บทที่ 100 ความยุติธรรมใครเป็นผู้กำหนด

ท่องภพสยบหล้า

“นี่คือเรื่องที่สองที่ข้าจะให้เจ้าทำ” ไป๋เหลียนเอ่ยขึ้นเบาๆ “ช่วยเผ่าวารีผู้บริสุทธิ์คนนั้นเสีย”

เสียงของนางเหมือนดังข้างหูเจียงวั่ง และก็เหมือนแทงเข้าไปในจิตใจแล้วสอบเค้นดวงวิญญาณของเขา “ดังนั้นตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร จะปฏิเสธหรือจะทำตามสัญญา”

เจียงวั่งชักกระบี่

เขากระโจนออกจากที่ซ่อนตัว คนกับกระบี่รวมกันกลายเป็นเส้นตรงพุ่งทะลวงอากาศ เพียงพริบตาก็ตรงไปถึงเบื้องหน้าคนชุดดำ

คนชุดดำทำเรื่องเช่นนี้ที่แม่น้ำชิง ย่อมระวังตัวเอาไว้ตลอดเวลา ประสานปางมือรอไว้แล้วเรียบร้อย

โล่คลื่นวารีสายหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้า

เจียงวั่งทำลายด้วยกระบี่เดียว ก่อนจะบุกเข้าไปอีก ไอม่วงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

คนชุดดำทำได้เพียงทุบกระสอบผ้าบนบ่าไปทางเจียงวั่งเพื่อปกป้องตัวเอง

หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อออกกระบี่ที่รุนแรงเช่นนี้ไป เจียงวั่งไม่มีทางยั้งมือไว้ได้อีก

แต่พอได้แลกเปลี่ยนฝีมือกับเจ้าหล่างในช่วงนี้ เขาควบคุมท่าสังหารหมอกมงคลแห่งบูรพาได้ดังใจนานแล้ว

พลังกระบี่สลายไปทันที เจียงวั่งยื่นมือข้างหนึ่งรับกระสอบผ้าไว้จนตัวหมุนอยู่หลายรอบ ในขณะที่สลายพลังก็เตรียมป้องกันคู่ต่อสู้ไปด้วย

ทว่าชายชุดดำคนนั้นฉวยโอกาสนี้หลบหนีไปไกลแล้ว

เขาทำเรื่องเช่นนี้ในแม่น้ำชิง หากถูกทหารวารีแม่น้ำชิงจับได้ก็มีแต่ตายทันที ไม่ว่าใครก็ช่วยเขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าพัวพันต่อสู้ต่อ

เจียงวั่งก็ไม่ได้ไล่ตามไป ใช้กระบี่เปิดกระสอบผ้าออก และเห็นสตรีวารีเผ่าหอยกึ่งเปลือยที่กำลังสลบไสลนางหนึ่งอยู่ด้านใน

ภายนอกทั้งหมดดูเหมือนสาวงามเผ่ามนุษย์ เพียงแต่ที่หน้าอกทั้งสองข้างมีฝาหอยปิดไว้

เจียงวั่งถอดเสื้อคลุมนอกออกมาคลุมตัวนางทันที จากนั้นตรวจดูลมหายใจของนาง เมื่อแน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ทำปางมือ สร้างไอน้ำกลุ่มหนึ่งออกมาปกคลุมบนใบหน้าของหญิงสาวไว้

สตรีเผ่าหอยค่อยๆ ได้สติกลับมา พอเห็นเจียงวั่งก็ตกใจ ครั้นลูบเจอเสื้อผ้าที่คลุมอยู่บนร่างตนเองถึงค่อยวางใจลง

“แม่นางอย่าได้หวาดกลัว” เจียงวั่งเอ่ยเสียงอบอุ่น “คนที่จับตัวท่านมาถูกข้าไล่ไปแล้ว ตอนนี้ท่านกลับไปยังแม่น้ำชิงได้”

สตรีเผ่าหอยคนนี้ใช้มือปิดบนเสื้อผ้า แววตาคล้ายตื่นตกใจคล้ายกลัดกลุ้ม เสียงที่พูดอ่อนนุ่ม “ข้าน้อยชื่อเสี่ยวซวง ขอบังอาจถามท่านผู้มีบุญคุณมีนามว่าอะไรหรือ”

“ชื่อของข้าไม่สำคัญ ข้าแค่อยากให้แม่นางรู้ไว้ว่าเผ่ามนุษย์ไม่ได้มีแต่คนเลว มีคนหมายจะทำร้ายท่าน แต่ก็มีคนที่จะช่วยเหลือท่านเช่นกัน ค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้ แม่นางรีบกลับไปเถิด ที่บ้านจะได้ไม่กังวล”

เผ่าวารีล้วนมีชีพจรเต๋าแต่กำเนิด ไม่ใช่ผู้อ่อนแอที่จะยอมให้ใครสังหารแน่นอน

สตรีเผ่าหอยนามเสี่ยวซวงมองเจียงวั่งอย่างละเอียดผาดหนึ่ง ใช้เสื้อคลุมตนเองไว้ จากนั้นก็กลายร่างเป็นสายน้ำกระโดดลงไปในแม่น้ำชิงอันกว้างใหญ่

“เอาละ สาวงามจากไปไกลแล้ว!” เวลานี้ไป๋เหลียนจึงจะปรากฏตัวเบื้องหน้าเจียงวั่ง ทั้งยังจงใจยื่นมือมาหมุนๆ ตรงหน้าเขา ไม่สนใจว่าเขาจะคิดอะไรอยู่

เจียงวั่งได้สติกลับมา สังเกตเห็นว่ามือของไป๋เหลียนหิ้วคนชุดดำคนหนึ่งไว้

“นี่คือ?” เจียงวั่งขมวดคิ้ว

ดวงตาคู่งามของไป๋เหลียนจ้องเขม็งมาที่เจียงวั่ง ในดวงตามีแววยิ้มเย้าหยอกอยู่ “ข้าต้องบอกเจ้าไว้ กิจการลักพาตัวเผ่าวารีไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มอำนาจธรรมดาจะสามารถทำได้ คืนนี้เจ้าเปิดเผยใบหน้าไปแล้ว ถ้าปล่อยเขาหนีไป กลุ่มอำนาจเบื้องหลังจะสืบตื้นลึกหนาบางของเจ้ามาได้หมดในเวลาไม่ถึงวัน ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่เจ้าที่จะต้องถูกสังหาร กระทั่งพี่น้องเจ้า สหายของเจ้า น้องสาวของเจ้า…”

นางยิ้มพลางโยนคนชุดดำในมือลงกับพื้น “ดังนั้น ตอนนี้เจ้าจะต้องเลือกแล้ว”

แทบจะเป็นตอนเดียวกับที่นางพูดจบ กระบี่ของเจียงวั่งก็ปาดเข้าไปยังจุดตายของคนชุดดำเรียบร้อย

“ข้าไม่มีทางเลือก”

เจียงวั่งเก็บกระบี่เข้าฝัก สีหน้าแข็งกระด้าง “เรื่องที่เจ้าอยากจะบอกข้าไม่ใช่เรื่องนี้หรือ”

“ไม่ใช่” ไป๋เหลียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ข้าอยากบอกเจ้าก็คือ เบื้องหลังของคนผู้นี้คือกรมอาญา คือราชสำนักจวง คือสถานที่ที่เจ้าปรารถนาจะไป!”

นางดูมีความสุขเสียเหลือเกิน ถึงกระทั่งปิดบังความเบิกบานใจในน้ำเสียงเอาไว้ไม่ได้

ส่วนเจียงวั่งสีหน้าดำทะมึน

“ข้าไม่เชื่อ” เขาเอ่ย

“เช่นนั้นเจ้าลองอธิบายดู เป็นพันธมิตรกันมาหลายร้อยปี เหตุใดรัฐจวงกลัวการก่อจลาจลของเผ่าวารีแม่น้ำชิงนักหนา ทำไมแค่ทหารของเผ่าวารีแม่น้ำชิงเคลื่อนไหวเล็กน้อย กองทัพประจำเมืองทั้งเขตปกครองแม่น้ำชิงจึงแทบจะทุ่มกำลังออกไปรับมือ จนกระทั่งมีช่องโหว่ใหญ่ปานนั้น ทำให้เกิดการสังหารหมู่ในตำบลเสี่ยวหลินขึ้นมา”

ไป๋เหลียนพูดต่อว่า “เพราะพวกเขารู้ดีแก่ใจว่ากำลังทำอะไร รู้ชัดว่าถ้าเกิดถูกค้นเจอหลักฐาน เป็นไปได้สูงยิ่งว่านครวารีแม่น้ำชิงอาจจะก่อสงครามใหญ่ขึ้นมาโดยไม่สนใจอะไร!”

เจียงวั่งนิ่งงัน

“รัฐจวงในใจของเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่ แสงสว่าง? ความยิ่งใหญ่? เป็นตัวตนที่เหมือนกับบิดาอย่างนั้นหรือ

เจ้าคิดจริงหรือว่าก่อนจะเกิดเรื่องที่ตำบลเสี่ยวหลิน คนของกรมอาญาทุ่มสุดกำลังเพื่อออกไปล่าสังหารมารกลืนจิตใจ แค่มารกลืนจิตใจคนเดียวควรค่าต้องใช้คนมากขนาดนั้นเลย? กำลังหลักที่แท้จริงล้วน ‘ปกป้อง’ สัตว์ร้ายเหล่านั้นอยู่ต่างหาก…”

เจียงวั่งนิ่งเงียบต่อไปไม่ได้แล้ว เสียงพูดได้ยินไม่ชัดเจน “เจ้าเหมือนเป็นมารร้ายตนหนึ่งนัก ข้ากำลังถูกเจ้าดึงลงเหวลึกไปทีละก้าวๆ”

“อย่ามาโทษข้าเลย ข้าไม่ได้ดึงตัวเจ้า จากยอดเขาหยกสมดุลมาจนถึงที่นี่ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเองทั้งสิ้น ไม่ใช่หรือ”

“เจ้าเข้าใจตัวข้ามาก เจ้าเหมือนให้ทางเลือกแก่ข้า แต่รู้อยู่แล้วว่าข้าไม่มีทางเลือก” เจียงวั่งมองนาง “เจ้าเป็นใครกันแน่ มีเป้าหมายอะไรกันแน่”

“ข้าคือ…” ไป๋เหลียนลดเสียงต่ำ ราวกับกำลังจะให้คำตอบ แต่จู่ๆ ก็หัวเราะอย่างไม่จริงจังแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้อย่างไรเล่า”

“ข้ารู้สึกขอบคุณมากที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ แต่พูดตามจริง ตอนนี้ข้ายอมไม่ถูกช่วยจะดีกว่า” น้ำเสียงของเจียงวั่งฟังดูเจ็บปวดเล็กน้อย นั่นคือความเจ็บปวดเมื่อความศรัทธาพังทลาย เขากำลังทำลายระบบคุณค่าที่ตนเองเคยสร้างทั้งหมด และสร้างแนวทางคุณค่าแบบใหม่ขึ้นจากมัน

ขั้นตอนนี้ช่างแสนทรมาน

“เช่นนั้นใครจะดูแลน้องสาวเจ้าล่ะ”

“เหล่าพี่น้องของข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี”

“เจ้าจะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! บนโลกนี้ไม่มีใครคุ้มครองใครได้แน่นอนหรอก แม้แต่เจ้าก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกพี่น้องร่วมสาบานของเจ้าเลย ฟางเผิงจวี่ตายอย่างไร เจ้าลืมไปแล้วหรือ”

เจียงวั่งกล่าวเสียงขรึม “เจ้าจะใจดำเกินไปแล้ว!”

“อา” ไป๋เหลียนหัวเราะหยันเบาๆ “ข้าก็แค่ไม่ไร้เดียงสา”

“เสร็จเรื่องแล้ว ข้าขอตัวก่อน” เจียงวั่งไม่อยากพูดอะไรต่อ ในด้านคำพูดเขาไม่เคยต่อรองได้เปรียบไป๋เหลียนเลย

“ก่อนที่จะไป เจ้าลองคิดถึงปัญหาอีกข้อดู” ไป๋เหลียนเอ่ยไล่หลังเขา “ถ้าหากการสังเวยคนตำบลเสี่ยวหลินเหล่านั้น เป็นการทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากกว่าที่ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ช่วยเหลือพวกเขาจากสถานการณ์น่าเศร้าอย่างการกลายเป็น ‘อาหาร’ ของสัตว์ร้าย เช่นนั้นพวกเขายังชั่วร้ายอยู่หรือไม่”

ไป๋เหลียนมองแผ่นหลังเขา กำลังรอดูอารมณ์ของเขา เฝ้ารอว่าเขาจะเปลี่ยนหรือไม่ “หรือว่านั่นเป็นความยุติธรรมอีกแบบหนึ่ง”

เจียงวั่งหยุดเท้าลงแล้วหันกลับมาในฉับพลัน! เขาออกแรงกดกระบี่ ผมยาวปลิวสยาย!

“พวกสวะสมควรตายนั่น! ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรมา ไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไร ก็เทียบกับคำว่ายุติธรรมไม่ได้เลย! ไป๋เหลียน ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า แต่ถ้าเจ้าเป็นพวกเดียวกับพวกมัน เจ้าก็จงนำชีวิตนี้กลับไปเสีย!”

เสียงลมและแสงจันทร์เงียบงันไปครู่หนึ่ง

ไป๋เหลียนตกตะลึง ก่อนจะพลันยิ้มเอ่ยด้วยเสียงหวาน “พูดอะไรน่ะ ข้าเป็นพวกเดียวกับเจ้านะ”

“เรื่องบางเรื่องห้ามนำมาล้อเล่น ไป๋เหลียน” เจียงวั่งกล่าวอย่างจริงจัง

“รู้แล้วน่ารู้แล้ว” ไป๋เหลียนพยักหน้าอย่างขอไปที ขณะกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็ส่งฝ่ามือไปทางเจียงวั่ง พลังอันอ่อนโยนผลักเจียงวั่งหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ลอยห่างออกไปไกลกว่าสิบจั้ง

“อย่าหันกลับมา ไป!”

เจียงวั่งที่อยู่กลางอากาศไม่กล้าหันหน้ากลับ

เพราะเขาสัมผัสได้แล้วว่าอานุภาพกดดันอันน่าสะพรึงกลัวมาเยือน ดุจขุนเขาถล่มสายน้ำไหลหลาก

ทว่าถึงแม้เขาจะหันหลังวิ่งห้อ ก็ยังมองเห็นแสงขาวที่สว่างจ้าระเบิดขึ้นในพริบตาทางด้านหลัง

แสงนั้นรุนแรงเหลือประมาณ แสบตายิ่งนัก

ในพริบตานั้นแทบจะทำลายโสตประสาททั้งหมดและบดบังการมองเห็นทั้งหมดไป

แม้จะหันหลังให้ แม้จะมองเห็นเพียงแสงที่ลอดมา ก็ยังลวกดวงตาเสียจนเจ็บแสบ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

……………………………………….