บทที่ 210 เป็นพี่น้องกันอย่างนั้นหรือ
การแข่งขันรอบแรกจบลงพร้อมกับปริศนาว่าเยว่หงเซียงสามารถทำคะแนนสูงลิ่วได้อย่างไร
แล้วผลคะแนนสอบโดยรวมก็ถูกประกาศออกมาในวันเดียวกัน
หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้ 300 คะแนนเต็ม ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว และสืบสานตำนานปาฏิหาริย์จากการสอบกลางภาคของสถานศึกษากระบี่ที่สามต่อไป
ในส่วนของหลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยาง ซึ่งเป็นตัวแทนของสถานศึกษากระบี่หลวงและวิหารเทพกระบี่ พวกนางครองตำแหน่งอันดับสองร่วมกันด้วยคะแนน 299 แต้ม
อันดับที่สามตกเป็นของเฉาพั่วเถียน ซึ่งเป็นตัวแทนของสถานศึกษากระบี่ที่หก เขาทำได้ทั้งหมด 296 คะแนน
อันดับที่สี่คือหลินอี้จากสถานศึกษากระบี่หลวง ทำไปได้ทั้งหมด 295.5 คะแนน
อันดับที่ห้าเป็นของตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่ง นางมีนามว่าซูเสี่ยวหยาน ทำได้ทั้งหมด 295 คะแนน ตามมาด้วยศิษย์ร่วมสถาบันแซ่หวัง ที่ทำไปได้ทั้งหมด 291 คะแนน ครอบครองตำแหน่งอันดับที่หกอย่างไร้คู่แข่ง
แต่ลำดับคะแนนที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะมีผลส่วนใหญ่ก็แค่ในบ่อนพนันเท่านั้น
ไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าผู้ที่ทำคะแนนได้น้อยในการสอบรอบนี้ จะไม่สามารถทำได้ดีในรอบต่อไป
แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเท่าไหร่
เพราะการสอบวัดความรู้ จะมีผลต่อคะแนนโดยรวมในการแข่งขันเพียง 20 ส่วนเท่านั้น
แม้ว่าจักรวรรดิเป่ยไห่จะให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาก็จริง แต่สิ่งที่จะตัดสินว่าใครคือมือกระบี่ตัวจริงก็ยังคงวัดกันที่ความสามารถด้านการต่อสู้ และนั่นหมายถึงการทดสอบฝีมือกระบี่ในการแข่งขันรอบต่อไป ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์แล้วว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เพราะโชคช่วยจริงๆ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คะแนนผลสอบที่ได้จากการแข่งขันรอบแรก มีความสำคัญไม่เท่ากับคะแนนที่พวกเขาจะได้รับในการสอบรอบต่อไป
ทุกคนต่างก็อยากจะเป็นผู้ชนะ
บ่อยครั้งมือกระบี่อัจฉริยะที่ชนะการแข่งขัน จะได้รับการบรรจุเข้าเป็นนายทหารระดับสูงในกรมกลาโหม
แต่อย่างไรก็ตาม บางคนก็ไม่สามารถข้ามกำแพงแห่งความรู้ไปได้
เมื่อการสอบรอบแรกจบลง ก็มีมือกระบี่อัจฉริยะ 10 คนที่ต้องตกรอบ นำโดยเจิ้งซูไค เด็กสาวผู้ที่เคยเหยียดหยามเยว่หงเซียงนั่นเอง
เมื่อเห็นรายชื่อของบุคคลที่ตกรอบถูกประกาศออกมา เด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่ในรายชื่อก็พากันร้องไห้ออกมา
ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายเดินไปหาอาจารย์ของตนเอง
ไม่มีใครสงสารผู้ที่ตกรอบ
เพราะความอ่อนแอถือเป็นบาปชนิดหนึ่ง
“การแข่งขันวันนี้จบลงแล้ว”
หลังจากเรียกประชุมผู้ที่ผ่านการเข้ารอบมาพูดคุยกันเล็กน้อย เจ้ากรมกระทรวงศึกษาหลี่สงฟู่ก็เรียกศิษย์อัจฉริยะอย่างหลินเป่ยเฉินขึ้นมารับรางวัลบนเวที
“วันพรุ่งนี้จะเป็นการแข่งขันทักษะด้านการใช้กระบี่ ข้าหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนที่กระทรวงคัดเลือกเข้ามา จะแสดงให้เห็นว่าเมืองหยุนเมิ่งของเราอุดมไปด้วยมือกระบี่อนาคตไกลขนาดไหน…ส่วนตอนนี้ ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันได้”
หลังจากนั้น คณะอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ ก็เดินมาหาลูกศิษย์ของตนเอง
หลิวฉีไห่ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สาม ไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นของตนเองได้อีกแล้ว
เขาไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
ตัวแทนของสถาบันทั้ง 4 คนต่างก็ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
หลินเป่ยเฉินสามารถคว้าตำแหน่งอันดับที่หนึ่ง คะแนนของเขาทำลายสถิติที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เยว่หงเซียงก็ทำคะแนนได้ถึง 277 คะแนน ฮันปู้ฟู่ไม่น้อยหน้าตามมาที่ 272 คะแนน ต่างก็ติดอยู่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน 30 อันดับแรก
น่าสงสารหน่อยก็คือไป๋ชินหยุนที่อยู่ในอันดับ 57 แต่นางเป็นเพียงลูกศิษย์ชั้นปีที่ 1 เท่านั้น และด้วยฝีมือการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เด็กสาวจึงยังมีหวังในการแข่งขันรอบต่อไป
นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้เข้าแข่งขันของสถานศึกษากระบี่ที่สาม สามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ทั้งหมด
“ฮ่าฮ่า พวกเราทำได้ดีมาก อาจารย์ใหญ่ได้จองโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งไว้เลี้ยงฉลองให้พวกเจ้าแล้ว ทุกคนตามข้ามา”
หลิวฉีไห่ไม่สามารถหยุดหัวเราะได้อีกแล้ว
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีคนเดินเข้ามาเรียกชื่อหลินเป่ยเฉิน
ที่แท้ก็เป็นหลินอี้ เด็กหนุ่มอัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง
“ท่านพี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”เขาเดินเข้ามายิ้มแย้มทักทายหลินเป่ยเฉิน
ท่านพี่อย่างนั้นหรือ?
พี่อะไรวะ?
แต่โชคดีที่วันนี้หลินเป่ยเฉินได้เงินรางวัลมา 16 เหรียญทองคำ เขาจึงอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มหันหน้ากลับไปมองหลินอี้แล้วถามกลับไปหน้าตาเฉย “เจ้าเรียกข้าหรือ?”
หลินอี้พูดว่า “ก็ต้องเรียกท่านสิ ท่านพี่หลินเป่ยเฉินจำน้องชายคนนี้ไม่ได้หรืออย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินมีจุดอ่อนอยู่ที่ตรงนี้เอง
ความทรงจำของหลินเป่ยเฉินคนเก่ายังลางเลือน เขาจำได้แต่เพียงบิดากับพี่สาวของตัวเองเท่านั้น
ส่วนญาติคนอื่นๆ ไม่เหลืออยู่ในความทรงจำของเขาเลย
แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นญาติทางฝ่ายไหนของเขากันละเนี่ย
“เจ้าเป็นญาติข้าจริงแน่นะ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
หลินอี้เป็นเด็กหนุ่มหน้าขาว คิ้วเข้ม ร่างกายผอมบาง ดูดีมีสง่าราศี จัดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีหน้าตาดีคนหนึ่ง
แต่ก็ดูธรรมดาเกินไปที่จะเป็นญาติพี่น้องกับเขาจริงๆ
หลากหลายความคิดผุดพราวขึ้นมาในสมองของหลินเป่ยเฉิน
หลินอี้หัวเราะออกมาให้กับคำถามของลูกพี่ลูกน้อง “ดูความสามารถของข้าเสียก่อนสิ ข้าทำคะแนนเป็นอันดับต้นๆ ของการแข่งขัน ย่อมเป็นญาติของท่านอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น สมองของเจ้ามีปัญหาเหมือนข้าหรือเปล่า?”
หลินอี้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนฝืนยิ้มตอบว่า “ท่านพี่คงล้อเล่นแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “หากเจ้าสมองเป็นปกติดี แล้วทำไมถึงยังไม่ถูกนำตัวไปประหารอีก?”
ในวันที่บิดาของเขาถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ญาติพี่น้องทุกคนในตระกูลหลินก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเช่นกัน มีเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่รอดโทษประหารมาได้ ด้วยว่าองค์จักรพรรดิสงสารที่เขาสมองไม่ปกติ เป็นเพียงเศษขยะไร้ความสามารถคนหนึ่ง จึงปล่อยให้เด็กหนุ่มมีชีวิตต่อไปเป็นกรณีพิเศษ
ใบหน้าของหลินอี้กระตุกเล็กน้อย
เขาอธิบายว่า “ความผิดของท่านลุงหนักหนาเกินให้อภัยก็จริง แต่บิดาของข้าทำความดีความชอบให้แก่จักรวรรดิไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้น พวกข้าจึงได้รับการละเว้นโทษประหารชีวิตเช่นกัน แล้วข้าก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เสียดายที่ยังไม่มีโอกาสได้เดินมาทักทายท่านพี่มาก่อน”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองผู้ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยความไม่ไว้ใจ
เด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน
แต่เมื่อเห็นหน้าหลินอี้ เขากลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาชอบกล
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”
หลินเป่ยเฉินเก็บเหรียญทองเข้าใส่กระเป๋า พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “พ่อของเจ้าทำความดีความชอบให้แก่จักรวรรดิคนเดียวหรืออย่างไร พ่อของข้าก็ทำความดีความชอบไว้ไม่น้อยเหมือนกันแหละ คนเรายามมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน คนอื่นเขาโดนประหารชีวิตกันหมด แต่เจ้ากับบิดาเอาตัวรอดอย่างไร้ยางอายนัก ว่าแต่ว่าเจ้ามาหาข้าในครั้งนี้…มีเหตุธุระอันใดหรือ?”
หลินอี้กัดฟันกรอดพยายามข่มอารมณ์ “เราอย่าพูดเรื่องในอดีตกันเลยดีกว่า ที่ข้ามาหาท่านในวันนี้ ก็เพราะท่านพ่อสั่งให้ข้ามาเชิญท่านไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน รบกวนท่านพี่เชิญไปกับข้าด้วยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ว่างขนาดนั้นหรอก”
พูดจบ เขาก็กระโดดขึ้นรถม้าของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
รถม้าแล่นจากไป
หลินอี้กำหมัดแน่น ไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกได้อีกต่อไปแล้ว
“อีกไม่นานเจ้าจะต้องเสียใจ คอยดูเถอะหลินเป่ยเฉิน เจ้าจะต้องคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิตจากข้า ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลินอี้พูดกับตัวเองและยิ้มมุมปาก ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
…
โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง
ที่นี่จัดเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง
อาคารหลังนี้ถูกก่อสร้างขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว เดิมทีมันเป็นที่พักของชาวทะเลยามขึ้นมาบนแผ่นดินใหญ่ ภายหลังเจ้าของในรุ่นต่อมาได้ปรับเปลี่ยนและขยายพื้นที่จนกลายเป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่โตมโหฬารอย่างทุกวันนี้
มันเป็นโรงเตี๊ยมที่มีแขกเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
ความมืดแผ่เข้ามาปกคลุมท้องฟ้ายามราตรี
โคมไฟตามข้างทางถูกจุดขึ้นมาแล้ว
โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งรายล้อมไปด้วยสถานที่ให้ความสำราญมากมาย
ณ ห้องอาหารบนชั้นสาม
“ต้องขออภัยพวกเจ้าด้วย พอดีว่าอาจารย์ใหญ่ติดธุระ ไม่สามารถมาร่วมแสดงความยินดีได้ด้วยตัวเอง แต่ข้าได้รับคำยืนยันมาแล้วว่า ค่ำคืนนี้พวกเจ้าสามารถรับประทานได้เต็มที่ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย”
หลิวฉีไห่ยิ้มแย้มอย่างใจดี
ระหว่างที่พูดอาจารย์ชราก็มีสีหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายเล็กน้อย ทุกคนรู้ดีว่าธุระที่อาจารย์ใหญ่ติดพันอยู่นั้น ก็คือหอนางโลมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมนี้เอง
หลินเป่ยเฉินมองดูรายชื่ออาหารบนแผ่นกระดาษ แล้วก็ต้องตกใจกับราคาของมันที่แสดงอยู่ด้านบน
ที่นี่ขายอาหารจานละ 4 เหรียญทองคำเชียวหรือ?
นี่กะจะปล้นกันเลยหรือไง
“แน่ใจนะขอรับว่าให้พวกข้ากินได้ ไม่มาเก็บเงินกันทีหลังแน่นะ?”
หลินเป่ยเฉินถามให้แน่ใจอีกครั้ง