ตอนที่ 134 ร่วมเรียงเคียงหมอน (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ไม่ นางไม่เคยคิดจะแช่ตัวร่วมกับไอ้โรคจิตนี่

 

 

โดยเฉพาะนางที่เคยมี ‘วาสนา’ ได้ลิ้มชิมสุราแช่อ่างของอีกฝ่ายมาแล้ว!

 

 

ไม่ผิด ตอนอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน นางเคยกินน้ำอาบของไป๋หลี่ชูเป็นครั้งแรก บัดนี้นางพบว่าอย่างน้อยก็ดื่มไปหลายครั้ง นึกถึงหลงจู๊ที่เคยพยายามยับยั้งมิให้นางดื่มสุราอยู่หลายครั้ง นางยังหลงเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายตระหนี่ขี้เหนียว และนางจะดื่มให้ได้ บัดนี้จึงรู้ว่าที่แท้เป็นน้ำอาบของไป๋หลี่ชู ชิวเยี่ยไป๋ไม่รู้จะโทษใคร แค้นนักที่ตนเองรักตัวกลัวตาย มิอาจเชือดคอให้รู้แล้วรู้รอด!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่อยากจะบีบคอไป๋หลี่ชูที่กอดตนอยู่ให้ตายคามือ เพราะนั่นอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์เลวร้ายสุดจะคาดคิด นางจึงกำหมัดกัดฟันกล่าวว่า “ฝ่าบาท สุรานี้นำไปขายด้วยนะ ท่านไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรือ เป็นเจ้าของทั้งทียังเอาสุราเช่นนี้ไปขายลูกค้าด้วย!”

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ สีหน้าเย็นชา “มิใช่ข้าอยากขาย แต่ไอ้พวกโง่เง่าได้กลิ่นแล้วอยากกินเอง อีเซิงไม่ยอมขายยังอุตส่าห์หาเรื่องบีบบังคับด้วย ดังนั้นข้าเลยเปิดโอกาสให้พวกเขาดื่มให้หนำใจ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ “…”

 

 

อีเซิงคือชื่อของหลงจู๊เหลาสุรา

 

 

ดูเหมือนตอนแรกนางก็เป็นคนหนึ่งที่บังคับให้อีเซิงขายสุราให้

 

 

ต้องโทษตัวเองที่อยู่ดีไม่ว่าดีใช่หรือไม่

 

 

ไป๋หลี่ชูพลันเอียงหน้ามองแววพิกลบนใบหน้าของชิวเยี่ยไป๋ คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “ทำไม เสี่ยวไป๋เคยดื่มสุราเหมยมรกตของข้าหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หันหน้าทำทีชมจันทร์ กล่าวเนือยๆ ว่า “ฝ่าบาท คืนนี้แสงจันทร์งามเป็นพิเศษ แต่ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะชมจันทร์เพราะหิวแล้ว ในเมื่อท่านเป็นเจ้าของที่นี่ คงไม่ตระหนี่ที่จะเลี้ยงข้าวข้าสักมื้อกระมัง”

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นแววตาแค้นเคืองที่พยายามซ่อนไว้ จึงลูบหลังนางเบาๆ แล้วรื้อฟื้นเรื่องเดิมว่า “เสี่ยวไป๋ ข้าเคยคิดว่าคำว่าบุพเพสันนิวาสเหมาะกับพวกหญิงชายที่โง่เขลาเท่านั้น บัดนี้จึงเข้าใจเพราะมีบุพเพต่อกัน เจ้าที่อยู่ห่างเป็นพันลี้อุตส่าห์มาดื่มสุราของข้า และได้ชมจันทร์ร่วมกัน สมแล้วที่เราจะครองคู่กันตลอดไป”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ก้มหน้าเงียบงันคล้ายเอียงอาย แต่ในใจคำรามเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง บ้าบอคอแตก บุพเพเฮงซวย บุพเพบ้าบอนะสิ!

 

 

ชาติก่อนนางเคยทำบาปอะไรหนอ ถึงได้มาพบกับไอ้เทพอสูรจิตวิปริตที่น่าฆ่าให้ตายสักพันรอบผู้นี้

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นคนในอ้อมกอดก้มหน้าลง เผยเพียงใบหูที่งดงามและด้านข้างของใบหน้าขาวผ่อง พลันรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดชวนให้เกิดความรู้สึก พริบตานั้นดวงตาก็หรี่ลงแววตาลึกคล้ำ ปล่อยกลิ่นหอมเย้ายวนออกจากกายอย่างช้าๆ เวลาเดียวกันก็แนบริมฝีปากกับใบหูของนาง รู้สึกร่างในอ้อมอกสะดุ้งน้อยๆ ริมฝีปากของเขาจึงเลื่อนลงช้าๆ “เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋ ใต้เงาบุปผาแลแสงจันทร์ เจ้ากับข้าน่าจะร่วมผสม…”

 

 

คำว่า ‘พันธุ์’ ยังไม่ทันหลุดจากปาก เขาพลันตัวแข็ง ม่านตาเป็นแนวตั้ง ฉายประกายเย็นเยียบดุจสัตว์ป่า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกถึงกลิ่นหอมพิกลก็นึกเตือนตนเองในใจ ขณะกำลังจะหาทางเอาตัวรอด พลันรู้สึกเสียวปลาบที่ติ่งหู ราวกับถูกสัตว์ร้ายขบจนจมเขี้ยว

 

 

“เจ้า…ทำอะไร” นางดิ้นรนอย่างโกรธเคือง กลับได้ยินเสียงทุ้มต่ำพร่ำเพ้ออยู่ริมหู เสียงยะเยือกทั้งตัว “ในอกเจ้ามีกลิ่นประหลาด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ประหลาดใจ กล่าวอย่างแง่งอนว่า “กลิ่นอะไรถึงทำให้เจ้ากัดคน…!”

 

 

“กลิ่นสตรี” ไป๋หลี่ชูขัดขึ้นอย่างเย็นชา แล้วจับนางหันมา มองดูนางอย่างเย็นชาจากที่สูงกว่า

 

 

“สตรีอะไร…” ชิวเยี่ยไป๋งงงัน แล้วก้มมองอกตนเองตามสายตาของเขา รู้สึกเย็นวาบในใจ หรือเขาพบแล้วว่าตนเป็นสตรีแล้ว

 

 

“ข้ามิรู้ว่าฝ่าบาทพูดถึงอะไร” นางพยายามตั้งสติ ฝืนสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

 

 

ยามนี้สถานการณ์ไม่ชัดเจน นางไม่อยากยอมรับ

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นว่าแม้สีหน้านางจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขามีสัมผัสที่เฉียบไวอยู่แล้ว เห็นแววตานางคล้ายสำนึกตัววูบหนึ่ง เขาจึงหัวร่อเย็นชา ก้มลงจ้องชิวเยี่ยไป๋พร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “อ้อ เสี่ยวไป๋ เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าวันนี้มิได้อุ้มสตรี”

 

 

แม้น้ำเสียงจะบางเบาและแหบพร่า แต่มิทราบเพราะอะไรจึงฟังแล้วชวนขนลุก

 

 

อุ้มสตรี?

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน พริบตาเดียวก็วางใจ ไป๋หลี่ชูยังมิได้พบฐานะที่แท้จริงของตน ถ้าเช่นนั้นคืออะไรเล่า

 

 

นางพลันนึกถึงฆานประสาทที่เฉียบไวจนน่ากลัวของไป๋หลี่ชู พริบตานั้นความคิดวาบขึ้นในหัว จึงเอื้อมมือล้วงแพรเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อ “กลิ่นที่ฝ่าบาทว่า ใช่สิ่งนี้หรือไม่”

 

 

ผ้าแพรเช็ดหน้าทอประกายนุ่มนวล เห็นได้ชัดว่าเป็นของล้ำค่า

 

 

เห็นชิวเยี่ยไป๋ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อ แววตาของไป๋หลี่ชูยิ่งวาววับ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าจะไม่อธิบายหน่อยหรือ เจ้าเป็นคนของข้า ทำไมในตัวของเจ้าจึงมีผ้าเช็ดหน้าของสตรี หืม”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อยากบอกว่าจะให้ข้าอธิบายไปหาหอกอันใด!

 

 

แต่ที่หลุดปากคือ “นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของคุณหนูใหญ่ตระกูลเหมย วันนี้นางพลัดตกน้ำ บังเอิญข้าไปบ้านตระกูลเหมยและอยู่ในเหตุการณ์พอดีจึงช่วยนางไว้ ผ้าผืนนี้นางกำนัลแก่ข้าเพื่อขอบคุณตามมารยาท”

 

 

บนผ้าเป็นลายมือที่เหมยเซียงจื่อใช้หมึกพิเศษเขียนไว้ หลังเขียนไว้ครึ่งชั่วโมงก็จะเลือนหายไป หลังนางออกจากบ้านตระกูลเหมยแล้วจึงพบเห็น ยามนั้นยังอดชื่นชมความรอบคอบของเหมยเซียงจื่อมิได้ แต่ความรอบคอบนี้กลับทำเอาตนเองต้องอธิบายเสียยืดยาว

 

 

สถานการณ์ยังไม่ชัดเจนและนางก็มีแผนของตนเอง จึงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับไป๋หลี่ชู จำยอมอธิบายอย่างรวบรัดและสมเหตุสมผล

 

 

ไป๋หลี่ชูแลดูนางด้วยสีหน้าที่เดาไม่ถูก

 

 

แต่ก็มิได้พบพิรุธใดๆ จากใบหน้าของชิวเยี่ยไป๋ เขาหยิบผ้าขึ้นดู เห็นเนื้อผ้าเรียบลื่นแต่ไม่มีอะไรเลย จึงโยนทิ้งไป

 

 

“คราวหน้า อย่าให้ข้าได้กลิ่นประหลาดจากตัวเสี่ยวไป๋อีกนะ ข้าจะเสียใจมาก”

 

 

“พอข้าเสียใจ ก็อดไม่ได้จะทำให้คนที่ข้ารักเสียใจด้วย ถึงอย่างไรชาตินี้เจ้ากับข้าก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมิใช่หรือ” ไป๋หลี่ชูกอดนางแนบอกอีกครั้ง ก้มลงใช้ริมฝีปากอวบอิ่มแนบใบหูนางพร้อมพึมพำต่อ

 

 

ลมหายใจเย็นเยือกรดหูนาง ทำเอาสยิวกายด้วยความเย็นและเสียวซ่าน

 

 

คนที่ข้ารัก?

 

 

ไม่ ข้าไม่มีวันเป็นสุดที่รักของคนจิตวิปริตอย่างเจ้าแน่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถูกบังคับให้แนบกับอ้อมอกอันเปียกชื้นและหนาวเย็น ตัวสั่นเล็กน้อย เม้มปากแน่นอย่าง

 

 

อดกลั้นและไม่พูดไม่จา

 

 

ไป๋หลี่ชูรับรู้ถึงร่างในอ้อมกอดที่เหมือนว่านอนสอนง่ายแต่ตัวแข็งทื่อสันหลังโก่งเล็กน้อย ซึ่งเป็นท่าระมัดระวังเตรียมพร้อม แสดงถึงความแข็งขืนอย่างเงียบงัน

 

 

เขายิ้มอย่างเย็นชาโดยที่นางไม่เห็น ปลายนิ้วไล้ไปตามกระดูกสันหลังของนาง ดวงตาดำสนิทมิมีแววรักใคร่แม้แต่น้อย กลับคล้ายเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีดำที่น่าหวาดหวั่น