ภาคที่ 2 บทที่ 65 ใยเหมันต์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 65 ใยเหมันต์

ซูเฉินไม่คิดเลยว่ายามที่เขาไล่ตามจางเซิ่งอันมา คนอื่น ๆ ก็ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว

ไม่มีใครคิดหนี แต่ละคนเลือกจะต่อสู้กันทั้งสิ้น

พวกเขาทุกคนอยากต่อสู้โดยใช้กลยุทธ์ของตนเองเพื่อเอาคืนอีกฝ่าย !

เจิ้งเซี่ยและตู้ฉิงสู้กับกวนซานอิง อวิ๋นเป้ากับจงติ่ง หวังโต้วซานกับดาบระมาดเจิ้นขวง

ฟ้าว !

ภาพมายาของกระเรียนหิมะปรากฏขึ้น ส่งหมัดเย็นยะเยือกเข้าใส่เจิ้นขวง

เจิ้นขวงคำรามต่ำออกมา จากนั้นใช้ในมือแทงเข้าใส่ คลื่นพลังปราณบ้าคลั่งทะยานไปด้านหน้า ปะทะกับหมัดนั้นจนแตกกระจาย

หมัดนั้นแตกกระจายออก กลายเป็นสีคล้ายบุปผานานาพันธุ์แล้วโปรยลงพื้น

ฟ้าว !

หอกนริศเสือกเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้มุ่งไปที่อกหวังโต้วซาน

หวังโต้วซานส่งหมัดเข้าสกัด แสงสีขาวดั่งหิมะที่ล้อมกายเขาเปล่งกลิ่นอายน่าตกใจออกมา

หมัดกับหอกปะทะกัน เกิดเป็นพลังสะท้อนออกมารอบทิศ

“ย๊ากกกก !”

จังหวะนั้นเองที่เจิ้นขวงร้องตะโกนออกมา ภาพระมาดปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง เป็นท่วงท่าระมาดยักษ์ที่กำลังก้มหัวลงแล้วพุ่งเข้าใส่ ทำให้หอกดูคล้ายเป็นนอของระมาดตัวนั้นแล้วพุ่งเข้ามา จนเกิดเป็นการโจมตีอันทรงพลังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หมัดของหวังโต้วซานไม่อาจต้านทานไหว ส่งร่างเขากระเด็นไปไกล

หลังส่งร่างหวังโต้วซานลอยไปในการซัดครั้งเดียวได้เช่นนี้ เจิ้นขวงพลันสะบัดหอกตนแล้วหัวร่อออกมา “หวังโต้วซาน 4 ปีที่แล้วเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ตอนนี้ยิ่งเทียบข้าไม่ติด หากคิดสู้ก็คงอยากตายศพไม่สวยกระมัง !”

“หุบปากน่า” หวังโต้วซานสบถแล้วลุกขึ้นมา

เขายกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปาก “ครั้งก่อนเป็นเพราะเจ้าลอบโจมตียามข้าบาดเจ็บ นับว่าเจ้าชนะก็เรียกได้ว่าบัดซบแล้ว”

“แล้วครั้งนี้เล่า ?” เจิ้นขวงตวัดหอกโค้งตรงหน้า ก่อนพุ่งเข้าโจมตีหวังโต้วซาน

“ครั้งนี้ข้าก็จะแยกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ ไง !” หวังโต้วซานพลันเหินร่างขึ้น

จังหวะที่หอกนริศของเจิ้นขวงกำลังจ้วงเข้าใส่หวังโต้วซานนั่นเอง ที่แขนทั้งสองของวังโต้วซานก็เปล่งแสงเรืองออกมา “วิชาแยกเมฆา !”

เจิ้นขวงเงื้อฝ่ามือขึ้นสร้างเกราะสีฟ้าไว้เบื้องหน้า

วิชาแยกเมฆาของหวังโต้วซานปะทะเข้ากับเกราะสีฟ้า ส่งผลให้มันแตกกระจายทันที ส่วนแรงส่งที่เหลือก็ได้กระแทกเจิ้นขวงจนร่างกระเด็นไปไกล

แต่ยามที่ร่างเจิ้นขวงกระเด็นไปกลับปรากฏสีทองเรืองออกมา เพราะถึงแม้ทักษะต้นกำเนิดอันทรงพลังของหวังโต้วซานซัดเจิ้นขวงกระเด็นไปได้ แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้โจมตีจนบาดเจ็บแต่อย่างไร

เจิ้นขวงส่ายหน้า “ไม่เลวนี่ไอ้หนู ช่วงนี้แกร่งขึ้นนี่นา อย่างน้อยก็ทำลายเกราะแสงข้าได้ โชคร้ายที่ตระกูลดาบระมาดไม่คิดใช้เกราะเพื่อต่อสู้เป็นหลัก ร่างกายอันทรงพลังของพวกข้าคือข้อได้เปรียบที่สุดต่างหาก !”

ว่าแล้วก็กระโจนขึ้นแล้วใช้หอกนริศแทงลงมาพร้อมกับแสงสว่างจ้า คลื่นลมทรงพลังซัดเข้ามาพร้อมหอก แค่ลมเพียงอย่างเดียวก็รู้สึกเหมือนคมดาบทิ่มแทงแล้ว

หอกของเจิ้นขวงนับว่าน่าเกรงขามจริง ๆ

มันคือหอกพิโมกข์แห่งตระกูลดาบระมาด !

หวังโต้วซานเหินร่างขึ้น ร่างอวบอ้วนของเขาคล่องแคล่วว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อ ภาพกระเรียนหิมะเบื้องหลังกระพือปีกทะยานขึ้นฟ้า พาร่างหวังโต้วซานลอยขึ้นไปไกล

“จะหนีไปไหน !” เจิ้นขวงร้องขึ้นพร้อมใช้หอกพุ่งโจมตีไล่หลัง

เขาเคลื่อนไหวกายได้ไม่รวดเร็วนัก แต่ความสามารถในการพุ่งเป้าไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งนั้นทรงพลังมาก

เขาเล็งหอกนริศไปด้านหน้าแล้วพุ่งออกไป ผ่านที่ไหนโค่นต้นไม้ล้มคว่ำ ฝูงนกบินแตกฮือขึ้นไปบนอากาศ

หวังโต้วซานกางแขนออกแล้วทำท่ากระพือปีกคล้ายกับเหยี่ยวทะยานฟ้า

เจิ้นขวงยังคงติดตามต่อ เหินร่างแหวกอากาศตามไปไม่ลดละ

ทั้งสองยังคงเคลื่อนกายต่อไป คนหนึ่งไล่อีกคน แลกกระบวนท่ากันนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีฝ่ายได้ได้เปรียบเลย

ทันใดนั้นหวังโต้วซานก็กางแขนทั้งสองออก เหินร่างขึ้น ก่อนทำการซัดวิชาแยกเมฆาออกมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้นั้นกะทันหันมากจนเจิ้นขวงไม่อาจหลบทันการณ์ แต่เขาหาได้สนใจไม่ แสงสีทองเรืองขึ้นจากร่าง สกัดวิชาหวังโต้วซานไว้ได้สำเร็จ แล้วจ้วงหอกนริศในมือออกไปอีกครั้ง

ตูม !

เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น วิชาแยกเมฆาของหวังโต้วซานปะทะกับหอกนริศของเจิ้นขวงและทำลายเกราะเขาจนแตกกระจาย หอกเสือกเข้าแทงแขนซ้ายของหวังโต้วซานได้สำเร็จ

คลื่นพลังรุนแรงส่งเข้ามายังแขนหวังโต้วซาน หักข้อแขนเขาทันใด

หวังโต้วซานเปล่งเสียงร้องเจ็บปวดแล้วร่วงลงกับพื้น เจิ้นขวงยังคงพุ่งเข้ามาต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลยนะ ในเมื่อเรามีเรื่องบาดหมางกันแล้ว ข้าก็ต้องจัดการที่ต้นเหตุ เป็นความผิดเจ้าที่โง่เง่า ยืนกรานจะคลุกคลีอยู่กับพวกไร้สายเลือดนั่น”

พูดจบก็กดหอกนริศลงมา

ในตอนที่มันกำลังจะแทงร่างหวังโต้วซาน อีกฝ่ายก็พลันยกมือขึ้นรับหอก ตอนนั้นปลายหอกห่างจากใบหน้าหวังโต้วซานเพียงไม่เท่าไรเท่านั้น

แต่เจิ้นขวงกลับไม่อาจกดหอกลงไปได้

จังหวะนั้นเองที่คลื่นพลังปราณรุนแรงก่อตัวขึ้นรอบ ๆ แขนทั้งสองของเจิ้นขวงและรอบหอกนริศ

“ย๊ากกกก !”

เจิ้นขวงร้องขึ้น ภาพระมาดตัวยักษ์ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง จากนั้นเขาก็เสือกหอกเข้ามา ส่งร่างหวังโต้วซานกระเด็นไปอีกครา

หวังโต้วซานร่างปะทะต้นไม้หลายต้นก่อนจะร่วงลงกับพื้น ไม่อาจยืนขึ้นได้

ตระกูลดาบระมาดนั้นเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ปะทะด้วยกำลังมาก เก่งกาจทั้งการโจมตีและตั้งรับ อีกทั้งหอกนริศยังทรงพลัง เกราะรบร่างระมาดก็แข็งแกร่ง หวังโต้วซานไม่อาจเอาชนะเขาด้วยการต่อสู้โดยตรงได้เลย

ส่งร่างหวังโต้วซานกระเด็นไปอีกครั้งแล้วเจิ้นขวงก็หัวเราะชอบใจ “ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า !”

หวังโต้วซานถุยเลือดออกมา “ข้ายอมรับว่าเกราะรบร่างระมาดของเจ้าทรงพลังนัก ด้วยสองมือของข้าไม่อาจทำลายมันได้เลย เคราะห์ดีที่ข้าไม่ใช่คนที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า”

“โอ้ ?” เจิ้นขวงชะงักไป

เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหวังโต้วซานใช้เครื่องมือต้นกำเนิดในการต่อสู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเลยว่าอีกฝ่ายไม่เคยต่อสู้มือเปล่า

เจิ้นขวงเอ่ยเสียงหยาม “เช่นนั้นก็เอาเครื่องมือต้นกำเนิดของเจ้าออกมาเสียสิ”

“ข้าใช้มันมานานแล้ว เจ้าไม่สังเกตเอง” หวังโต้วซานตอบเสียงเรียบ

เจิ้นขวงชะงักไป เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาก้มหน้าลง พบว่าที่บาดจุดบนร่างกายกลับมีบาดแผลเล็กอยู่นับไม่ถ้วน

แม้จะเล็ก แต่ก็ดูคล้ายกับถูกบางอย่างบาดมา มันเป็นเส้นสีแดงเล็ก ๆ มีหยาดโลหิตซึมออกมารอบเส้น โดยมีบาดแผลเช่นนี้อยู่ทั่วร่างเขา

เจิ้นขวงพบว่าบนร่างเขามีแต่เลือดหยดเต็มตัว พริบตาเดียวก็ชุ่มเลือดไปทั้งกาย

เขาพลันตื่นตระหนก “เกิดอะไรขึ้น ? มันเกิดอะไรขึ้น ?”

เกราะรบร่างระมาดไร้ประโยชน์ไปในทันใด เขาได้กลายเป็นตาข่ายมนุษย์ไปแล้วเมื่อมีเลือดซึมออกมาตามีรอยแผลเป็นเส้นทั่วร่างเช่นนี้

หวังโต้วซานค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่คนสู้มือเปล่า แต่คนส่วนมากไม่มีโอกาสได้เห็นเครื่องมือต้นกำเนิดของข้า”

จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น ก่อนที่เส้นแสงสีขาวจะแวบออกมาจากร่างเจิ้นขวง

เป็นเส้นแสงที่บางมาก หากไม่ใช่ว่ามันปรากฏขึ้นพร้อมกันก็คงไม่อาจมองเห็นได้เลย

จากนั้นเส้นทั้งหลายก็พากันมารวมอยู่ที่ปลายนิ้วหวังโต้วซาน ก่อร่างเป็นเส้นแสงสีขาว

“นี่มัน……” เจิ้นขวง

“ใยเหมันต์” หวังโต้วซานตอบ “เครื่องมือต้นกำเนิดของข้าสามารถแยกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ นับพันส่วนและกลับมารวมกันได้อีกครั้ง.. แต่มันเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่ ‘เปราะบาง’ นัก หากข้าใช้มันสู้กับเจ้าโดยตรงก็คงแพ้เป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงแฝงมันไว้ในวิชาจากสายเลือด แอบใช้มันอย่างลับ ๆ ทุกครั้งที่เราแลกกระบวนท่ากัน มันก็จะซึมซาบเข้ากายเจ้า จนกระทั่งใกล้จะระเบิดออกมา จริง ๆ แล้วก็สามารถจับสัมผัสได้”

“สำหรับคนที่มีไหวพริบก็จะสังเหตุได้หลังจากแลกกันสักสองสามกระบวนท่าและหาทางรับมือ โชคดี…… ที่เจ้าไม่ใช่คนประเภทนั้น ดาบระมาดเจิ้นขวง เจ้าอาจจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าไม่เคยใช้สมอง มีเพียงความแข็งแกร่งเหนือผู้อื่น ไม่คิดใช้สมองยามต่อสู้เลยสักครั้ง ดังนั้นวันนี้เจ้าจึงต้องตายอยู่ที่นี่”

เจิ้นขวงใจสั่นสะทาน ก้มหน้ามองร่างตนอีกครั้งหนึ่ง

ทันใดนั้น ราวกับเส้นพลังสายสุดสายที่พยุงร่างเขาไว้พลันถูกสะบั้นลง

หวังโต้วซานพูดจบ ร่างของเจิ้นขวงก็สั่นสะท้าน ก่อนจะค่อย ๆ แตกกระจายออก

ถูกต้องแล้ว มันแตกกระจายออกเป็นส่วน ๆ

เขาดูราวกับเป็นกองอิฐกองหนึ่ง ทุกส่วนของร่างถูกเฉือนผ่านเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วค่อย ๆ ร่วงกราวลงมา จากนั้นร่างเขาก็ล้มลงแล้วสิ้นใจในที่สุด

หวังโต้วซานกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนที่สายตาจะเริ่มพร่ามัว

เขาพึมพำออกมา “สังหารเจ้า…… ไม่ง่ายเลย”