ตอนที่ 135 ร่วมเรียงเคียงหมอน (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ไม่เป็นไร เขามีความอดทนต่อทุกสิ่งที่สนใจเสมอมา

 

 

สักวันหนึ่ง เจ้าจะเก็บเขี้ยวเล็บเอง และจะทอดกายให้ข้าลูบคลำหนังและขนอันนุ่มนิ่มโดยดุษฎี ให้ข้าได้ลิ้มชิมรสหวานหอมจากเลือดเนื้อของเจ้า เจ้าเสือดาวตัวน้อยเอ๋ย

 

 

สุราเหมยแดง สองร่างที่อิงแอบแนบชิดใต้แสงจันทร์คล้ายแสนสนิทสนม บรรยากาศถักทอด้วยความรัญจวนและเย็นยะเยือก

 

 

จนกระทั่งเสียงฝีเท้ากระชั้นดังขึ้น

 

 

“นายหญิง!” อีเซิงแลดูคนทั้งคู่ที่ตระกองกอดกันบนสะพานอย่างตะลึงงัน ยังนึกว่าตัวเองตาฝาดเสียอีก

 

 

ฝ่าบาทเซ่อกั๋วผู้รังเกียจกระทั่งสิ่งของที่ผู้อื่นเคยสัมผัส บัดนี้กลับกอดคนคนหนึ่งไว้อีก ทั้งคนคนนั้นยังเป็น…บุรุษ!

 

 

คู่ ‘ยวนลวี่[1]’ บนสะพานต่างคนต่างพากันสะดุ้ง ชิวเยี่ยไป๋ยิ่งตัวแข็งในพริบตา พยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของไป๋หลี่ชูตามสัญชาตญาณ นางไม่อยากให้อีเซิงที่ยังนับว่ามีไมตรีอยู่บ้างเห็นสภาพเช่นนี้ของตนแม้แต่น้อย!

 

 

แต่มือที่ลูบคลำสันหลังนางอย่างนุ่มนวลของไป๋หลี่ชูกลับออกแรงรัดเข้าอีก ให้นางตกอยู่ในอ้อมกอดอย่างแข็งขืน จากนั้นเงยหน้ามองอีเซิงกล่าวเนือยๆ ว่า “เสี่ยวไป๋หิวแล้ว ไปเตรียมอาหาร เอารายการใหม่วันนี้ สุรา…”

 

 

เขาหยุดเล็กน้อย คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มเหลือบมองสุราสีใสที่มีกลีบบุปผาเต็มสระ แล้วจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องแล้ว เสี่ยวไป๋คงไม่อยากดื่ม ไปเตรียมชุนเหมยแช่เย็นก็พอ”

 

 

“ขอรับ” อีเซิงอึ้งไปแล้วรับคำอย่างนอบน้อม สายตาตกอยู่บนร่างสีครามในอ้อมกอด รู้สึกว่าใบหน้าด้านข้างเจ้าผู้เยาว์ผิวขาวงดงามคุ้นตาอยู่บ้าง เพียงแต่อีกฝ่ายก้มหน้าเขาจึงเห็นไม่ถนัด

 

 

อีเซิงกับอีไป๋ต่างก็เป็นคนสนิทของไป๋หลี่ชูมานานปี คนหนึ่งดูแลภายนอกอีกคนจัดแจงภายใน

 

 

แม้ฝ่าบาทของตนจะรังเกียจสตรี แต่เขากับอีไป๋ต่างคิดว่าก็แค่ปมคาใจของฝ่าบาทของตน ผ่านไปอีกหลายปีก็คงหาย จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทถึงกับชอบบุรุษ ถึงอย่างไรข่าวที่แพร่ในค่งเฮ่อเจี้ยนก็แค่หมอกควันที่ฝ่าบาทจงใจปล่อยเอง

 

 

แม้อีเซิงจะเห็นผู้เยาว์ในอ้อมอกของฝ่าบาทตนเป็นคนที่ไม่เลว แต่ความรู้สึกเช่นนี้พิลึกจริงๆ

 

 

ก่อนจากไปเขายังคงอดมองแล้วมองอีกมิได้

 

 

ยามนี้พอดีกับไป๋หลี่ชูเชยคางผู้เยาว์ขึ้น และประทับจูบลงบนมุมปากอีกด้วย

 

 

แสงจันทร์สาดส่องใบหน้าผู้เยาว์ทำให้อีเซิงเห็นถนัดตา พริบตานั้นเขาเบิกตากว้าง…ถึงกับเป็นคุณชายไป๋!

 

 

คนที่บางคราย่างมากับแสงจันทร์ ร่วมจิบสุราอาหารเลิศรสเป็นสหายต่างวัยของเขา คนที่ยามนึกสนุกขึ้นมาก็ไม่สนใจบุคลิกสง่าปานจันทร์กระจ่าง ยิ่งไม่ไยดีต่อคำสอนของปราชญ์โบราณที่ว่า วิญญูชนไม่เข้าใกล้ห้องครัว โดยม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วเข้าครัว…คุณชายไป๋ผู้รักอิสระประดุจสายลมผู้นั้น!

 

 

ไยคนเช่นนี้จึงนัวเนียกับฝ่าบาทของตน

 

 

หลังอีเซิงเห็นเค้าหน้าของชิวเยี่ยไป๋แล้ว จิตใจเต็มไปด้วยความตระหนกและซับซ้อน พลันสบตากับนัยน์ตาดำสนิทเย็นเยียบของไป๋หลี่ชู เขาสะท้านคราหนึ่งรีบงุดหน้าลง หันกายแล้วจากไปอย่างนอบน้อม

 

 

สิ้นเสียงฝีเท้าของอีเซิง ชิวเยี่ยไป๋บีบข้อมือของไป๋หลี่ชูไว้ ปลายนิ้วออกแรงกระชากอย่างไม่เกรงใจ ทำเอาคางของตนเองมีรอยเล็บสองรอย

 

 

“ฝ่าบาท ท่านอย่าเกินเลย” นางจ้องไป๋หลี่ชูกล่าวเสียงเย็นชา

 

 

ไป๋หลี่ชูรู้สึกเจ็บที่ข้อมือราวกับว่าเกือบหัก รับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่แทบจะยั้งมิอยู่ของคนในอ้อมกอด

 

 

แต่เขากลับเหมือนไร้ความรู้สึก คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มหรี่ตาลงกระซิบอย่างนุ่มนวลที่ข้างหู “เสี่ยวไป๋ เจ้าโมโหทำไม เจ้ารับปากเองที่ตำหนักกวงหมิงว่าจะเป็นคนของข้านี่นา บัดนี้ยังต้องกังวลว่าคนอื่นจะรู้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าอีกหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถูกเขาตอกกลับ พริบตานั้นไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางอยากบอกว่านั่นเพราะถูกบังคับแต่ก็พูดไม่ออก เพราะสุดท้ายผู้ที่ก้มหัวสยบใต้การข่มเหงของไป๋หลี่ชูก็คือตนเอง เป็นตนเองที่เลือกจะเออออด้วย

 

 

แต่นางยังคงทนอัดอั้นไม่ไหวจึงตอบอย่างดูแคลนว่า “ฝ่าบาทคิดจะทำอะไร ให้คนทั่วใต้ฟ้าต่างรู้ว่าข้าเป็นคนโปรดต้องห้ามของท่านหรือ ถ้าเช่นนั้นก็เอาข้าไปไว้วังหลังเลยสิ!”

 

 

ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้วพยักหน้า “อืม ความคิดนี้ไม่เลว ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ที่ข้าชอบบังคับรับชายบำเรอไว้เป็นที่รู้กันทั่ว เพิ่มนายน้อยสี่สกุลชิวที่เป็นเชียนจ่งของซือหลี่เจี้ยนอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จริงไหม”

 

 

“เจ้ากล้า!” นางจ้องเขม็งด้วยเพลิงโทสะ จ้องดวงตาที่ไร้ความรู้สึกซึ่งกำลังมองลงมา พยายามกลั้นความโกรธที่อยากซัดกำปั้นใส่ใบหน้าหยดย้อยอึมครึมนั่น

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” ปลายนิ้วไป๋หลี่ชูไล้ผ่านหางตาเกร็งเขม็งของนางอย่างนุ่มนวล ก้มหน้าที่ไร้ความรู้สึกแลดูนาง “ว่าอย่างไร ไม่แสร้งทำเป็นอ่อนโยนแล้วหรือ เสี่ยวไป๋ เจ้าโกรธมาก คิดจะต่อยตีกับข้าอีกยกหรือไร”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สูดหายใจลึก ไม่พูดอีก ได้แต่เบนหน้าหนี มองดูระลอกผิวน้ำ พยายามหายใจเป็นปกติ

 

 

ใช่สิ ฝ่าบาทเซ่อกั๋วทั้งคนมีหรือจะไม่กล้า

 

 

เขากล้ายิ่งกว่าใคร!

 

 

แต่นางไม่กล้า!

 

 

นางอยากขุดฮวงซุ้ยซัดบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของไอ้หมอนี่จริงๆ!

 

 

“ในเมื่อเสี่ยวไป๋ไม่อยากต่อยตี ทิ้งโอกาสแล้ว เช่นนั้นข้าว่าระหว่างเราน่าจะมีข้อตกลงกัน” ไป๋หลี่ชูเกยคางกับหน้าผากของชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนิบนาบช้าๆ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ดิ้นคราหนึ่ง ดิ้นไม่หลุดจึงเงียบไม่พูดไม่จา

 

 

น้ำเสียงไป๋หลี่ชูอ่อนต่ำวังเวง “เสี่ยวไป๋ ข้ายุติธรรมเสมอและไม่ชอบใช้เล่ห์กลอะไรกับคนที่ครองหัวใจ เจ้าอยากไปจากข้าก็ง่ายมาก วันใดที่เจ้ามีฝีมือชนะข้าได้ หรือแม้แต่ฆ่าข้าทิ้ง เจ้าก็สามารถร้องขอทุกสิ่งได้จากข้า ซึ่งย่อมรวมถึงการจากไปด้วย แต่หากเจ้าแพ้…”

 

 

ฆ่าเขา?

 

 

นี่น่าจะเป็นเรื่องที่เฉลิมฉลองกันทั้งแผ่นดิน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเย็นชา “แพ้แล้วเป็นอย่างไร”

 

 

ไป๋หลี่ชูอมยิ้ม กล่าวลากเสียงอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ถ้าแพ้ คนที่ชนะย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องทุกอย่างและทำอะไรก็ได้”

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ใบ้กิน ในสมองพลันปรากฏฉากวาบหวามนับมิถ้วน หน้าแดงอย่างไม่รู้สาเหตุ จากนั้นก็เงียบไปเนิ่นนาน นางชินกับการขับเคี่ยวกับผู้คนด้วยเล่ห์กล บัดนี้พลันต้องตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยกำลัง โดยเฉพาะยังเกี่ยวพันถึงตนเองด้วย ทำเอาชิวเยี่ยไป๋รู้สึกประหลาดและไม่เคยชิน

 

 

แต่นางคิดไปคิดมาก็ไม่มีต้นทุนอื่นจะไปเจรจากับไป๋หลี่ชู สุดท้ายนางยังคงกัดฟันกล่าวว่า “ได้”

 

 

จะอย่างไรก็ตาม หากนางยังไม่มั่นใจก็จะไม่ลงมือง่ายๆ ย่อมไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสลงมือกับตน

 

 

ไป๋หลี่ชูมองนางด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา จากนั้นจู่ๆ ก็อุ้มนางขึ้น เอียงคอขบติ่งหูนางเบาๆ อีกครั้งอย่างไม่เกรงใจ “อืม เด็กดี”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตกใจ รีบยุดปกเสื้อเขาไว้กลัวหล่นลงไป

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ กระซิบนุ่มนวลหนึ่งข้างหู “เสี่ยวไป๋ เจ้าเปียกไปหมดทั้งตัวแล้ว จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับข้าไหม เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] หมายถึงยวนยางหรือนกเป็ดน้ำที่ครองคู่กัน