“คนที่ป่วยคือพวกผู้ใหญ่นั่นแหละถึงจะถูก” ไป๋จิ่นฟังแล้วก็รู้สึกอินหนัก อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ
เสียเงินซื้ออุปกรณ์เพื่อเอามาทำร้ายลูกตัวเอง นี่ตกลงว่าใครป่วยกันแน่?
“ความคิดบางอย่างของพวกผู้ใหญ่ก็เหลือเกินจริงๆ อย่างเช่น คิดว่าลูกเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเอง บังคับให้ลูกใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการ นี่ไม่ใช่การมีสุขภาพจิตที่ดี”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้คนอื่นๆพากันพยักหน้า
เด็กทุกคนที่มาเกิดบนโลกใบนี้ล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง พวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของใคร การใช้ความรักเป็นข้ออ้างในการทำร้ายมันคือความรักจริงๆหรือการอยากควบคุม เรื่องนี้ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้สนใจเรื่องสภาพแวดล้อมแล้ว เธอแค่อยากพาเพื่อนสนิทเธอออกมา
พวกเธอรีบร้อนจนมาถึงเมืองที่ฉิวฉิวถูกพามาขังไว้ ซึ่งเวลานี้ฟ้าก็มืดแล้ว
ทั้งหมดไม่มีเวลาหาที่พักกินข้าว รีบตรงไปยังบ้านพ่อของฉิวฉิวที่อยู่ชานเมือง
ระหว่างทางที่นั่งรถมาเสี่ยวเชี่ยนได้คิดเอาไว้สองแผน ถ้าทั้งสองแผนล้มเหลวก็ต้องหาวิธีแจ้งตำรวจใช้กำลัง ถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ของพ่อลูกก็จะถูกทำลาย ยากที่จะกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
“เชี่ยนเอ๋อ เธอว่า…ถ้าบอกว่าพี่เป็นแฟนฉิวฉิวพ่อเขาจะเชื่อไหม?” ฟู่กุ้ยเป็นกังวลถึงแผนของเสี่ยวเชี่ยนนิดหน่อย
“นี่เป็นวิธีสุดท้ายแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ต้องรอดูว่าจะหลอกพ่อฉิวฉิวได้หรือเปล่า…หลิวเหมย เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไรเลยพี่สะใภ้ นี่มันเวลาไหนแล้ว ฉันไม่มีเวลาคิดเล็กคิดน้อยหรอก” หลิวเหมยร้อนใจ เธอไม่ถือสาเรื่องแค่นี้หรอก
“งั้นก็ดี ไป๋จิ่นเธอคอยอยู่ประสานด้านนอกนะ หลิวเหมยกับอาข่าถ้าถึงยามคับขันจริงๆก็ลงมือช่วยฉิวฉิวได้เลย พี่ฟู่กุ้ยจำไว้นะ เดี๋ยวเข้าไปพี่ก็บอกว่าพี่เป็นแฟนฉิวฉิว”
ประธานเชี่ยนแบ่งหน้าที่เรียบร้อย ทุกคนพยักหน้า
“แล้วก็ ทางเพื่อนพี่ฟู่กุ้ยเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”
“เมื่อกี้พี่ไปโทรถาม ทางนั้นยอมให้ความร่วมมือกับเรา”
ถึงจะมาทางใต้แต่ฟู่กุ้ยก็มีคนรู้จักอยู่ทางนี้ เขาได้เพื่อนที่เรียนสมัยปริญญาเอกด้วยกันมาช่วย
เสี่ยวเชี่ยนเตรียมพร้อมไว้หลายด้านเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด
ถึงจะมีการเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อทุกคนไปถึงที่หมาย ยืนอยู่หน้าบ้านพ่อของฉิวฉิวก็ถึงกับตกตะลึงกันหมด
ฉิวฉิวไม่เคยบอกว่าพ่อตัวเองทำงานอะไร ทุกคนเห็นเขาขยันขันแข็งทำงานตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเพื่อผ่าตัดแปลงเพศก็คิดว่าฐานะทางบ้านของเขาไม่ค่อยดี
ประธานเชี่ยนเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าฉิวฉิวเคยบอกว่าที่บ้านฐานะปานกลาง แล้วบ้านหลังใหญ่หรูหรานี่มันอะไรกัน
ถึงจะอยู่ชานเมือง แต่บ้านเดี่ยวหลังนี้มีขนาดสี่ชั้น มีสนามหน้าบ้านขนาดใหญ่แถมมีรูปปั้นประดับ ราคาไม่ธรรมดาแน่นอน ดูยังไงก็เป็นบ้านของเศรษฐีชัดๆไหม?
แต่เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมที่ดูหรูหรานี้ สิ่งที่เห็นแล้วน่ากลัวที่สุดก็คือรั้วตาข่ายเหล็กสูงเหนือกำแพง
ฟู่กุ้ยอดที่จะแสดงความในใจออกมาไม่ได้ “ใกล้เทียบเท่าคุกละ”
ประตูเหล็กบานใหญ่หรูหราปิดสนิท มีเสียงหมาเห่าดังมาจากในบ้าน ฟังแล้วยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
เสี่ยวเชี่ยนกดกริ่งที่ประตู ผ่านไปสักพักถึงได้มีเสียงหญิงชราดังขึ้น
“มาหาใคร?”
ช่องที่อยู่บนประตูถูกเปิดออก มีขนาดเท่าหน้าคนพอดี หญิงชราที่ใบหน้ามีแต่ริ้วรอยถาม
“ที่นี่คือบ้านเซียวหมีชิวใช่ไหมคะ? พวกเราเป็นเพื่อนของเขาค่ะ”
“ที่นี่ไม่มีคนๆนี้ รีบไปซะ” หญิงชราพูดด้วยความระมัดระวัง
“คุณยายครับ ผมเป็นเพื่อนของฉิวฉิว เขาขาดการติดต่อกับผม ผมเป็นห่วงเขามาก โทรไปก็ปิดเครื่อง ไม่แน่ว่า…เขา…” ฟู่กุ้ยกัดฟัน แล้วพูดตามบทต่อ “ไม่แน่เขาอาจท้องลูกของผมอยู่”
“อะไรนะ” หญิงชราพอได้ฟังก็ตกใจ
เสี่ยวเชี่ยนรีบเสริมบท “ใช่ค่ะคุณยาย นี่พี่ชายหนูชื่อเลี่ยวหยุนฉาง เป็นแฟนของฉิวฉิว พ่อแม่หนูอายุเยอะแล้วไม่สะดวกมาสู่ขอ พวกเราก็เลยมาแทนค่ะ”
“คือว่า…พวกเธอพูดจริงเหรอ?” หญิงชราลังเล “แต่หลานสาวคนโตของฉันเป็นเก้าอี้รอง[1]เขาชอบผู้หญิงนะ”
เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่มีคนๆนี้ พอพูดว่าเป็นแฟนเข้าหน่อยก็ยอมรับเลยนะ
“เมื่อก่อนเขาอายุน้อยไม่ประสีประสา ต่อมาถึงได้เข้าใจ ผมกับเขารู้จักกันมาหนึ่งเดือนแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเราดีมาก จริงๆนะครับคุณยาย ให้พวกเราเจอเขาหน่อยนะครับ ผมอยากแต่งงานกับเขาจริงๆ”
เห็นฟู่กุ้ยปกติพูดไม่เก่ง เวลาแบบนี้กลับแสดงความสามารถออกมาได้น่าทึ่ง ตอนที่เขาพูดเขานึกถึงหลิวเหมย
“คุณยายคะ พวกเราไม่ทำให้เดือดร้อนหรอกค่ะ ได้โปรดให้หนูเข้าไปเจอเขาหน่อยนะคะ พวกเราคิดถึงเขาจนแทบล้มป่วยกันแล้ว”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้หญิงชราลังเล จริงๆแล้วเธอก็เป็นแค่ญาติที่มาช่วยเฉยๆ พ่อฉิวฉิวไม่อยู่ที่นี่ แม่ฉิวฉิวก็เสียไปหลายปีแล้ว
“งั้นพวกเธอรอตรงนี้เดี๋ยวนะ ฉันขอไปหาเพื่อนบ้านโทรหาพ่อฉิวฉิวก่อน โทรศัพท์ในบ้านถูกตัดสัญญาณหมดแล้ว” หญิงชราพอได้ยินว่ามีคนอยากมาสู่ขอฉิวฉิวก็เริ่มใจอ่อน
“ใช้โทรศัพท์หนูก็ได้ค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้ หญิงชราใช้ไม่เป็น เสี่ยวเชี่ยนจึงกดให้แล้วกดเปิดลำโพง
“ฮัลโหล?”
“น้องสามเหรอ มีคนมาหาบอกว่าเป็นคู่หมั้นของฉิวฉิว อยากมาคุยเรื่องสู่ขอ จะให้เขาเข้าไปไหม?”
“อะไรนะ?” พ่อฉิวฉิวยังไม่เข้าใจ “เขาเอาแต่พูดว่าชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอ พวกคนที่มาช่วยหรือเปล่า?”
“สวัสดีครับคุณลุง ผมชื่อเลี่ยวหยุนฉาง เป็นคนเมืองQ เป็นแฟนกับฉิวฉิวมาได้หนึ่งปีแล้ว ฉิวฉิวคงไม่ได้บอกคุณลุง เพราะเห็นเขาบอกว่ามีปัญหากับคุณลุงอยู่ อันที่จริงตอนนี้ที่ฉิวฉิวบอกว่าตัวเองชอบผู้หญิงก็เพื่อที่จะประชดคุณลุงครับ” ฟู่กุ้ยรีบชิงพูด
“ประชดเหรอ?”
“ครับ เขาเล่าว่าคุณลุงชอบเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิงตั้งแต่เขาเล็กๆ เพราะไม่มีลูกชายก็เลยเลี้ยงดูเขามาแบบผู้ชาย มีครั้งหนึ่งเขาสอบไม่ได้ที่หนึ่งคุณลุงเอาไม้กวาดฟาดเขาจนหัก แล้วก็ยังมี…”
ฟู่กุ้ยพูดเรื่องขัดแย้งระหว่างฉิวฉิวกับพ่อ
เรื่องพวกนี้เสี่ยวเชี่ยนบอกเขาระหว่างทางที่มา
ก่อนหน้านี้ฉิวฉิวคิดฆ่าตัวตาย แต่ก็ได้ประธานเชี่ยนที่ค่อยๆพาเขาออกมาจากความสิ้นหวัง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของฉิวฉิว เวลานี้ทุกคนต้องการช่วยเขาเสี่ยวเชี่ยนเลยต้องเล่าให้ฟัง
ตามคาด พ่อฉิวฉิวใจอ่อน เงียบไปนานคล้ายกับกำลังชั่งใจว่าคำพูดเหล่านั้นจริงหรือเปล่า
“เขาบอกว่ายอมตายดีกว่า ยังไงเขาก็ชอบผู้หญิง ฉันจะรู้ได้ไงว่าพวกนายไม่ใช่คนที่เขาเรียกมาช่วย? ก่อนหน้านี้น้องชายฉันบอกว่ามีคนมาข่มขู่เขาให้บอกที่อยู่ของฉิวฉิว”
“คนที่ขู่เขาเป็นน้องสาวผมเองครับ น้องผมเป็นห่วงกลัวว่าพี่สะใภ้จะเป็นอะไรไป แต่เรื่องเรียกคนมาช่วยนี่เป็นไปไม่ได้แน่นอนครับ คุณยายที่เฝ้าบ้านบอกว่าโทรศัพท์ในบ้านถูกตัดสัญญาณหมดแล้ว แล้วเขาจะใช้โทรศัพท์ได้ไงครับ? ขอร้องล่ะครับคุณลุง ให้ผมเจอฉิวฉิวด้วยเถอะนะครับ ผมอยากมาสู่ขอเขาด้วยใจจริงครับ”
“อยากสู่ขอลูกสาวฉันจริงเหรอ?”
“ครับ”
“งั้นก็กลับไปเอาทะเบียนบ้านมา ขอแค่นายกับลูกสาวฉันไปจดทะเบียนกัน ฉันก็จะให้นายพาตัวเขาไป”
โวะ
ฟู่กุ้ยไม่ได้นึกถึงคำตอบแบบนี้ไว้ เขามองเสี่ยวเชี่ยนด้วยท่าทางน่าสงสาร ควรตอบไงดี?
[1] หมายถึงรักร่วมเพศ