ภาคที่ 2 บทที่ 64 การต่อสู้นองเลือด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 64 การต่อสู้นองเลือด

หลังจากส่งร่างตู้ฉิงกระเด็นไปแล้ว อวิ๋นเป้าก็ร่วงหล่นกับพื้น

และยังไม่ทันได้ลงมือก็พลันรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาแล้ว

อวิ๋นเป้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ รีบกระโจนออกด้านข้างทันที

ฟ้าว !

เข็มบางสีแดงเล่มหนึ่งโฉบผ่านหลังเขาไป ทิ้งเส้นสีเลือดเอาไว้เบื้องหลัง รอยแผลนั้นเจ็บปวดราวกับแผลไหม้

อวิ๋นเป้ากระโดดหมุนตัวขึ้นไม่แม้แต่หันไปมอง

แล้วเข็มแดงอีก 3 เล่มก็แล่นฉิวมาอีก

ตรงหน้าพลันปรากฏเงาร่างสีเลือดขึ้น ทิ้งภาพเบื้องหลังไว้เป็นทาง จากนั้นมันก็ส่งหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่อวิ๋นเป้า

คืออสูรโลหิตจงติ่ง

บนใบหน้าอีกฝ่ายระอุไปด้วยไอสังหารเข้มข้น บนมือมีลวดลายสีหมึกแล่นอยู่ทั่ว

ฝ่ามืออสูรทมิฬ

ฝ่ามืออสูรทมิฬของสายเลือดอสูรธารโลหิตเป็นทักษะต้นกำเนิดหนึ่งที่รับมือได้ยาก ปราณชั่วร้ายสีดำที่มันปล่อยออกมาสามารถทะลวงผ่านเกราะหลากหลายและเข้าโจมตีศัตรูได้โดยตรง

ฝ่ามืออสูรทมิฬดูท่าจะโค้นอวิ๋นเป้าลงได้ จงติ่งแทบจะเห็นเส้นเอ็นและกระดูกในนร่างอวิ๋นเป้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ

แต่พริบตานั้นอวิ๋นเป้าก็พลันหมุนตัว มือขวาเปลี่ยนเป็นคล้ายตะขอแล้วพุ่งเข้าใส่ข้อมือจงติ่ง

ฝ่ามืออสรพิษ

หลายปีที่เขาร่อนเร่ อวิ๋นเป้าได้ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ฝึกยุทธ์ท่านหนึ่ง

วิชานี้ไม่นับเป็นทักษะต้นกำเนิดด้วยซ้ำ เป็นเพียงกระบวนท่ายุทธ์หนึ่งเท่านั้น

แต่เมื่อกระบวนท่ายุทธ์ธรรมดาถูกปล่อยออกมาจากมืออวิ๋นเป้า มันกลับทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ

จงติ่งพบว่าฝ่ามือที่ส่งออกไปไม่อาจปะทะร่างอีกฝ่าย และหากยังฝืนดึงดันต่อไปข้อมือต้องหักแน่

เขาไม่คิดอยากแลกกับอวิ๋นเป้า แต่ก็ไม่อยากดึงมือกลับ ส่วนอวิ๋นเป้าก็ยกเข่าขึ้นมา

จากนั้นกระแทกเข้าใส่จงติ่ง

จงติ่งผ่อนลมหายใจออกอย่างเร็วแล้วตวัดมือมารับเข่านั้น เขาถูกบีบให้ถอยไปครึ่งก้าว ยังไม่ทันได้ตกใจอวิ๋นเป้าก็กระโจนเข้ามา หมายจะส่งลูกเตะเข้าที่ก้านคอจงติ่งแล้ว

ลูกเตะนั้นทั้งรวดเร็วและรุนแรง หลังใส่ท่าเข่ามาแล้วก็ตามมาด้วยลูกเตะทันที

จงติ่งร้องเสียงประหลาดออกมาก่อนจะรีบถอยไป

ผัวะ !

ตอนที่กระโดดถอยมาก็พลันรู้สึกเจ็บที่ท้องน้อย

อะไรกัน ?

เป็นไปได้อย่างไร ? มันเตะเขาอีกครั้งตอนไหนกัน ?

จงติ่งจ้องอวิ๋นเป้าอย่างไม่เชื่อสายตาตน

อวิ๋นเป้าพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ฝ่ามือเปลี่ยนเป็นดาบแล้วตวัดผ่านอากาศ เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหู

ทั้งคู่เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่มีการตอบสนองไว อีกทั้งยังฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดที่บ่มเพาะร่าง เสริมความรวดเร็วและการตอบสนองให้ดีขึ้นไปพร้อมกัน ดังนั้นพริบตาเดียวทั้งคู่ก็แลกกว่าสิบกระบวนท่า เคลื่อนกายรวดเร็วมองไม่ทัน

ตึง! ตึง! ตึง!

หมัดหนักของโคลนยักษ์ยังสะบัดไปมาเกิดเป็นเสียงดังสนั่น แต่เมื่อเทียบกับการต่อสู้อันรวดเร็วของทั้งสองแล้วก็ยังอ่อนด้อยกว่ามาก มองมันและมองคนทั้งคู่แล้วก็ได้เพียงข้อเปรียบเทียบว่าทั้งสองรวดเร็วว่องไวมากเพียงไร

ตูม! ตูม!

หลังเสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง ทั้งสองก็แยกจากกัน

จงติ่งร่างกระเด็นลอยไป เมื่อครู่ถูกหมัดหนึ่งที่อก ที่ใบหน้าเห็นรอยเท้าหนึ่งได้ชัดเจน

“ไอ้บัดซบ !” จงติ่งโกรธเกรี้ยวนัก

อวิ๋นเป้ากระโจนเข้ามาอีกคล้ายเสือดาวกระหายเลือดกระโจนเข้าใส่เหยื่อ

“เจ้าคิดว่าเช่นนี้เจ้าจะเอาชนะคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้งั้นหรือ ? ฝันไปเถอะ !” จงติ่งร้องตะโกนขึ้น

เขาเฉือนข้อมือตนเอง เลือดกระฉูดออกมาในพลัน

ทว่าเมื่อเลือดกระฉูดออกมามันกลับไม่หยดลงพื้น แต่กลับกลั่นตัวแน่นกลายเป็นเงาร่างสีเลือดแทน

มันคือร่างแยกโลหิตของจงติ่ง

สายเลือดอสูรธารโลหิตสามารถสร้างร่างแยกโลหิตจากเลือดตนเองได้ อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่ภาพมายา เป็นร่างแยกจริงที่สามารถโจมตีใส่ศัตรูได้ โดยร่างจริงสามารถสลับกับร่างแยกได้ดั่งใจหมาย ทำให้ไม่อาจคาดเดาการเคลื่อนไหวของผู้ใช้วิชาได้เลย นับเป็นทักษะต้นกำเนิดอันดับ 1 ของสายเลือดอสูรธารโลหิต ข้อเสียเดียวคือร่างแยกโลหิตมีรูปร่างสะดุดตามาก แตกต่างจากร่างจริงอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่อาจหลอกตาศัตรูได้ แต่นั่นก็ไม่นับว่าเป็นข้อเสียเท่าไร

หลังสร้างร่างแยกโลหิตขึ้นมาแล้ว ทั้งหมดก็เข้าโจมตีพร้อมกัน

อวิ๋นเป้าเองก็มุ่งหน้าเข้ามาไม่คิดหลบเลี่ยง ส่งหมัดดุร้ายออกมาหมัดหนึ่งโจมตีทั้งจงติ่งและร่างแยกโลหิต น่าแปลกที่เขาดูไม่เสียเปรียบแต่อย่างใด

ทั้งสองแลกอีกสิบกระบวนท่าเร็วปานสายฟ้าแลบ เร็วจนไม่มีเวลาได้คิด พึ่งได้เพียงปฏิกิริยาตอบสนองอันรวดเร็วและการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์เท่านั้น

ทันใดนั้นหลังเสียงปะทะกันจบลง อวิ๋นเป้า จงติ่ง และร่างแยกโลหิตก็แยกออกเป็น 3 ทางอีกครั้ง

อวิ๋นเป้าถูกฝ่ามืออสูรทมิฬเข้าที่อก ส่วนจงติ่งและร่างแยกโลหิตเองก็ถูกหมัดเช่นกัน

อวิ๋นเป้าซวนเซไปเล็กน้อย แต่จงติ่งกลับมีเลือดไหลที่มุมปากแล้ว

“ยังไม่พอหรือ ? งั้นลองนี่อีก !” จงติ่งเอ่ยเสียงขรึม

เขากรีดข้อมือตนอีกครั้ง สายโลหิตพรุ่งพรูออกมาอีกครา ร่างแยกโลหิตอีกร่างถูกสร้างขึ้นในพลัน

“ครั้งนี้จะว่าอย่างไร !” จงติ่งหัวเราะบ้าคลั่งออกมา

ร่างแยกโลหิตสองร่างพุ่งเข้าใส่อวิ๋นเป้าพร้อม ๆ กับจงติ่ง

อวิ๋นเป้ามองเงาร่างสามร่างนิ่ง นัยน์ตาฉายแววกระหายการต่อสู้ ร่ายกายเปล่งกลิ่นอายดุดันออกมา

จงติ่งพุ่งเข้าใส่ หมัดหกหมัดซัดเข้าใส่อวิ๋นเป้าพร้อมกัน

อวิ๋นเป้าแหงนหน้าขึ้นแล้วปล่อยหมัดดุดันออกไปอีกครั้ง

อวิ๋นเป้าสามารถสกัดหมัดทั้งหกจากคนสามคนได้

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้พัวพันอีกตรั้ง ร่างแยกสามร่างของจงติ่งกระโจนเข้าใส่อวิ๋นเป้าไม่หยุด ส่งไปทั้งหมัดทั้งลูกเตะที่เคลือบด้วยพลังต้นกำเนิด ทุกครั้งที่ออกกระบวนท่าทรงพลังนัก อีกทั้งร่างแยกโลหิตหนึ่งยังเปลี่ยนแขนเป็นเข็มอสูรโลหิตแล้วซัดเข็มพิษใส่อวิ๋นเป้าไม่หยุด

อวิ๋นเป้าพลิกร่างกลางอากาศหลบการโจมตีได้โดยตลอด เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ทิ้งภาพเบื้องหลังไว้ สามารถหลบและตอบโต้ทุกการโจมตีของจงติ่งได้ทันท่วงที

การโจมตีของเขาเรียบง่ายและตรงไปตรงมา นอกจากฝ่ามืออสรพิษและดาบอัสนีบาตแล้วก็ไม่มีวิชารุนแรงอะไรอีก แต่การโจมตีเรียบง่ายเช่นนี้กลับทำให้จงติ่งรับมือได้ยากนัก

ดาบอัสนีบาตของซูเฉินนั้นทรงพลังเพราะสามารถสร้างเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นในทุกครั้งที่ฟาดฟันเพื่อหลอกศัตรูได้ สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยของซูเฉินที่ใช้กลยุทธ์ถอยเพื่อรุก วางกับดักอย่างรอบคอบทุกฝีก้าว ทว่าดาบอัสนีบาตของอวิ๋นเป้านั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาไม่คิดให้มันเข้มแข็งกล้าแกร่งดั่งสายฟ้า แต่กลับฝึกฝนมันให้รวดเร็วแทน

ความรวดเร็วเช่นนี้อันตรายมาก เสริมการโจมตีของอวิ๋นเป้าให้ทะลุทะลวงศัตรูได้ดียิ่งขึ้น

ที่ทำเช่นนี้ได้เป็นผลมาจากการฝึกอันขื่นขมยาวนานหลายชั่วยาม ซูเฉินใช้การวิจัยทำให้ตนแกร่งขึ้น ส่วนอวิ๋นเป้าเลือกวิธีเรียบง่าย ซื่อตรง และได้ผลดีแทน

ทุกครั้งที่จงติ่งและกระบวนท่ากับเขานั้นคล้ายกับปะทะเขากับคมดาบแหลม แม้จะต้านไว้ได้ แต่ก็เจ็บปวดร้าวถึงกระดูก

ฝ่ามืออสูรทมิฬของสายเลือดอสูรธารโลหิตควรจะเป็นทักษะต้นกำเนิดที่มีความสามารถในการทะลวงสูงที่สุด แล้วเหตุใดการโจมตีของไอ้เด็กผิวคล้ำผู้นี้จึงสามารถทำได้ดีกว่าเขากัน ?

แล้วความเร็วน่ากลัวนี่มันมาจากที่ใด ?

มีร่างแยกโลหิตตั้งสองร่างแล้ว เหตุใดจึงยังไม่อาจเหนือกว่ามันได้ ?

แล้วเหตุใดการโจมตีของมันจึงยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เลยเล่า ?

ยิ่งจงติ่งประมือกับอีกฝ่ายก็ยิ่งตกตะลึง

ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันอีกครั้ง พากันหลบการโจมตีของเจ้าโคลนยักษ์ เปิดให้จงติ่งฉวยโอกาสนี้กรีดข้อมืออีกครั้งเพื่อสร้างร่างแยกโลหิตร่างที่สามขึ้น

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะสังหารเจ้าไม่ได้ !” จงติ่งพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงตะโกนลั่น

ร่างแยกสามร่างและร่างจริงหนึ่งร่างพุ่งเข้ามา เงาร่างทั้งสี่และหมัดทั้งหมดรวมพลังกันกลายเป็นตาข่ายหมัดซัดออกไป

อวิ๋นเป้ายังคงท่าทีสงบนิ่งไว้

ศัตรูจะมีเพียงหนึ่งหรือมากกว่านั้นเขาไม่ใส่ใจ

อย่างไรการต่อสู้ข้างถนนก็ไม่เคยยุติธรรมอยู่แล้ว มักเป็นกลุ่มคนรุมรังแกคนคนเดียวอยู่เสมอ

ยามเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์นั้น จะร้องขอหรือก่นด่าไม่ช่วยอะไร มีเพียงสู้กลับแบบเอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้นจึงจะมีโอกาสรอด

การต่อสู้ยังต้องใช้กลยุทธ์ ในเมื่อไม่อาจเอาชนะทุกคนได้ เช่นนั้นก็เลือกโจมตีคนที่สำคัญที่สุด

ดังนั้นทุกครั้งที่ถูกกลุ่มคนรังแก เขาจะเลือกโจมตีหัวหน้ากลุ่มเป็นอันดับแรก

ปกติแล้วยามเขาถูกอีกฝ่ายอัดจนเละ หัวโจกของอีกฝ่ายก็เละไม่น้อยไปกว่าเขาเช่นกัน

และเมื่อเวลาผ่านไปจึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาอีก

ต่อมาเขาก็เริ่มเป็นฝ่ายโจมตีกลุ่มอื่น ๆ บ้าง

อวิ๋นเป้าไม่เกรงกลัวใครในถนนที่เขาเติบโตมา

เมื่อจงติ่งพุ่งเข้ามาพร้อมร่างแยกทั้งสาม อวิ๋นเป้าจึงจับตามองเพียงที่ร่างจริงเท่านั้น

ก่อนจะพุ่งเข้าไปแล้วเปลี่ยนวิถีการต่อสู้ในพริบตา

เขาไม่สนใจการโจมตีจากร่างแยกโลหิตอีก แต่กลับซัดหมัดหนึ่งใส่หน้าจงติ่ง

จงติ่งเห็นเพียงหมัดที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เท่านั้น ต่อมาร่างก็กระเด็นลอยไปแล้ว

เจ็บ !

จงติ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายต่อยจมูกเขาจนกระดูกแหลกหมดแล้ว

แม้ร่างแยกโลหิตจะโจมตีใส่อวิ๋นเป้าเช่นเดียวกัน แต่อีกฝ่ายเมินการโจมตีทั้งหมด ยังคงกระโจนเข้าใส่เขาอยู่เรื่อย ๆ

จงติ่งรีบถอยด้วยความตระหนก แต่อวิ๋นเป้าก็ไม่ชักช้าเช่นกัน ส่งหมัดที่เต็มไปด้วยพลังไล่ตามจงติ่งมาติด ๆ

จงติ่งซัดเข็มอสูรโลหิตใส่อวิ๋นเป้า แต่อีกฝ่ายไม่ใส่ใจ ปล่อยให้มันซัดโดนตัว ทั้งยังปล่อยอีกหมัดใส่เขาอีกต่างหาก

“อ๊ากกก !” จงติ่งร้องเสียงเจ็บปวดออกมา

แรงหมัดในครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อนเสียอีก

การที่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ทำให้อวิ๋นเป้าแกร่งน้อยลงแต่อย่างไร กลับทำให้เขาน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เขาปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บเพื่อกระตุ้นกำลัง !

จงติ่งจึงเข้าในพลันว่าทักษะต้นกำเนิดของอวิ๋นเป้า ยิ่งบาดเจ็บยิ่งแข็งแกร่ง

ยิ่งบาดเจ็บเท่าไร ก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น

ไม่แปลกที่อีกฝ่ายไม่คิดหลบทั้งยังเต็มใจถูกโจมตีอีกด้วย

มีแต่คนจิตใจโหดเหี้ยมเท่านั้นที่เต็มใจฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดเช่นนี้

แผลแลกแผล !

ชีวิตแลกชีวิต !

เลือดแลกเลือด !

คือวิถีการต่อสู้ของเขา !

แท้จริงแล้วจงติ่งสามารถสร้างร่างแยกโลหิตได้ถึงสี่ร่าง

แต่เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับศัตรูที่ไม่กลัวบาดเจ็บ มุ่งโจมตีเพียงร่างจริงของเขาแล้ว จงติ่งก็รู้ว่ามีคนมากกว่าก็ไม่ช่วยอะไร

“ไอ้บ้า !” จงติ่งร้องขึ้น เป็นตอนที่อวิ๋นเป้ากระโดดเข้ามาพอดี ก่อนที่ฉับพลันนั้นร่างของจงติ่งจะหายไป

เปลี่ยนเป็นร่างแยกโลหิตแทน

นี่คือวิชาร่างแยกอสูรโลหิตลับ เขาสามารถเปลี่ยนร่างกับร่างแยกโลหิตได้ตามใจปรารถนา แต่ทุกครั้งที่เปลี่ยนก็จะใช้พลังงานจากร่างแยกโลหิต ดังนั้นเขาจึงเลี่ยงไม่ใช้วิธีนี้มาตลอด

แต่ยามพบกับศัตรูคลั่งที่ไม่กลัวการถูกโจมตีทั้งยังอ้าแขนรับ เขาก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา

จากนั้นร่างจริงก็ปรากฏ จงติ่งคิดจะโจมตีอวิ๋นเป้าจากด้านหลัง แต่พริบตาต่อมาอวิ๋นเป้าก็ถอยทั้งที่ไม่ได้หันมามอง ใช้ร่างกระแทกเข้ากับจงติ่งในฉับพลัน

เป็นไปได้อย่างไร ?

จงติ่งเบิกตากว้างด้วยความกลัว

ไม่แปลกที่อวิ๋นเป้าจะรู้ว่าเขาสามารถสลับร่างกับร่างแยกโลหิตได้ เพราะสายเลือดอสูรธารโลหิตก็มีอยู่มายาวนานแล้ว ไม่นับเป็นความลับอะไร

แต่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นร่างแยกโลหิตไหนที่เขาคิดสลับ ?

จงติ่งประหลาดใจนัก มองร่างอวิ๋นเป้าที่กำลังพุ่งเข้ามา ไม่รุนแรงนัก แต่ร่างแกร่งดั่งเหล็กก็กระแทกเข้าใส่จงติ่ง

เมื่อจงติ่งกระเด็นไป เขาก็ได้ยินเสียงซี่โครงตนหัก

ไม่นะ ! เขาร้องลั่นอยู่ภายในใจ

อวิ๋นเป้าเหินร่างขึ้น เลือดหลั่งไหลออกมาจากร่างเป็นสาย

ร่างแยกโลหิตสามร่างนั้นทิ้งรอยกรงเล็บไว้ เฉือนเอาเนื้อเขาออกไปบางส่วน

แต่เขาก็ยังคงต่อสู้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นัยน์ตาจับจ้องเพียงจงติ่งเท่านั้น

จงติ่งเปล่งเสียงร้องประหลาดออกมาอีกครั้ง ฝืนอาการบาดเจ็บเปิดใช้วิชาหลบหนี ไปปรากฏร่างจริงอยู่ที่ร่างแยกโลหิต

ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากร่างแยกโลหิต อวิ๋นเป้าก็อยู่บนอากาศก็พลิกตัวหันมาทางเขาแล้ว

เป็นไปได้อย่างไร ? สัมผัสได้แม้มองไม่เห็น อีกทั้งยังพุ่งเข้าโจมตีร่างแยกโลหิตที่จงติ่งคิดสลับมาอีก

ไม่ดีแล้ว !

จงติ่งรู้ดีว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก จังหวะนั้นเอง เขาทำได้เพียงสั่งให้ร่างแยกโลหิตอีกสองร่างบีบอวิ๋นเป้าให้ถอยไป

ร่างแยกโลหิตทั้งสองเข้าโจมตีอวิ๋นเป้า ตัวหนึ่งซ้าย อีกตัวหนึ่งขวา ตัวหนึ่งซัดเข้าที่หลัง ส่งผลให้เขากระอักเลือดคำหนึ่งออกมา และอีกตัวหนึ่งกลั่นเข็มโลหิตแล้วซัดใส่ร่างอวิ๋นเป้า

อวิ๋นเป้าไม่สนใจ ยังคงมุ่งหน้าต่อไป

ฟ้าว !

จากนั้นใช้แขนจ้วงเข้าร่างจงติ่งดั่งดาบ คลื่นพลังรุนแรงระเบิดอยู่ภายในร่างจงติ่ง ทำลายอวัยวะภายในจนสิ้น

ร่างแยกทั้งสี่หยุดชะงักทันที

“เจ้า…… รู้ได้อย่างไร……ว่าข้าอยู่ตรงไหน ?” จงติ่งถามเสียงสั่น

“สัญชาตญาณ” อวิ๋นเป้าตอบ

นับเป็นเพียงประโยคเดียวที่เขาเอ่ยในการต่อสู้ครั้งนี้

พริบตาต่อมาเขาก็ส่งหมัดเข้าที่ศีรษะของจงติ่ง