บทที่ 209 ข้าอยากอยู่เงียบๆ
บนหน้าจอการถ่ายทอดสด ทุกคนได้เห็นรายชื่อและจำนวนคะแนน รวมถึงระยะเวลาที่ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนใช้ทำข้อสอบ
อันดับที่หนึ่ง หลินเป่ยเฉินได้ 100 คะแนน โดยใช้เวลาทำข้อสอบก้านธูปเดียวเท่านั้น
เด็กหนุ่มยังคงได้คะแนนเต็มต่อไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะอีกแล้ว มีใครคิดจะเดิมพันแข่งกับข้าอีกไหม?” ชายชราในชุดคนรับใช้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
กลุ่มคนที่ยืนอออยู่ด้านนอกบ่อนพนันมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าต้องส่งมอบเหรียญทองมาให้ข้าคนละเหรียญเดี๋ยวนี้” ชายชราคำรามเสียงดัง
เขาได้เงินจากบ่อนพนันทั้งหมด 80 เหรียญทองคำ
และได้จากกลุ่มคนที่พนันเป็นการส่วนตัวอีก 76 เหรียญทองคำ
“หุหุ ข้ารวยแล้วโว้ย” ชายชราหัวเราะร่วน
กลุ่มคนที่อยู่ทั้งด้านในและด้านนอกบ่อนพนันต่างก็ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“หลินเป่ยเฉินฉลาดมากเกินไปแล้ว”
“ได้ 100 คะแนนอีกแล้วงั้นหรือ”
“เขาทำได้อย่างไรกัน?”
“แต่การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ไม่มีทางที่คนเข้าแข่งจะโกงได้แน่ๆ เขาทำได้เพราะความสามารถของตัวเองล้วนๆ”
“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เป็นแบบนี้รับรองเลยว่าวิชาการสร้างค่ายอาคม เขาก็ต้องได้คะแนนเต็มอีกเหมือนเดิม”
“ข้าเชื่อว่าเขาจะทำได้…ข้าจะแทงพนันข้างเขา”
อารมณ์ของนักพนันทั้งหลายสับสนปนเปกันไปหมด
และนั่นก็คือตัวแทนความรู้สึกของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
มีเสียงอุทานด้วยความเหลือเชื่อดังขึ้นในส่วนต่างๆ ของเมือง
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจยามที่จ้องมองตารางคะแนนผลสอบวิชาสมุนไพร
ในขณะที่สถานศึกษากระบี่ที่สาม ก้องกระหึ่มด้วยเสียงตะโกนดีอกดีใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อย่าว่าแต่จะเป็นคณะอาจารย์หรือลูกศิษย์ในสถาบัน แม้แต่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษากระบี่ที่สาม พวกเขาก็ออกมาเฉลิมฉลองกันแล้ว
ตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามสามารถทำผลงานได้ดีในการแข่งขัน ทำให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นรู้สึกภาคภูมิใจไปโดยปริยาย
นี่คือการแข่งขันที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
มีคนอีกจำนวนไม่น้อยสาบานกับตนเองว่าจะไม่มีทางลืมชื่อของเจ้าเศษขยะหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป
…
ณ สถานศึกษากระบี่หลวง
บริเวณหน้าแท่งหินประกาศผลสอบ
กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวมารวมตัวกันอยู่มากมาย
การสอบวิชาที่สองผ่านพ้นไป
หลินเป่ยเฉินยังคงได้อันดับที่หนึ่งเหมือนเคย
การที่เด็กหนุ่มสามารถทำได้ 100 คะแนนเต็ม เป็นเหมือนแรงกดดันที่ทำให้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ รู้สึกหนักใจ
แต่แน่นอนว่าครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่ใช่คนเดียวที่สามารถได้คะแนนเต็ม
ปรากฏว่าเยว่เว่ยหยางและหลิงเฉินก็สามารถทำได้ 100 คะแนนเต็มเช่นกัน
สำหรับเรื่องที่หลิงเฉินสามารถทำข้อสอบได้ 100 คะแนน ไม่นับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
ไม่ใช่เพราะว่านางเป็นบุตรสาวของท่านผู้ว่าการเมือง แต่มันมาจากชื่อเสียงในอดีตของเด็กสาว ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันเล็กใหญ่ขนาดไหน หลิงเฉินถ้าได้เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว นางก็จะเป็นผู้ชนะเสมอ
แต่ผู้ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างแท้จริงก็คือเยว่เว่ยหยาง
นักบวชสาวมาจากวิหารเทพกระบี่ เรียกได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีตัวตน อยู่ดีๆ นางก็เข้าร่วมการแข่งขันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่า กลับสามารถทำคะแนนได้ในระดับเดียวกับหลิงเฉิน ไม่มีผู้ใดจะสามารถแจ้งเกิดสร้างชื่อได้ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามอย่างนี้อีกแล้ว
ดวงตาของผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากจับจ้องไปที่หลินเป่ยเฉิน หลิงเฉินและเยว่เว่ยหยาง
คำถามปรากฏขึ้นในจิตใจของทุกคนว่า…
อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้ง 3 คนนี้ แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขัน?
นอกจากนั้น บรรดาลูกศิษย์อัจฉริยะคนอื่นก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหลินอี้ ซูเสี่ยวหยานหรือเฉาพั่วเถียน ต่างก็ทำข้อสอบได้ถึง 98 คะแนน ครอบครองตำแหน่งอันดับ 2 โดยมีคะแนนน้อยกว่าผู้ที่ได้อันดับ 1 เพียง 2 แต้มเท่านั้น
และผู้ที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับสุดท้าย ก็ยังคงเป็นเจิ้งซูไคจากสถานศึกษากระบี่ที่หก
เด็กสาวร่างบางที่ก่อนหน้านี้กระทำตัวหยาบคาย กลับกลายเป็นเป้าหมายให้คนอื่นดูถูกไปเสียแล้ว
ต่อให้ไม่มีใครเดินเข้ามาพูดเหยียดหยามใส่หน้า แต่สายตาที่ทุกคนจ้องมองนางนั้น ก็ทำให้เด็กสาวไม่สามารถเงยหน้าสบตาผู้ใดได้อีก
“ดูสิ พวกเราสี่คนจะต้องผ่านรอบแรกไม่มีปัญหาแน่”
ฮันปู้ฟู่พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาคืออัจฉริยะหนึ่งเดียวของสถานศึกษากระบี่ที่สาม คณะอาจารย์ต่างก็ฝากความหวังไว้ที่ฮันปู้ฟู่ เด็กหนุ่มจึงเข้าใจว่าเมื่อการแข่งขันจริงๆ มาถึง เขาก็คงต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง คิดไม่ถึงเลยว่ากลับมีสหายคอยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่อีกถึง 3 คนเช่นนี้
ความรู้สึกนี้ทำให้เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมหัวใจพองโตยิ่งนัก
เยว่หงเซียงมองผลสอบ 84 คะแนนของตัวเองด้วยสายตาพึงพอใจ
นางทำข้อสอบเป็นรองฮันปู้ฟู่ซึ่งได้ไป 89 คะแนน ถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ได้คะแนนระดับปานกลาง แต่ก็ยังมากกว่าไป๋ชินหยุนที่ทำข้อสอบได้ 82 คะแนน และถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ทำคะแนนได้ในระดับล่าง
แต่ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังรู้สึกเศร้าใจนักหนา
เขาไม่อยากจะหารเงินรางวัลกับใครเลยสักนิด
ไม่รู้เลยว่าทำไมหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางถึงจะต้องมาทำข้อสอบได้คะแนนเต็มแข่งกับเขาด้วย
สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ต้องหันไปสอบถามหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางเพื่อให้แน่ใจว่า พวกนางยังคงเห็นด้วยกับส่วนแบ่งที่เขาจะได้ 4 เหรียญทอง ส่วนพวกนางจะได้กันคนละ 3 เหรียญทองเหมือนที่คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ
แต่ยิ่งพูดคุยถึงเรื่องนี้ เด็กสาวทั้งสองคนก็อยากจะตบเขาให้ตาสว่างนัก
“คุณหนูหลิงตั้งใจทำข้อสอบวิชาต่อไปให้ดีนะเจ้าคะ หวังว่าท่านคงไม่ทำคะแนนตามหลังข้าก็แล้วกัน”
เยว่เว่ยหยางยิ้มแย้มอ่อนหวานและหันไปพูดท้าทายหลิงเฉิน
หลิงเฉินหมุนตัวเดินตรงไปที่ห้องสอบหลังจากพูดว่า “ต่อให้เจ้าเพิ่งจะเข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรก ข้าก็จะไม่มีทางออมมือให้เด็ดขาด รีบทำคะแนนไล่ตามข้ามาให้ทันก็แล้วกัน ข้าเบื่อนักบวชที่ไม่มีเหตุผลอย่างพวกเจ้าเต็มทีแล้ว”
รอยยิ้มของเยว่เว่ยหยางยิ่งเบิกบานมากขึ้นเมื่อนางได้ยินดังนั้น
ในไม่ช้า การสอบวัดความรู้เรื่องค่ายอาคมก็เริ่มต้นขึ้น
หลินเป่ยเฉินยังคงทำข้อสอบเสร็จเป็นคนแรกในเวลาเพียงก้านธูปเดียวดังเดิม
ข้อสอบวิชาค่ายอาคมมีความยากมากกว่าวิชาสมุนไพร
นอกจากต้องใช้ความรู้แล้ว ยังต้องใช้ความเข้าใจต่อการฝึกวิทยายุทธ์ของผู้ทำข้อสอบอีกด้วย
เพราะฉะนั้น กว่าที่หลิงเฉินจะส่งกระดาษข้อสอบและติดตามหลินเป่ยเฉินออกจากห้องสอบไปเป็นคนที่สอง ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 เค่อเลยทีเดียว
และในจังหวะที่หลิงเฉินเดินไปถึงประตูนั้น เยว่เว่ยหยางก็กำลังจะเดินออกจากห้องสอบเช่นกัน
ดวงตาทั้งสองคู่ของเด็กสาวประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แทบจะมีประกายไฟลุกออกมาจากสายตาของพวกนางแล้ว
หลินเป่ยเฉินนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนขั้นบันไดหน้าห้องสอบ เขายกมือเท้าคาง มองเด็กสาวทั้งสองคนด้วยความเหนื่อยใจ
ทำไมพวกนางต้องหาเรื่องกันด้วยนะ
เฮ้อ
เป็นเพราะเราแท้ๆ
หลินเป่ยเฉินโทษว่าตนเองไม่ควรเกิดมาหล่อเหลาและมีความสามารถมากเกินไป
การตกเป็น ‘ที่หมายปอง’ ของบรรดาสาวงาม ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลยสักนิด
เขาแค่อยากจะอยู่เงียบๆ เท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เป็นใจ
ทำไมชีวิตของเขามันถึงได้น่าเศร้าขนาดนี้
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
การสอบวิชาที่สามก็เสร็จสิ้นลง
นั่นเท่ากับว่า การสอบวัดความรู้ซึ่งเป็นการแข่งขันรอบแรกจบลงแล้ว
ผลสอบยังคงประกาศบนแท่งหินใจกลางลานกว้างเช่นเดิม
หลินเป่ยเฉินได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้ง โดยที่ไม่มีใครแปลกใจอีกแล้ว
และเขาก็ยังทำได้ 100 คะแนนเต็ม
การสอบวิชานี้มีความยากจนทำให้ทุกคนอดวิตกกังวลไม่ได้
แม้แต่เยว่เว่ยหยางกับหลิงเฉินก็ไม่สามารถทำคะแนนเต็มได้อีกต่อไป
ทว่า พวกนางก็ยังทำคะแนนได้เท่ากันคือ 99 คะแนน เช่นเดียวกับเฉาพั่วเถียนซึ่งทำได้ 99 คะแนน และครองตำแหน่งอันดับ 3 ร่วมกัน
ไป๋ชินหยุนทำได้ 78 คะแนน ครองตำแหน่งรองบ๊วย
ฮันปู้ฟู่ทำได้ 86 คะแนน จัดอยู่ในระดับปานกลาง
เยว่หงเซียงยังคงส่งข้อสอบเป็นคนสุดท้าย นางทำคะแนนได้สูงถึง 96 คะแนน เป็นรองก็แต่เพียงหวังซินโหยวกับหมี่โหรวหยานที่ทำได้ 97 คะแนน คังซานเสว่กับซูเสี่ยวหยานที่ทำได้ 98 คะแนนและหลินอี้ที่ทำได้ 98.5 คะแนน…และนั่นก็ส่งผลให้เยว่หงเซียงมีตำแหน่งอยู่ในอันดับที่ 6 !
“โอ้โห ศิษย์น้องเยว่ เจ้ามีความชำนาญเรื่องค่ายอาคมขนาดนี้เลยหรือ?”
ฮันปู้ฟู่พูดด้วยความเหลือเชื่อ
ผลสอบของเด็กสาวทำให้หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนก็ต้องประหลาดใจแล้วเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตัวเองอย่างใช้ความคิด
ที่เขาทำคะแนนได้อันดับหนึ่ง ก็เพราะว่าโกงข้อสอบเอาล้วนๆ
แต่เยว่หงเซียงสามารถทำคะแนนสูงถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
ตอนที่สอบกลางภาค นางยังทำคะแนนได้อยู่ในระดับปานกลางอยู่เลยนี่นา
“เรื่องนี้…ถ้าจะบอกว่าข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน พวกท่านจะเชื่อหรือไม่?”
เยว่หงเซียงมีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้เพื่อนร่วมสถาบันทั้งสามคน
ตอนที่ทำข้อสอบ นางรู้สึกว่าคำถามที่ต้องตอบมันอยู่เหนือระดับความรู้ของตนเอง มีหลายข้อที่นางเลือกคำตอบโดยใช้การเดาล้วนๆ เยว่หงเซียงจึงมั่นใจว่าตนเองไม่มีทางทำได้เกิน 70 คะแนนเด็ดขาด
แล้วเหตุไฉนคะแนนของนางถึงพุ่งขึ้นสูงตั้ง 96 คะแนนได้เล่า
เป็นไปได้หรือที่ทุกคำตอบที่นางเดาจะถูกต้องทั้งหมด?
เยว่หงเซียงไม่เข้าใจจริงๆ
สุดท้ายแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?