใจว่าจะรักษาระยะห่างเอาไว้

แต่ไม่คิดเลยว่าเขาไม่ต้องสำรวมท่าทีด้วยซ้ำ ไป๋เหลียนไม่พูดอะไรสักประโยค เย็นชาเสียเหลือเกิน

ถ้อยคำโต้ตอบที่ห่างเหินล้วนจุกอยู่ในท้อง ทว่าเจียงวั่งมีสามเรื่องที่รับปากเอาไว้ จึงทำได้เพียงตามไปก่อนค่อยว่ากัน

ทั้งสองคนออกจากประตูทิศตะวันตก ตรงไปทางแม่น้ำหลิวขจี

ครั้นถึงแม่น้ำหลิวขจี ไป๋เหลียนไม่ได้ขึ้นเรือ แต่เดินเลียบไปตามริมน้ำ

ตอนที่ได้ยินเสียงสายน้ำดังกระหึ่มของแม่น้ำชิง ในที่สุดไป๋เหลียนก็เอ่ยขึ้น

“เรื่องนั้นที่เกิดขึ้นในตำบลเสี่ยวหลิน สาเหตุหลักก็เพราะนครวารีแม่น้ำชิงตรึงกำลังกองทัพประจำเมืองเอาไว้ เว่ยเหยี่ยนกับเจ้าหล่างทำได้เพียงไปจัดคนที่สำนักเต๋าของเมือง สิ้นเปลืองเวลามีค่าไปมากมาย”

ไป๋เหลียนหันหน้ามา จ้องมองสีหน้าของเจียงวั่ง “เช่นนี้เจ้าคิดว่าพวกนครวารีแม่น้ำชิงน่ารังเกียจหรือไม่”

“น่ารังเกียจ” เจียงวั่งตอบ

เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องลังเลอะไรเลย คนที่เข้าร่วมปฏิบัติการในตำบลเสี่ยวหลิน มีใครบ้างที่ในใจไม่โกรธแค้นนครวารีแม่น้ำชิง ก็เหมือนกับที่พวกเขามองมารกลืนจิตใจเป็นศัตรู เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะไปเจรจากับนครวารีแม่น้ำชิงเท่านั้น

ในดวงตาของไป๋เหลียนฉายแววเย็นชา “ไปสังหารเผ่าวารีระบายแค้นเสียหน่อย”

“ตรึงกำลังกองทัพประจำเมืองเป็นความรับผิดชอบของเจ้าแห่งนครวารี เกี่ยวอะไรกับคนเผ่าวารีทั่วไปกัน” เจียงวั่งส่ายศีรษะ “ข้าไม่ทำเรื่องอย่างการสังหารผู้บริสุทธิ์”

จั่วกวงเลี่ยอัจฉริยะฟ้าประทานจากรัฐฉู่ ก่อนจะตายหน้าอารามหวนสัจจะยังไม่ยอมลงมือกับขอทานกลุ่มหนึ่งของรัฐฝ่ายศัตรูเลย

เจียงวั่งถึงแม้พลังยังห่างชั้นอีกหลายขุม แต่ก็ไม่ยอมกลายเป็นคนชั่วร้ายเช่นกัน

“คนข้างบนสั่งคนข้างล่างทำตาม มีผู้บริสุทธิ์ที่ไหนกัน จะบอกว่าเผ่าวารีทั่วไปไม่น่าแค้นอย่างนั้นหรือ”

“เผ่าวารีกับเผ่ามนุษย์มีสัญญากันมานานนม พวกเราช่วยเหลือกันและกันอย่างเท่าเทียม ก็เหมือนกับที่พวกเราทุกคนอยากสังหารมารกลืนจิตใจ แต่ไม่มีใครคิดจะไปสังหารคนที่บ้านเกิดของสยงเวิ่นนั่นละ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่มี” ไป๋เหลียนเอ่ยเสียดสี “บ้านเกิดของสยงเวิ่น ทั้งตำบลถูกสังหารจนหมดแล้ว เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้ามองเห็นเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของโลกหรือ”

เจียงวั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง “คนที่ฆ่าล้างทั้งตำบลของสยงเวิ่น ก็เป็นแค่สยงเวิ่นอีกคนหนึ่งเท่านั้น”

“เจ้าคิดว่าโลกนี้มีเจียงวั่งเยอะกว่าหรือ สยงเวิ่นอาจจะมีมากกว่าก็ได้”

แสงจันทร์สาดลงบนผิวน้ำ ทั้งสองคนเดินหน้าต่อไป แม่น้ำสาขาอย่างแม่น้ำหลิวขจีสายนี้สุดท้ายจะไหลไปรวมกันที่แม่น้ำชิง

“จะว่าไปแล้ว อะไรคือเผ่าวารีกับเผ่ามนุษย์ช่วยเหลือกันและกันอย่างเท่าเทียม” ไป๋เหลียนหัวเราะ ราวกับคิดว่าไม่น่าเชื่อยิ่งนัก “ตอนนี้ยังมีคนเชื่อสนธิสัญญาโบราณนั่นอยู่อีกหรือ”

“ทำไมจึงจะไม่เชื่อล่ะ นับตั้งแต่สมัยโบราณ เผ่ามนุษย์อยู่บนดิน เผ่าวารีอยู่ในน้ำ อยู่กันอย่างสันติมาแต่ไหนแต่ไร”

“นับตั้งแต่โบราณ? เจ้าจะไปรู้ประวัติศาสตร์อะไร”

ไป๋เหลียนในวันนี้ ดูเหมือนทุกประโยคที่พูดออกมาล้วนเสียดสี ไม่ดูแคลนก็ทำร้ายกัน

เจียงวั่งเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ถ้าเจ้ารู้ประวัติศาสตร์อะไรที่ข้าไม่รู้ ก็เล่ามาเถิด”

“จิ๊ๆๆ ไม่อยากสังหารเผ่าวารีก็ไม่ต้องสังหาร จะโกรธเพียงนี้ไปทำไม”

“ข้าไม่ได้โกรธ”

ไป๋เหลียนเขยิบไปทางเจียงวั่งก้าวหนึ่ง เจียงวั่งก็ถอยออกไปเงียบๆ

ไป๋เหลียนหัวเราะ “สังหารหรือไม่สังหารล้วนเป็นการตัดสินใจของตัวเจ้าเอง ข้าไม่เคยบีบบังคับเจ้า ดังนั้นเจ้าจะกลัวอะไร หรือว่าจะกลัว…”

นางสาวเท้าก้าวหนึ่งเข้าประชิดเบื้องหน้าเจียงวั่งเหมือนภูตผี ใช้นิ้วมือแตะเบาๆ ที่หัวใจเขา ก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “…ส่วนลึกในจิตใจของตัวเจ้าเอง”

เจียงวั่งย่นหัวคิ้ว “เลิกอ้อมค้อมไปมาได้แล้ว ข้าติดหนี้เจ้าสามเรื่อง เจ้าคิดจะให้ข้าทำอะไรก็พูดมาเลยเถิด”

“ข้าให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็จะทำสินะ”

เจียงวั่งสำลัก ได้แต่เอ่ยว่า “ข้าไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าวารี”

“ดังนั้นนะ” ไป๋เหลียนหันกายเดินหน้าต่อ “ตอนนี้บอกให้เจ้าทำอะไรนั้นไม่จำเป็น หลังจากเจ้าสังเกตดูแล้วค่อยตัดสินใจแล้วกัน ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่บังคับเจ้า จริงหรือไม่”

แม้จะคลุมชุดคลุมสีดำ ซ้ำยังอยู่ในยามค่ำคืน แต่ก็ยังไม่อาจปกปิดเรือนร่างงามอ่อนช้อยของนางไว้ได้หมด บางครั้งที่บิดตัวก็จะเกิดเป็นภาพทิวทัศน์อันน่าหลงใหล

“ที่นี่แหละ” ไป๋เหลียนดึงมือของเจียงวั่ง ลากเขาเข้าไปในพงหญ้าริมฝั่งแล้วนั่งยองลง

นางวางจานค่ายกลใบหนึ่งลงไป กระตุ้นรากพลังเต๋า จากนั้นจึงยิ้มเอ่ย “ครั้งนี้วางค่ายกลพรางตาจริงๆ แล้ว”

เจียงวั่งรู้ดีว่านางกำลังเย้ยหยันเรื่องที่เกิดขึ้นบนยอดเขาหยกสมดุลครั้งก่อน เขาไม่กล่าวอะไร เพียงจ้องมองผิวน้ำของแม่น้ำชิง

เขาอยากรู้อย่างยิ่งว่าหลังจากนี้จะเห็นอะไร และก็เกิดความฉงนที่ตนเองอธิบายไม่ได้ด้วย

เขาจะได้เห็นอะไรกันนะ

……

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับความสงบที่จะคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ถูกทำลายลง

ริมฝั่งแม่น้ำชิงกว้างขวาง คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดไกลออกไป แสงสีเงินระยิบระยับ

มีร่างหนึ่งแหวกผิวน้ำเดินขึ้นมาบนฝั่ง สวมชุดดำ โพกผ้าดำปิดหน้าตา บนไหล่ของคนผู้นี้แบกกระสอบผ้าใบใหญ่สีดำไว้ใบหนึ่ง แทบจะกลมกลืนไปกับความมืดยามค่ำคืน

กระสอบผ้าดูเหมือนรูปร่างมนุษย์ แต่พอรวมกับเวลาและสถานที่แห่งนี้ เจียงวั่งเข้าใจว่าในกระสอบผ้านั้นน่าจะเป็นเผ่าวารีคนหนึ่ง

เผ่าวารีและเผ่ามนุษย์ ดูจากภายนอกแล้วใกล้เคียงกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทั้งสองเผ่ายอมรับกันและกันมาอย่างยาวนาน

สิ่งที่แตกต่างไปเล็กน้อยคือบนตัวของเผ่าวารีจะมีลักษณะเฉพาะอยู่ อย่างเช่นเกล็ดปลา ครีบปลา หรือกระดองเต่า บนตัวของเผ่าวารีทุกคนมีเอกลักษณ์ของเผ่าวารีไม่มากก็น้อย ของเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่แสดงชัดแต่กำเนิด ไม่มีวันหายไปตลอดกาล

ร่างนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้จนเจียงวั่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่ง เขายืนยันได้ว่านี่คือเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง

เผ่ามนุษย์คนหนึ่งแอบใช้กระสอบผ้าใส่เผ่าวารีคนหนึ่งออกมาจากในแม่น้ำชิงกลางดึก เขาคิดจะทำอะไร นี่มันหมายความว่าอะไร

“เหตุใดเขาทำเช่นนี้” เจียงวั่งพบว่าเสียงของตนเองค่อนข้างสั่น เขาไม่รู้ว่าความกระวนกระวายใจนี้มาจากที่ไหน

“เผ่าวารีก็มีชีพจรเต๋าเด่นชัดแต่กำเนิด ทั้งยังระดับสูงและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าสัตว์ปีศาจ” ไป๋เหลียนเอ่ยขึ้นข้างหูเขา

น้ำเสียงของนางน่าฟัง แต่เนื้อหาที่พูดกลับโหดร้าย “หรือก็คือ ลูกกลอนเปิดชีพจรที่สร้างขึ้นโดยใช้ชีพจรเต๋าจากเผ่าวารีเป็นลูกกลอนเปิดชีพจรที่ดีกว่าและสมบูรณ์แบบยิ่งกว่า”

มือที่กุมกระบี่ของเจียงวั่งกำแน่นขึ้นอีก

เผ่ามนุษย์กับเผ่าวารีอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม นี่เป็นความรู้ทั่วไปที่หยั่งรากอยู่ในก้นบึ้งจิตใจ และก็เป็นความเห็นพ้องต้องกันที่คงอยู่มายาวนานบนแผ่นดินผืนนี้

ตอนที่สถาปนารัฐจวงขึ้นในอดีตก็พึ่งพาการสู้พลีชีพของนครวารีแม่น้ำชิง

จวงเฉิงเฉียนบรรพชนของรัฐจวงทำสนธิสัญญาถาวร จนถึงตอนนี้ยังให้เด็กๆ ท่องสนธิสัญญานี้กันในคาบเรียนอยู่เลย! และยังมีเรื่องที่เผ่ามนุษย์ตกน้ำถูกช่วยไว้โดยเผ่าวารี ในทุกเทศกาล เผ่ามนุษย์ก็มักจะโยนผลหมากรากไม้ลงตามแม่น้ำเจียงเป็นของขวัญ

เผ่ามนุษย์กับเผ่าวารีใกล้ชิดกันเช่นนี้ สนิทสนมกันเพียงนี้ ฝ่ายหนึ่งอยู่บนพื้นดิน อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในผืนน้ำ ไม่เคยมีการแย่งชิงพื้นที่อยู่อาศัยกัน

ในความคิดของเขา การดึงชีพจรเต๋าจากเผ่าวารีไม่แตกต่างอะไรกับการดึงชีพจรเต๋ามาจากเผ่ามนุษย์

แต่การดึงชีพจรเต๋าจากเผ่ามนุษย์สามารถนำมาหลอมลูกกลอนเปิดชีพจรได้หรือ

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทำได้หรือไม่ได้ แค่คิดๆ ดูก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้แล้ว!

……………………………………….