บทที่ 360 สงครามขั้นเด็ดขาดในนครจงตู (3)

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

คำพูดของจ๋างสื่อทำให้ทุกคนต่างตื่นเต้น หลี่ว์จี้รับผืนผ้าไหมสีขาวที่เอาออกมาจากกระบอกจดหมาย คลี่ออกอ่านรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็เย็นชาลง

“พวกเจ้าเอาไปอ่านเถิด!” หลี่ว์จี้โยนจดหมายให้รองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ

รองแม่ทัพเปิดอ่านเนื้อหาข้างในจบก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “สวีจ่างหนิงได้เป็นมหาเสนาบดีแล้ว!”

ทุกคนรีบส่งต่อจดหมายกันอ่าน

นี่คือจดหมายลับที่สวีจ่างหนิงเขียนให้หมิ่นฉือ ให้หมิ่นฉือวางกองทัพของหลี่ว์จี้ไว้แนวหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพฉิน ไม่ว่าสงครามนี้จะแพ้หรือชนะ เขาจะต้องปกป้องชีวิตของหมิ่นฉือไว้ให้ได้

รองแม่ทัพท่านหนึ่งกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพหมิ่นแบ่งคนของเราออกเป็นทางใต้และทางตะวันตกของนคร แต่ไม่ใช่แนวหน้า อีกทั้งตอนนี้สงครามก็เริ่มแล้ว ไม่มีทางปรับเปลี่ยนได้อีก”

หลี่ว์จี้ฟาดหมัดลงบนโต๊ะ กัดฟันเอ่ย “หมิ่นฉือเป็นคนของรัชทายาทองค์ก่อน เมื่อท่านอ๋องยังเป็นองค์ชายยังเคยแสดงไมตรีจิตต่อเขาหลายครั้ง ท่าทีของเขาไม่ชัดเจน แล้วก็มาท้าทายอย่างกะทันหันในตอนท้าย คาดว่าเขาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ท่านอ๋องถูกทำร้ายแน่ ด้วยนิสัยของท่านอ๋องไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด คนต่ำช้าอย่างเขา ใครจะรู้ว่าจะข่มขู่สวีจ่างหนิงเพื่อปกป้องชีวิตของตัวเองหรือเปล่า!”

“นี่อาจจะเป็นแผนของชาวฉินหรือไม่?” จ๋างสื่อคาดเดา

เมื่อหลี่ว์จี้นึกถึงกลุ่มคนของเขาที่ภักดียิ่งยวดแต่กลับถูกองค์ชายซื่อสงสัยก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ โบกมือเอ่ย “ให้ข้าคิดดูก่อน พวกเจ้าออกไปให้หมดเถิด”

คิดไปคิดมาก็ผ่านไปทั้งคืน

***

“ฆ่า!”

เสียงตะโกนฆ่าของกองทัพฉินดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับเสียงฟ้าร้องในวันแห้งแล้งที่ดังกึกก้องทั่วท้องฟ้า

การโจมตีของกองทัพฉินทางตะวันออกของนครยังคงดำเนินต่อไป ขบวนอี่ฟู่ของกองทัพฉินได้มาถึงริมกำแพงเมืองแล้ว พวกเขาเริ่มขุดหลุมในขณะที่ฝนลูกศรของทั้งสองฝ่ายตกลงมาเป็นครั้งคราว

“รายงานขอรับ” ผู้ส่งสารเดินข้ามแม่น้ำ รีบวิ่งไปที่ค่ายทหารสำรองของซ่งชูอีอย่างบ้าคลั่ง

“รายงานขอรับ”

ทันทีที่ซ่งชูอีได้ยินเสียง คิ้วก็ขมวดเข้าหากัน

“ท่านแม่ทัพอวี๋ได้รับบาดเจ็บจากลูกศรพิษหมาป่าของกองทัพเว่ย! ชีวิตอยู่ในอันตราย ท่านแม่ทัพไป๋บังคับบัญชาแทน และสั่งให้ข้าน้อยรีบมาแจ้งกั๋วเว่ยขอรับ!”

ลูกศรพิษหมาป่าเป็นลูกศรที่ยิงออกมาจากเครื่องยิงธนู สามารถยิงทะลุเสื้อเกราะได้ในระยะหนึ่งพันเมตร ตัวลูกศรนั้นบางเท่าหัวแม่มือและหัวลูกศรนั้นมีพิษร้ายแรง ทว่าหน้าไม้แบบนี้บรรจุได้ช้า หากทหารหกคนที่มีความเชี่ยวชาญทำงานร่วมกัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาจึงจะบรรจุธนูและเล็งสำเร็จ มันจึงไม่ได้ถูกใช้งานได้จริงในการต่อสู้ แต่เป็นเพราะพลังอันยิ่งใหญ่ของการยิงครั้งเดียว บ่อยครั้งที่กองทัพเว่ยมักใช้มันในการซุ่มยิงและสังหารแม่ทัพของคู่ต่อสู้รวมถึงนักรบที่เก่งกาจด้วย

ซ่งชูอีเอ่ย “บาดเจ็บตรงไหน?”

“แขนซ้ายขอรับ! ตอนนี้รองแม่ทัพวาดดาบตัดแขนซ้ายของแม่ทัพแล้ว! ความเป็นตายไม่แน่นอน!”

ลูกศรพิษหมาป่านั้นไม่มีทางรักษาให้หาย เมื่อมันเข้าสู่อวัยวะภายในทางเดียวก็คือตายเท่านั้น หากมันทำลายอวัยวะภายนอกก็ควรตัดแขนขาทันทีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของพิษ ทว่าอัตราการตายของคนพิการในสนามรบก็อยู่ที่เก้าในสิบ แขนขาดก็เป็นแค่การดิ้นรนให้ได้หนึ่งหรือสองส่วนของโอกาสการรอดชีวิตเท่านั้น

ซ่งชูอีออกคำสั่งให้หมอผู้มีประสบการณ์ไปรักษาแม่ทัพอวี๋ ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมากอีก เพียงแต่เข้าใจสถานการณ์อย่างละเอียด นางคิดว่าไป๋เชาสามารถเอาชนะได้จึงไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรเพิ่มเติม

ยามฟ้าสาง กลุ่มเมฆมืดครึ้มลอยตัวต่ำอยู่เหนือเมือง ไม่รู้ว่าลมพัดมาเมื่อใด กลิ่นของผมที่ไหม้เกรียมและกลิ่นคาวเลือดปนเปอยู่ในอากาศและโชยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

ค่ายทหารทางทิศใต้ของจงตูรายล้อมไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์ เสียงกลองสงครามและเสียงคำรามจากระยะไกลทำให้สถานที่แห่งนี้น่าหดหู่ยิ่งขึ้น

เนื่องจากจดหมายลับฉบับหนึ่ง แม่ทัพส่วนใหญ่ที่นำโดยหลี่ว์จี้ได้มารวมตัวกันในกระโจมใหญ่

เช้าตรู่ตอนที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม พวกเขาพบศพที่ประตูนครเวิ่งเฉิง สาเหตุการตายไม่เหมือนกับสองคนที่ถูกยิง คนผู้นี้ถูกคนปาดคออย่างแนบเนียน

หลังจากการตรวจสอบแล้ว มีคนจำได้ว่าศพนี้คือคนของพวกเขาเอง!

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตอนนั้นมีคนสามคนที่แอบเข้ามาในนคร เพียงฆ่าไปแค่สองคน ส่วนอีกคนได้ปะปนเข้าไปในนครแล้ว?

“รายงานขอรับ”

ทุกคนมองไปยังประตูกระโจมโดยพร้อมเพรียงกัน หัวหน้ากองซือหม่ารีบรายงาน “ท่านแม่ทัพหลี่ว์ กองทัพฉินโจมตีทางตะวันตกของนครเรา ท่านแม่ทัพหมิ่นต้องการให้ท่านนำสองหมื่นนายไปต้านศัตรูทันที! นี่คือตราพยัคฆ์ขอรับ!”

“ว่าไงนะ!” หลี่ว์จี้ลุกขึ้นพรวด

หัวหน้ากองซือหม่ายื่นครึ่งตราพยัคฆ์ให้กับหลี่ว์จี้ด้วยสองมือ

แม่ทัพหลี่ว์รับตราพยัคฆ์มา เมื่อมั่นใจว่ามันเป็นของจริงก็เอ่ยว่า “เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่ทัพหมิ่นว่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”

กรมเก่าขององค์ชายซื่อมีทหารม้าห้าหมื่นนาย สองหมื่นนายรักษาการณ์ฝั่งตะวันตก สามหมื่นนายรักษาการณ์ฝั่งใต้ ในการเผชิญหน้ากับกองทัพฉินครั้งก่อนมีผู้เสียชีวิตเกือบหนึ่งหมื่นนายในการสู้รบ บัดนี้…

“หรือว่าคนที่หนีไปได้จะเข้าเป็นพวกกับหมิ่นจื๋อห่วนแล้ว!” คนหนึ่งกล่าวด้วยความสงสัย

การเดินทางจากทางใต้ไปทางทิศตะวันออกไม่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งคืน เพียงพอให้หมิ่นฉือควบคุมได้

“แต่หมิ่นจื๋อห่วนไม่น่าจะรู้ว่ากองทัพฉินจะซุ่มโจมตีจากทางตะวันตกของนคร!” หลี่ว์จี้ลังเล

จ๋างสื่อกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่แน่ ข้าน้อยเคยได้ยินว่า ขณะที่อดีตองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ หมิ่นฉือเคยกัดกับสวีจ่างหนิง บอกว่าอีกฝ่ายเป็นไส้ศึกจากรัฐฉิน หากไม่ใช่เพราะอดีตองค์รัชทายาทสงสัยเขาจะสั่งให้เขานำเราได้อย่างไร? ข้าน้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวโคมลอย ถ้าสวีจ่างหนิงเป็นสายลับของรัฐฉิน ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐเว่ย มีเหตุผลที่จะต้องการกำจัดกรมเก่าของเรา และหมิ่นฉือก็อาจจะเป็นสายลับของรัฐฉินเช่นกัน…หากไม่ใช่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะกลับตัวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้! อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้!”

เมื่อคิดอย่างรอบคอบ สวีจ่างหนิงมีข้อบกพร่องมากมายในการกระทำของเขา หลี่ว์จี้รู้สึกสงสัยในตอนแรกเท่านั้น ตอนนี้เขาสามารถยืนยันได้อย่างเต็มที่แล้วว่าเขาเป็นสายลับของรัฐฉิน ดังนั้นสวีจ่างหนิงจึงต้องรีบกำจัดเขา

รองแม่ทัพคนหนึ่งกล่าวขึ้น “เช่นนั้นพวกเราก็อยู่ในอันตรายมิใช่หรือ!”

ทุกคนมองไปที่หลี่ว์จี้อย่างพร้อมเพรียง หวังว่าเขาจะสามารถตัดสินใจ พวกเขาต่างพร้อมที่จะตายในสนามรบแล้ว แต่ว่าไม่มีใครอยากตายเปล่าหรอกนะ!

หลี่ว์จี้รู้สึกกังวลใจ เดินเอามือไพล่หลังไปมาอยู่ในกระโจม

“ท่านแม่ทัพ พวกเราถอนทัพออกมาจากทางตอนเหนือของนครเถิด! พวกเรามีจดหมายลับฉบับนี้อยู่ในมือ จะต้องล้มสวีจ่างหนิงได้แน่! ข้าน้อยไม่เชื่อว่าองค์ชายจะไร้ความปราณี” มีคนแนะนำ

แม้ว่าการหลบหนีทหารมีโทษถึงตาย แต่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ อีกทั้งกฎหมายก็ไม่ได้กล่าวโทษประชาชน พวกเขาไม่เชื่อว่าด้วยสถานการณ์ของรัฐเว่ยในตอนนี้ ใครจะยังมีความกล้าที่จะสับหัวถึงสี่หมื่นคนในบัดดล! อย่างมากก็แค่สับหัวแม่ทัพและรองแม่ทัพ

หลี่ว์จี้มองไปรอบๆ แล้วถอนหายใจ

ทางตะวันออกของนคร

ศพนอนเรียงราย ชุดเกราะสีดำและเลือดสีแดงสด เป็นสีที่น่าเกรงขามที่สุดและสูงส่งที่สุดของรัฐฉิน

กองทัพฉินได้สังหารศัตรูไปจนถึงหัวเมือง หมิ่นฉือนำทหารกองหนุนเข้าร่วมสงคราม สถานการณ์ค่อยๆ พลิกกลับ อย่างไรก็ตามรูปแบบทหารอี่ฟู่ของกองทัพฉินได้แทรกซึมเข้าไปในกำแพงเมืองแล้ว

เชือกในหัวใจของหมิ่นฉือดูเหมือนจะถูกดึงขึงจนแน่น ความขุ่นเคืองในตัวสามารถระบายออกได้ด้วยการแกว่งดาบฆ่าเท่านั้น

ชุดเกราะสีทองแดงถูกปกคลุมไปด้วยชั้นเลือดอีกชั้นจนกลายเป็นสีแดงเข้ม รูปลักษณ์ของเขาในเวลานี้ไม่เหมือนสายลมสดชื่นและจันทราสว่างไสวตามปกติอีกต่อไป ใบหน้ามืดมนมีเหลี่ยมมุมชัดเจน ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ภายใต้หนวดเคราที่ยุ่งเหยิง มือที่กวัดแกว่งดาบสังหารนั้นราวกับเสือที่ดุร้าย

บุคลิกของเขาแพร่กระจายไปยังกองทัพเว่ย ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้น ทั้งยังฆ่ากองทัพฉินที่ปีนขึ้นไปบนหอคอยเกินครึ่ง

เมื่อเห็นว่าใกล้จะบุกเข้าไปในนครได้แล้ว กองทัพฉินก็ทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี

การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อเป็นพิเศษ หมิ่นฉือไม่ได้หลับไม่ได้นอนหนึ่งวันหนึ่งคืนติดต่อกันแล้ว ดวงตาของเขาแทบจะหยดออกมาเป็นสายเลือด ในสมองไม่มีอะไรนอกจากการฆ่า

“ฆ่า!”

เสียงคำรามที่ดังจากชั้นล่างหอคอยทำให้หมิ่นฉือฟื้นคืนสติได้

เขามองไปไกลๆ และเห็นเมฆดำบนท้องฟ้า บนพื้นดินกองทัพเกราะสีดำไหลมาจากทิศตะวันตกเหมือนกระแสน้ำ ความน่าเกรงขามนั้นทำให้คิดไปเองชั่วขณะว่าพื้นดินกำลังสั่นสะเทือน

หมิ่นฉือสูญเสียความคิดของเขาไปชั่วขณะ ลูกศรปักเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาอย่างจัง