บทที่ 211 สั่งสอนบทเรียน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 211 สั่งสอนบทเรียน

ในไม่ช้า บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาน่ารับประทาน

กลิ่นอาหารหอมฉุย

แต่ยังไม่ทันที่หลินเป่ยเฉินจะได้หยิบตะเกียบด้วยซ้ำ ประตูห้องอาหารก็เปิดออก

ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินเดินเข้ามา

“โอ้โห ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ข่าวว่าวันนี้อาจารย์ใหญ่ทุ่มทุนสร้างเหมาอาหารในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งไว้เลี้ยงพวกเจ้า แล้วมีหรือที่พวกเราจะพลาดโอกาสที่น้อยครั้งจะมีมาถึงในชีวิตเช่นนี้ได้? ตลอดวันที่ผ่านมา พวกข้าอยู่แต่ในร้านขายอาวุธหัวค้อนเหล็ก ยังไม่ได้รับประทานข้าวเลยแม้แต่คำเดียว ใครก็ได้ช่วยเตรียมชามและตะเกียบให้ข้าที”

ฉู่เหินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี

เดิมทีเขาตั้งใจจะไปเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน เพื่อให้กำลังใจพวกของหลินเป่ยเฉินที่สถานศึกษากระบี่หลวง แต่สุดท้ายก็มาเปลี่ยนใจเพราะว่าหยางเฉินโจวกล่อมให้อยู่ที่ร้านขายอาวุธหัวค้อนเหล็กต่อไป เพื่อปรับปรุงคุณภาพแขนกลให้ดีมากยิ่งขึ้น

บัดนี้ แขนกลฉบับสมบูรณ์ประดับอยู่ที่สองข้างหัวไหล่ของเขาเรียบร้อยแล้ว

แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือห่อหุ้มด้วยแผ่นหนังที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุ ทำให้มีลักษณะเหมือนผิวมนุษย์จริงๆ ทุกประการ ทำให้ถ้าไม่สังเกตมองดูให้ดี ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่านี่คือแขนเทียมที่สร้างขึ้นมาใหม่

ฉู่เหินสามารถควบคุมแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือได้อย่างคล่องแคล่วมากแล้ว ขณะนี้ ถึงกับสามารถควบคุมนิ้วมือหยิบจับตะเกียบคีบอาหารได้ไม่ต่างจากแขนเดิมสักนิดเดียว

พานเว่ยหมินเมื่อยกถ้วยสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก็ต้องระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะยิ้มว่า “พูดก็พูดเถอะนะ ที่เด็กกลุ่มนี้มีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะเราสองคนแท้ๆ นอกจากพวกเราจะคอยสอนวิชาต่างๆ ให้แก่พวกเขาแล้ว เรายังเป็นคนพาไปฝึกพิเศษในป่าชายแดนเหนือ พวกเรายิ่งไม่สมควรพลาดอาหารมื้อนี้เด็ดขาด”

โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งอุดมไปด้วยอาหารที่ไม่สามารถหารับประทานที่อื่นได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่ชอบทำอาหารอย่างอาจารย์พานเว่ยหมินจึงมีความสุขมาก

ไป๋ชินหยุนยกมือกอดอก กวาดสายตามองบรรดาจานอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แล้วสูดดมกลิ่นหอมของพวกมันเข้าจมูก สุดท้ายก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “อาจารย์พานเจ้าคะ ช่วงหลังท่านไปขลุกอยู่กับอาจารย์ฉู่ ดูเหมือนน้ำหนักจะลดไปไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ”

พานเว่ยหมินพูดอะไรไม่ออก ยกมือดีดนิ้วในอากาศ

วูบ!

แล้วเนื้อวัวคลุกงาชิ้นหนึ่งก็ลอยเข้าปากไป๋ชินหยุนอย่างแม่นยำ

“กินไปซะ ไม่ต้องพูดมาก”

พานเว่ยหมินพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

ทุกคนหัวเราะก๊าก

“พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าของดีของโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งคืออะไรบ้าง เดี๋ยวข้าจะสั่งมาเพิ่มเอง” พานเว่ยหมินรับรายการอาหารไปดู มีสีหน้าเหมือนแม่ทัพกำลังวางกลยุทธ์ออกศึก หลังจากคร่ำเคร่งในการคัดเลือกอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดพานเว่ยหมินก็สั่งอาหารชุดใหม่มาอีก 12 จาน

หลิวฉีไห่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ

คราวนี้ ขนหน้าแข้งของอาจารย์ใหญ่ได้มีร่วงกันบ้างล่ะ

“พวกเรามาเริ่มรับประทานกันเลยดีกว่า…”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงพูดด้วยความหิวโหย

อาหารมื้อนี้ผ่านไปด้วยความเอร็ดอร่อยภายใต้บรรยากาศที่คึกคักสนุกสนาน

ยิ่งดึก โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งก็ยิ่งมีชีวิตชีวา

ห้องอาหารบริเวณชั้นหนึ่งและชั้นสองมีลูกค้าหนาแน่น

ในอากาศมีเสียงเครื่องดนตรีบรรเลง และภายใต้ภาวะมึนเมาจากฤทธิ์สุรา รวมถึงความสวยงามยามราตรี ผู้คนที่เข้ามาดื่มกินที่นี่ จึงลืมเลือนความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันไปหมดสิ้น

หลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากห้องอาหารด้านข้างตลอดเวลา

แล้วก็มีเสียงของใครคนหนึ่งที่คุ้นหูเขาเหลือเกินพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกท่านน่าจะได้เห็น วันนี้ตอนที่หลินเป่ยเฉินได้พบหน้าคุณชายเฉา มันนี่ยืนหน้าซีดเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่ามันคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าคุณชายเฉาจะมาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ข้าว่าหลินเป่ยเฉินเกือบจะเป็นลมด้วยความตกใจกลัวไปเลยด้วยซ้ำ!”

หืม?

หลินเป่ยเฉินวางถ้วยสุราในมือลงทันที

น่าสนใจดีนี่นา

ใครกันนะแอบนินทาเขาลับหลัง?

ให้อภัยไม่ได้แล้ว

“เจ้าปากดีคนนี้มันเป็นใครกัน? สงสัยคงดื่มมากเกินไปแล้วกระมัง”

ฉู่เหินเองก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ชายชราวางตะเกียบตบโต๊ะเปรี้ยง ระเบิดเสียงคำรามที่ได้ยินไปถึงห้องด้านข้างชัดเจน

เสียงพูดคุยในห้องด้านข้างเงียบลงทันที

แต่อีกไม่นานต่อมา ก็มีเสียงตะโกนด้วยความเดือดดาลดังตอบกลับว่า “เจ้าเป็นใครคิดว่าจะมาขึ้นเสียงใส่ข้าแบบนี้ได้ง่ายๆ หรือ? รอก่อนเถอะ…”

แล้วเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น

ปัง!

ประตูห้องอาหารถูกผลักเปิดออกอย่างแรง

แล้วทุกคนก็ได้เห็นชายชราร่างอ้วนผิดมนุษย์มนากระโดดดึ๋งๆ ผ่านประตูเข้ามา

นับว่าชายร่างอ้วนดื่มมากเกินไปแล้วจริงๆ เมื่อเขาเข้ามาในห้องอาหาร ก็เริ่มเปิดฉากด่ากราดโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น “เมื่อสักครู่ใครเป็นคนว่าข้าปากดี? จงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้…หืม? หรือว่าเป็นเจ้า?”

ฉู่เหินหัวเราะเยาะตอบกลับไปว่า “เป็นข้าแล้วจะทำไม? ที่แท้ก็เป็นเศษขยะจากสถานศึกษากระบี่ที่หกนี่เอง อาจารย์ชิว ท่านวู่วามเกินไปแล้ว แน่ใจหรือว่าท่านจะสามารถรับมือข้าได้?”

ชายร่างอ้วนผู้นี้ก็คือชิวเทียน หัวหน้าคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่หก

สีหน้าของชิวเทียนแปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน

เมื่อกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ในห้องอาหารห้องนี้ เขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นถึงได้หัวเราะในลำคอและพูดว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเป็นท่านไปเสียได้ หุหุ ได้ยินมาว่าอาจารย์ฉู่พาลูกศิษย์ไปฝึกพิเศษในหุบเขาชายแดนเหนือ แต่กลับมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จนมีเรื่องกับกลุ่มนักล่าอสูรเจ้าถิ่น สุดท้ายท่านก็เกือบตายอยู่ที่นั่น และต้องกลายเป็นคนพิการ แขนด้วนไปทั้งสองข้างแล้วไม่ใช่หรือ?”

ฉู่เหินยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาให้ดู พร้อมกับพูดว่า “อาจารย์หมูอ้วน แขนของข้ายังอยู่ดี หากท่านอยากเข้ามาทดสอบดูก็ย่อมได้”

ชิวเทียนเกลียดนักเวลาที่คนเรียกเขาว่าหมูอ้วน อย่าว่าแต่ผู้ที่พูดออกมาในตอนนี้คือฉู่เหิน แล้วเขาจะทนทานได้อย่างไร?

อาจารย์ร่างอ้วนระเบิดเสียงคำรามออกมาว่า “คนแซ่ฉู่ นั่นก็แค่แขนเปลอมสองข้าง อย่าได้มั่นใจในตัวเองเกินไปนัก เห็นทีข้าคงต้องสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าได้รู้สักหน่อยแล้ว”

พูดจบ ชิวเทียนก็ถลันกายออกมาข้างหน้าและกระแทกฝามือใส่ลำตัวของฉู่เหิน

ถึงภายนอกชิวเทียนจะดูอ้วนมากเกินไป แต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วไม่ธรรมดา

พลังลมปราณพุ่งออกจากฝ่ามือเสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่า

ฉู่เหินยังคงยืนหัวเราะอยู่ที่เดิม แต่เขาก็เตรียมตัวระวังระไวอยู่ตลอดเวลา

ในจังหวะที่พลังลมปราณจะกระทบเข้ามาถึงตัวนั้น ฉู่เหินก็ยกมือขึ้นมาสลายพลังลมปราณได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำ มืออีกข้างหนึ่งของเขายังคว้าจับข้อมือของชิวเทียนได้อย่างแม่นยำอีกด้วย!

กร๊อบ!

ได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก

“อ๊ากกก…”

ชิวเทียนร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด

“มือของข้า…” ชายร่างอ้วนพยายามโคจรพลังลมปราณและดึงมือกลับมา แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ต้องมองหน้าฉู่เหินด้วยความตกตะลึงและละล่ำละลักออกมาว่า “ไม่นะ…มือของเจ้า…มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”

ฉู่เหินยิ้มอย่างเย็นชา

ชิวเทียนรู้สึกเหมือนกับว่าข้อมือของตนเองถูกบีบรัดด้วยคีมเหล็ก แต่สัมผัสที่ได้รับนั้นมันคือมือของมนุษย์ทั่วไปนี่เอง หัวใจของชายร่างอ้วนยิ่งเต้นระทึกมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะกล่าวว่า “เจ้าไปเอาแขนคู่นี้มาจากไหน…ไม่มีแขนปลอมที่ไหนในท้องตลาดจะทำได้เหมือนจริงขนาดนี้ และไม่มีทางที่เจ้าจะควบคุมแขนปลอมพวกนั้นได้อย่างคล่องแคล่วถึงขนาดนี้ แต่เจ้าถูกตัดแขนทิ้งไปแล้วนี่นา มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน…ตกลงแขนของเจ้ามันคืออะไรกันแน่?”

ฉู่เหินเพิ่มแรงกดลงไปบนนิ้วมือทั้งห้า ตอบคำถามด้วยการหัวเราะเยาะ “ถึงบอกไป แต่คนสมองหมูอย่างเจ้าก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี”

กร๊อบ กร๊อบ

ยังคงมีเสียงกระดูกแตกหักดังต่อเนื่อง

“อ๊าก มือของข้า…ฉู่เหิน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชิวเทียนร้องโหยหวนออกมาเสียงดังสนั่น รู้สึกเหมือนกับว่ามือของตนเองกำลังจะถูกบีดรัดจนกระดูกแตกหักหมดแล้ว “เมื่อสักครู่นี้…ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง…”

“แค่ล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของฉู่เหินยิ่งพูดก็ยิ่งมีแต่ความเย็นชา “เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าแขนขาดแต่ก็ยังโจมตีใส่ข้า เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีเจตนาทำให้ข้าอับอายขายหน้า แล้วเจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าแค่ล้อเล่นอีกหรือ? ชิวเทียน เจ้ามันชั่วช้าเกินไปแล้ว เอาลูกศิษย์ของข้าไปนินทาลับหลังยังไม่พอ เจ้าถึงกับกล้ามาดูถูกข้าต่อหน้าต่อตา เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์สอนผู้คนอีกได้อย่างไร? วันนี้ล่ะ ข้าจะใช้มือทั้งสองข้างของข้าสั่งสอนเจ้าเอง!”

พูดจบ

กร๊อบ!

เสียงกระดูกนิ้วมือข้างขวาของชิวเทียนก็แตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี

เลือดไหลทะลักออกมา

ฉู่เหินปล่อยมือแล้ว

“อ๊าก…คนแซ่ฉู่ เจ้าทำมือข้าหัก…ความแค้นครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ อ๊าก…”

ชิวเทียนส่งเสียงร้องโหยหวนในขณะที่จ้องมองนิ้วมือทั้งห้างอหงิกผิดรูปผิดร่าง

เสียงร้องของเขาทำให้ผู้คนในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งแตกตื่นกันไปหมด

พลัน เฉาพั่วเถียนเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้องอาหารเป็นคนสุดท้ายขณะพูดว่า “คนแซ่ฉู่ เจ้าทำรุนแรงเกินไปแล้ว วันนี้ถ้าเจ้าไม่มอบคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมาล่ะก็ ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”