บทที่ 359 สงครามขั้นเด็ดขาดในนครจงตู (2)

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

การที่จะสร้างบ้านเมืองได้นั้นไม่ใช่พึ่งพาความฝันเพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นเลือดเนื้อ เลือดหนึ่งนิ้วหล่อเลี้ยงภูเขาและแม่น้ำหนึ่งนิ้ว ไม่เคยมีความเห็นอกเห็นใจใดๆ เมื่อมีสงครามอยู่ตรงหน้า

กองทัพฉินย้ายตำแหน่งอย่างรวดเร็ว

ถนนทางตอนใต้ของนครจงตูได้ถูกปิดกั้นแล้ว กองทัพเว่ยก็ได้ปรับกำลังภายในให้เหมาะสม

กองกำลังสำรองและกองกำลังหลักของกองทัพฉินพบกันที่คูเมืองของทั้งสองฝั่ง สะพานไม้ถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำในคูเมืองเพิ่มสูงขึ้นทว่าหน้าสะพานไม่ได้จมอยู่ในน้ำ ขณะที่ผู้คนเดินผ่านระดับน้ำก็จะขึ้นมาถึงน่อง หากใช้เป็นเส้นทางการสื่อสารก็ไม่เป็นปัญหา แต่ก็ยากที่จะเป็นเส้นทางให้กองทัพถอยกลับ

เป็นอย่างที่ซ่งชูอีกล่าวจริงๆ ต้องสู้ตายอย่างเดียว หากไม่ชนะก็ต้องตาย!

“กั๋วเว่ย ไม่มีใครหนีไปทางตอนเหนือของนครขอรับ” หัวหน้ากองซือหม่ารายงาน

เบาะนั่งสูงสองนิ้วถูกวางอยู่ที่ริมแม่น้ำ ซ่งชูอีนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น เมื่อได้ยินข่าวก็ยกมุมปากยิ้ม

แม้ว่านางจะมองเห็นกองทัพฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคูเมืองกำลังเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบ แต่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างมีระเบียบ จึงส่งเสียงเรียก “กู่ฉิง!”

“ขอรับ!” กู่ฉิงและทหารยามซ้ายขวาพร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา

“มีข่าวจากทางท่านแม่ทัพใหญ่บ้างหรือไม่?” ซ่งชูอีถาม

กู่ฉิงเอ่ย “คนส่งสารยังไม่กลับมาขอรับ”

บัดนี้เจ้าสู่ราตรีแล้ว มีการจุดคบเพลิงและโคมไฟบนเชิงเทินของนครจงตู กองทัพฉินที่อยู่ใกล้คูเมืองก็ก่อกองไฟขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มหยุดการเผชิญหน้ากันชั่วครู่

ทันทีที่ซ่งชูอีได้รับข้อความกลับมาจากทางซือหม่าชั่วก็แจ้งให้ท่านแม่ทัพอวี๋เตรียมโจมตี

เมื่อกองทัพฉินที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำได้รับข่าวก็เตรียมเครื่องขว้างหินทันที

วู้…

กองทัพเว่ยมองขึ้นออกไปและเห็นว่าทหารฉินมีการเคลื่อนไหวก็รีบส่งสัญญาณให้ทหารรักษาการณ์บนหอคอยให้เตรียมตัวทันที

ผู้ที่บัญชาการการป้องกันนครก็คืออดีตแม่ทัพรักษาการณ์ของจงตู เขาไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับสภาพอากาศและภูมิประเทศของจงตูแต่ยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้อีกด้วย

ยังมีตาข่ายหินตั้งอยู่ทางตะวันออกของนคร กองทัพฉินทำตามวิธีการที่ซ่งชูอีกล่าวก่อนหน้านี้ นำจาระบีละลายครึ่งหนึ่งใส่ลงไปในถุงหนังแกะบางๆ หลังจากมัดไว้กับก้อนหินแล้วก็ยิงเล็งไปบนตาข่าย

ด้วยเสียงกลองสงครามที่ดังขึ้นสามครั้ง ก้อนหินมากกว่าสิบก้อนก็บินเข้าหาหอคอย

หลังจากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียง “ฟิ้ว ฟิ้ว” อย่างต่อเนื่อง จากนั้นกลุ่มของลูกธนูติดไฟก็พุ่งตามหลังก้อนหินไป

ทันทีที่ก้อนหินเพิ่งจะสัมผัสกับตาข่าย กลุ่มลูกศรมากกว่าหนึ่งโหลก็จมอยู่ในถุงหนังแกะแล้ว ด้านนอกมีลูกธนูติดไฟมากมายบินผ่านไป เพียงชั่วอึดใจ ถุงหนังแกะก็ลุกพรึ่บกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ขณะที่มันกลิ้งไปมานั้นจาระบีและเปลวไฟก็ปกคลุมตาข่ายทั้งหมดและลุกไหม้ทันที

ถุงหนังแกะบางส่วนไม่ได้ถูกเผาไหม้ แต่ในขณะที่ก้อนหินตกลงไปบนตาข่ายนั้น จาระบีที่อยู่ด้านในก็ถูกบีบให้กระเด็นออกมาและเปลวไฟบนตาข่ายก็ลามทั่วภายในพริบตา

กำแพงเมืองจงตูกลายเป็นทะเลเพลิงในเวลาอันสั้น

น้ำแต่ละถังถูกเทลงมาจากชั้นบน ต้องการจะดับเปลวไฟ อย่างไรก็ตามพวกเขาตั้งใจใช้ผ้าและหนังร้อยเข้าด้วยกันเป็นตาข่าย สามารถขัดขวางการโจมตีด้วยไฟได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังเพิ่มความยากสำหรับการต่อสู้

ปัง!

หลังจากกองทัพเว่ยมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้วก็เริ่มใช้เครื่องขว้างหินเพื่อทำลายเครื่องขว้างหินของกองทัพฉิน หินก้อนใหญ่สองสามก้อนถูกขว้างลงมาและเครื่องขว้างหินสองเครื่องของกองทัพฉินก็ได้รับความเสียหาย

แม่ทัพอวี๋สั่งให้มือหน้าไม้เพิ่มพลังการโจมตีเหล่าทหารกองทัพเว่ยที่ขว้างหินจากด้านหลัง

ฝนลูกธนูหนาแน่นเต็มท้องฟ้า แน่นอนว่าความเร็วในการขว้างหินของฝ่ายตรงข้ามลดลง กองทัพฉินฉวยโอกาสนี้ขว้างหินต่อไป

เปลวไฟส่วนใหญ่ในถุงตาข่ายได้ดับลงแล้ว แต่ว่าหลังจากถูกเผาและราดด้วยน้ำ ความเหนียวก็ลดลงและขาดออกจากกันทันทีที่สัมผัสกับหิน

หินก้อนใหญ่เริ่มที่จะสามารถทำลายกำแพงได้

แม้ว่ากำแพงทางทิศตะวันออกของเมืองจะไม่ได้แช่น้ำเป็นเวลานานเหมือนทางใต้ แต่มันไม่แห้งและมั่นคงเหมือนก่อนการโจมตีด้วยน้ำ ไม่ว่าก้อนหินจะตกกระทบที่จุดใดก็ต่างกลายป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่

ในขณะเดียวกับเครื่องขว้างหินของกองทัพฉินก็ถูกหินขว้างของกองทัพเว่ยโจมตี เมื่อหินก้อนใหญ่ตกลงมาก็สามารถฆ่านายทหารได้เป็นแถบ อย่างไรก็ตามตราบเท่าที่เครื่องขว้างหินไม่ได้รับความเสียหาย ก็จะมีทหารจากด้านหลังเข้ามาเติมทันที

พวกเขากัดฟันสู้กลับ ในขณะที่เหยียบอยู่บนเลือดและเนื้อของเพื่อนร่วมทาง

กองทัพเว่ยขว้างก้อนหินก้อนใหญ่ออกจากหอคอยอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่มีทหารที่ขว้างหินคนใดในกองทัพฉินถอยกลับเลย แม้ว่าศีรษะจะแตกและมีเลือดไหล ตราบใดที่ยังมีลมหายใจและสามารถเคลื่อนไหวได้ก็จะไม่มีวันหยุด ตอนนี้เวลานี้พวกเขาไม่รู้จักคำว่าหวาดกลัวแล้ว รู้เพียงว่าถึงตายก็ต้องบรรลุภารกิจนี้ให้ได้!

อารมณ์ของคนแพร่ถึงกันได้ หากมีคนหนึ่งหลบหนีก็จะมีคนมากมายทยอยกันหลบหนี แต่ท่าทางที่เด็ดขาดของกองทัพฉินนั้นก็ยังแพร่กระจายไปยังทุกคน

นี่ก็คือคติธรรม!

กองทัพเว่ยรวบรวมกองกำลังส่วนใหญ่ไปทางตะวันออกของนคร สิ่งนี้ทำให้การโจมตีนครของกองทัพฉินยากมากขึ้น

ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ด้านหน้าของหอคอยก็เต็มไปด้วยเลือด ซากศพและเปลวไฟ ท้องฟ้าได้กลายเป็นสีแดงจางๆ กำแพงยังถูกปกคลุมไปด้วยเลือดของทหารของกองทัพเว่ย

ในเวลาเดียวกัน ทางตอนใต้ของนครมีสามคนที่กำลังใช้ประโยชน์จากน้ำท่วม ดำน้ำไปยังประตูเมืองเงียบๆ ในตอนกลางคืน นี่คือจุดบอดของกองทัพเว่ย พวกเขาร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์โดยใช้น้ำเพื่อปกปิดเสียงและเลื่อยเปิดสลักประตูด้านข้างเงียบๆ

การต่อสู้ทางตะวันออกของเมืองดังก้องไปทั่วป่าซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจของกองทัพเว่ยไปไม่น้อย สามคนแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็สามารถเลื่อยเปิดสลักประตูหนักอึ้ง ประตูด้านข้างเปิดเป็นช่องว่างในน้ำ

“มีคนแอบเข้ามาในนคร!” นายทหารบนแท่นสังเกตการณ์ตะโกนเสียงดัง

ทันใดนั้นไฟโดยรอบก็สว่างขึ้นและส่องไปที่เวิ่งเฉิง ร่างของสองคนแรกถูกเปิดเผยอยู่ภายใต้แสงไฟสว่าง

“อย่าเพิ่งยิง! พวกเรามาจากต้าเหลียง!” สองคนนั้นกล่าวเสียงดัง

“เหวไหล! ยิงธนู!” นายพลบนหอคอยออกคำสั่ง ลูกศรก็พุ่งเข้าหาเขา

สองคนนั้นยังไม่ทันกล่าวคำที่สองก็ตกลงไปในน้ำ เลือดเบ่งบานอยู่ในน้ำเหมือนดอกไม้ขนาดใหญ่

กองทัพเว่ยหลายคนถอดชุดเกราะเพื่อลงไปเก็บศพ ชายคนนั้นที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดถือโอกาสลงไปในน้ำ สุ่มคว้าตัวทหารคนหนึ่งแล้วใช้กริชเชือดคอของเขาอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงรีบถอดเสื้อผ้าสีดำผูกรอบคอชายคนดังกล่าวและเตะศพไปทางประตู

ทหารเว่ยที่เหลือลากศพสองร่างขึ้นจากน้ำ คนคนนั้นก็ยังทำหน้าที่ทหารเว่ย ช่วยนำศพขึ้นจากฝั่งและเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นมาจากน้ำ หลังจากรอให้ทุกคนเก็บเสื้อเกราะของตัวเองแล้ว เขาก็หยิบเสื้อเกราะตัวที่เหลือ หลุบตาลงและตามทุกคนไปเช็ดตัวให้แห้ง

ไม่มีใครสังเกตว่ามีการสับเปลี่ยนตัวเกิดขึ้น

ศพทั้งสองถูกนำไปยังกระโจมของหลี่ว์จี้แม่ทัพรักษาการณ์ทางตอนใต้ของนครอย่างรวดเร็ว

“ท่านแม่ทัพ พบจดหมายลับหนึ่งฉบับบนสองศพนี้ขอรับ” ตูเว่ยยื่นกระบอกทองแดงอันหนึ่งให้หลี่ว์จี้

หลี่ว์จี้รับมา ใช้มีดแซะไปรอบๆ ผนึกตรา เมื่อบิดช่องเปิดแล้วก็พบว่ามันเปิดไม่ได้เลย

“จดหมายกระบอกนี้มาจากสำนักม่อ” จ๋างสื่อเอ่ย

“เปิดได้หรือไม่?” หลี่ว์จี้ถาม

จ๋างสื่อรับมาด้วยสองมือ “ข้าน้อยจะลองดู”

ตูเว่ยกล่าวเสริม “สองคนนี้กล่าวว่าตนมาจากต้าเหลียง ท่านแม่ทัพเฉิงเห็นว่าไม่น่าเชื่อถือจึงยิงฆ่าพวกเขาขอรับ!”

จ๋างสื่อที่กำลังสำรวจกระบอกจดหมายเงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดนั้น “ได้โปรดให้อภัยที่ข้าน้อยกล่าวตามตรง สองคนนี้เป็นได้ว่ามาจากต้าเหลียง เนื่องจากอดีตอ๋องจ้งจินซื้อกระบอกจดหมายประเภทนี้มาจากสำนักม่อ ใช้ในกรณีออกคำสั่งลับ สำนักม่อรับปากว่าจะไม่ขายให้กับรัฐอื่นอีก”

“เจ้าจะบอกว่าเป็นไปได้ว่าสองคนนั้นเป็นราชทูตลับที่ท่านอ๋องส่งมาอย่างนั้นรึ?” หลี่ว์จี้ตาเป็นประกาย อดที่จะนั่งหลังตรงไม่ได้

“หากไม่ใช่ท่านอ๋องก็เป็นมหาเสนาบดี!” จ๋างสื่อกล่าว

ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองของรัฐเว่ย คนหนึ่งถูกทหารฉินจับเป็นเชลย คนหนึ่งละทิ้งวังหลวง หลี่ว์จี้ถูกขังอยู่ในจงตู ข่าวสารยังมาไม่ถึง ไม่รู้ว่าบัดนี้มหาเสนาบดีคือสวีจ่างหนิงแล้ว

ภายในกระโจมเงียบลง สายตาเหล่านั้นจับจ้องอยู่ที่กระบอกจดหมายในมือของจ๋างสื่อ

“เปิดได้แล้ว!”