ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 301 หินต้นกำเนิด

จอมศาสตราพลิกดารา

“อาวุธในโลกใบนี้แบ่งเป็นสี่ระดับ อาวุธมากมายที่พูดถึงก่อนหน้านี้ล้วนเป็นระดับปลายแถวทั้งสิ้น ต่อให้เป็นอาวุธเทพที่บอกว่าคมกริบ ตัดเหล็กราวตัดเต้าหู้ ตำนานยุทธจักรเหล่านั้นก็นับว่าเป็นแค่ของชั้นยอดในบรรดาอาวุธปลายแถว ทั้งหมดเป็นแค่ของธรรมดา ไม่อาจรองรับปราณแท้อันแข็งแกร่งได้ จึงเป็นได้แค่อาวุธธรรมดาเท่านั้น

ส่วนอาวุธที่อยู่เหนืออาวุธธรรมดาคืออาวุธระดับสมบัติวิญญาณ อาวุธระดับนี้นอกจากจะคมกริบ ตัดเหล็กดั่งตัดเต้าหู้แล้ว ยังมีความทนทานมากและมีความสามารถในการส่งผ่านปราณแท้ ทนรองรับปราณแท้จากผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานได้ อีกทั้งยังเพิ่มพลังให้ได้อีกประมาณหนึ่งเท่า แต่อาวุธระดับสมบัติวิญญาณไม่อาจทนรับพลังของขั้นเหนือมนุษย์ได้

ดังนั้นเหนือกว่าอาวุธระดับสมบัติวิญญาณ ยังมีอาวุธระดับสมบัติเวทที่สามารถทนรับปราณแท้จากขั้นเหนือมนุษย์ เพิ่มพลังสองเท่า เหนือขึ้นไปอีกจะเป็นอาวุธระดับสมบัติเต๋า ประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นอาวุธของเทพมารแล้ว เป็นอาวุธที่เลิศล้ำที่สุดในโลก ว่ากันว่ามีความคิดและปัญญาเป็นของตัวเอง… ”

ยามพูดถึงอาวุธระดับสมบัติเต๋า ใบหน้าของหลิวฉงเต็มไปด้วยแววเฝ้าปรารถนา

อาวุธระดับสมบัติเต๋ามีน้อยแสนน้อย แต่หากมันยอมรับเป็นเจ้านายแล้ว ต่อให้เป็นขั้นรวมปราณหรือรวมจิตธรรมดาก็สังหารขั้นฟ้าประทานได้ อาวุธระดับนี้ปกติแล้วสามารถสยบชะตาของเผ่าเผ่าหนึ่ง ในโลกนี้มีเพียงสำนักเทพทั้งเก้า สามจักรวรรดิ เผ่ามีระดับในที่ราบทุ่งหญ้า เผ่าขุนเขาและสายน้ำขนาดใหญ่บางเผ่าในแผ่นดินสุดแดนใต้ และแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจที่สืบต่อกันมาเนิ่นนาน จึงจะมีอาวุธระดับสมบัติเต๋าอยู่

หากในมือของเขามีอาวุธระดับสมบัติเต๋าละก็ เช่นนั้นก็จะต่อกรกับหลี่มู่ได้ ไม่ถึงกับตกเป็นเบี้ยล่างแบบนี้

แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน แค่คิดๆ เท่านั้น

หลี่มู่ฟังจบ ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ

นี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว

ดาบวัฏจักรของตน ระดับในตอนนี้…อืม น่าจะนับว่าเป็นอาวุธระดับสมบัติวิญญาณได้ แต่ยังห่างจากสมบัติเวท สมบัติเต๋าอีกไกล

แต่ ‘ธนูรั้งจันทรา’ คันนั้นลึกลับนัก ไม่รู้ว่าเป็นระดับไหน

“อย่าง ‘ธนูสยบฟ้า’ ของทุ่งปิดภูผาก็เป็นอาวุธระดับสมบัติเต๋า ‘กระบี่มังกรทะยาน’ ของจักรวรรดิฉินตะวันตกก็ว่ากันว่าเป็นอาวุธระดับสมบัติเต๋าเช่นกัน ส่วนสำนักใหญ่ต่างๆ ในจักรวรรดิอื่น ก็ล้วนมีอาวุธระดับสมบัติเต๋าปกปักรักษาอยู่ อาวุธเต๋าระดับสมบัติเต๋าและผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะ สองปัจจัยนี้เป็นเพียงมาตรฐานเดียวที่จะตัดสินว่าขั้วอำนาจหนึ่งจะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้หรือไม่”

หลิวฉงเอ่ยเสริมอีกประโยค

หลี่มู่มองเขาแวบหนึ่ง

ชิ ข้าต้องให้เจ้ามาวิเคราะห์สาธยายให้ฟังรึไง

“หินดาราสร้างได้แค่อาวุธระดับสมบัติวิญญาณเท่านั้นหรือ?” เขาถาม ก่อนหน้านี้หลิวฉงพูดไว้แบบนี้

หลิวฉงรีบอธิบาย “สร้างอาวุธระดับสมบัติวิญญาณขึ้นไปได้ แน่นอน หากคิดจะสร้างอาวุธระดับสมบัติเวทหรือสมบัติเต๋า หินดาราที่ต้องใช้ไม่ใช่แค่ปริมาณมากอย่างเดียว ระดับยังต้องสูงมากด้วย ปกติแล้วหาไม่ได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นจำนวนของอาวุธสมบัติเวทสมบัติเต๋าคงไม่มีทางน้อยแค่นี้”

หลี่มู่คล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “เช่นนั้นจะพิจารณาระดับของหินดาราได้อย่างไร?”

“คร่าวๆ ก็จากน้ำหนัก สี ความแข็ง สถานที่กำเนิด แต่ว่าข้าไม่ใช่จอมเวทค่ายกลดารา และก็ไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก” หลิวฉงพูดทุกอย่างที่รู้จนหมดเปลือก ตรงไปตรงมา เขากลัวว่าหากหลี่มู่ไม่พอใจจะลุกขึ้นมาสับเขา

“เช่นนั้นหินดาราของเจ้าพวกนี้ ระดับเป็นอย่างไร?” หลี่มู่คลึงหินดาราสีดำในมือเล่นเหมือนลูกเหล็ก

หลิวฉงทำสีหน้าปวดใจ ตอบไปว่า “น่าจะประมาณระดับกึ่งสำเร็จ นับเป็นได้แค่หินต้นกำเนิด เหล็กเทวะจากนอกพิภพที่แฝงอยู่ข้างในมีปริมาณจำกัด หากอยากรู้รายละเอียดต้องผ่ามันออกถึงจะรู้แน่ชัด หินดาราสี่ก้อนนี้ข้าได้มาจากนักพนันหิน”

พนันหิน?

ศัพท์ใหม่งอกมาอีกแล้ว?

หลี่มู่ซักถามเป็นชุด

จากการอธิบายของหลิวฉง ไม่นานนักหลี่มู่ก็เข้าใจหมด

หินดาราที่ว่านี่ก็เหมือนกับหยกบนโลก น้อยคนนักที่ดูแค่ภายนอกก็วิเคราะห์คุณค่าที่แท้จริงของมันได้ จะต้องให้จอมเวทค่ายกลดาราหรือนักเล่นแร่แปรธาตุใช้วิธีเฉพาะทางผ่าหินต้นกำเนิดออก ถึงจะรู้ว่าข้างในมีเหล็กเทวะนอกพิภพแฝงอยู่หรือไม่ รวมถึงรู้ประเภทของเหล็กเทวะนอกพิภพหรือปริมาณที่แฝงอยู่ ดังนั้นบนโลกใบนี้จึงมีอาชีพเหมือนกับนักพนันหินหยกของโลก

หลี่มู่สนอกสนใจขึ้นมาแล้ว

นี่น่าสนใจจริงๆ

ฟังหลิวฉงว่า หินดารามาจากนอกโลก ดังนั้นจึงพิเศษเฉพาะ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดก็ไม่อาจใช้พลังจิตวิญญาณมองโครงสร้างข้างในได้ กระทั่งว่ามีคำเล่าลือว่า หินต้นกำเนิดที่แฝงด้วยโลหะเซียน แม้แต่ขั้นเทวะก็มองไม่ทะลุ

‘ไม่รู้ว่าเนตรสวรรค์ของเราจะมองหินต้นกำเนิดหินดารานี่ทะลุหรือเปล่า?’

เขาครุ่นคิดในใจ

แต่ต่อหน้าหลิวฉง เขาไม่คิดจะแสดงออกมา

“เอาตัวไป”

หลี่มู่โบกมือ หลิวฉงก็ถูกพาตัวออกไป

เมื่อเนตรสวรรค์กวาดผ่าน ทีแรกมองชั้นผิวของหินต้นกำเนิดไม่ทะลุ แต่เมื่อพลังจิตวิญญาณของหลี่มู่หลอมรวม แล้วกระตุ้นเนตรสวรรค์สุดกำลัง ถึงค่อยๆ รู้สึกว่าชั้นผิวสีดำเริ่มหายไป จากนั้นเขาก็มองเห็นชั้นหินบางๆ ที่เหมือนถูกควันรมดำชั้นหนึ่งหุ้มโลหะประหลาดสีดำขนาดนิ้วมือเอาไว้ มีแสงประกายถี่ยิบเหมือนหัวเข็มส่องกะพริบ ประหนึ่งห้วงจักรวาลหนึ่งที่ห่อหุ้มด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน

“อืม จากคำพูดของหลิวฉง ในหินต้นกำเนิดดวงดาวก้อนนี้เป็นหินที่มีโลหะจากนอกพิภพ ไม่ใช่หินไร้ค่า เพียงแต่โลหะประหลาดสีดำขนาดเล็บมือเป็นโลหะเซียนชนิดไหนกัน?”

หลี่มู่แปลกใจนัก

ในหินต้นกำเนิดขนาดเท่ากำปั้นกลับมีโลหะนอกพิภพขนาดเล็บมือเท่านั้น ปริมาณนี้ช่างน้อยนิดจริงๆ

ราชาปีศาจหลี่มู่เกิดความสนใจต่อหินดาราอย่างมาก

ตัวเขาเองรู้วิชาสร้างอาวุธอยู่แล้ว ครึ่งหนึ่งเรียนมาจากซินแสเฒ่า อีกครึ่งหนึ่งศึกษาสรุปรวบยอดจากตำราสร้างอาวุธของโลกใบนี้ เส้นทางสายนี้เขาฝ่าฝันได้มาเอง ดาบวัฏจักรเป็นของกึ่งสำเร็จที่ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นหินดาราที่สามารถสร้างอาวุธเทพระดับสมบัติวิญญาณขึ้นไปได้จะทำให้มันสมบูรณ์แบบขึ้น

แน่นอน หลี่มู่ไม่ได้มีใจคิดจะพัฒนาเป็นปรมาจารย์สร้างอาวุธ และก็ไม่คิดจะสร้างอาวุธให้แก่คนอื่น เขาแค่อยากทำให้ดาบวัฏจักรกลายเป็นอาวุธที่เอาออกมาลงมือได้อย่างแท้จริง…เพียงแต่ มาตรฐาน ‘เอาออกมาได้’ ของหลี่มู่สูงกว่าคนอื่นเล็กน้อย

สุดท้าย หลิวฉงถูกทำลายวรยุทธ์ ถูกขับไล่ออกมาพร้อมกับบ่าวรับใช้ สาวใช้ และองครักษ์ของหวงเหวินหย่วน

หลี่มู่มีเมตตา ไม่เข่นฆ่าคนพวกนี้

นอกอำเภอขาวพิสุทธิ์ บนเส้นทางภูเขาคดเคี้ยว หลิวฉงตื่นตระหนกขวัญหาย ไม่เหลือท่าทางราวเซียนสูงส่งเลยแม้แต่น้อย เขาที่สูญเสียปราณแท้ฟ้าประทานไป เหลือแค่พลังฝึกขั้นยอดปรมาจารย์เท่านั้น ทำให้ดูแก่ชราอย่างเห็นได้ชัด อ่อนแอเหลือประมาณ จิตใจเต็มไปด้วยความคับแค้น แต่กลับมองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่อยู่ไกลลิบอย่างยำเกรง ในใจทั้งโกรธแค้นทั้งลังเล

“กลับสำนักเทพ ไปหารองเจ้าสำนักหวง แค้นนี้จะให้จบแบบนี้ไม่ได้”

เขาตัดสินใจ ก่อนทิ้งองครักษ์พวกนี้ขี่กระเรียนขาวทะยานขึ้นฟ้าไป

องครักษ์และพวกบ่าวรับใช้มองหน้ากัน สุดท้ายก็ทำได้แค่เดินกลับไปตามเส้นทางภูเขา

อำเภอขาวพิสุทธิ์ห่างไกลกันดาร ตั้งอยู่ในเขาลึก ใช้ขาเดินไปน่ากลัวว่าต้องใช้เวลาห้าหกวันถึงจะได้ หลายคนนึกอยากร้องไห้ยิ่งนัก

……

หลี่มู่คิดไม่ถึงว่าเจิ้งฉุนเจี้ยนที่เพิ่งกลับไปจะรีบร้อนกลับมาอีก

“คุณชาย ท่านสังหารหวงเหวินหย่วนจริงๆ หรือ คราวนี้ท่านก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว” เจิ้งฉุนเจี้ยนสีหน้าหวาดหวั่น ไม่เข้าใจการตัดสินใจของหลี่มู่ ก่อนหน้านี้สังหารองค์ชายสองยังพอทน เพราะในราชสำนักมีขั้วอำนาจที่คัดค้านองค์ชายสอง จึงยืดเวลาให้หลี่มู่ได้ แต่หวงเหวินหย่วนนั้นสถานการณ์ไม่เหมือนกัน ปู่ของเขาหวงเซิ่งอี้เป็นบุคคลร้ายกาจ รักพวกพ้องเป็นที่สุด

เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่เข้าใจ ทำไมหลี่มู่ถึงได้ไปหาเรื่องบุคคลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และสร้างศัตรูให้กับตัวเองแบบนี้

“ฮ้าววว ไม่มีบทพูดใหม่ก็ไม่ต้องมาบ่นต่อหน้าข้า” หลี่มู่หาวหวอดอย่างรำคาญ “เจ้ารีบร้อนกลับมาอำเภอขาวพิสุทธิ์แบบนี้ เป็นเพราะเจ้าเมืองชายชั่วนั่นสัมผัสอะไรได้ เลยให้เจ้ามาสืบข่าวล่ะสิ”

เจิ้งฉุนเจี้ยนสีหน้าแข็งค้าง หลี่มู่พูดได้ตรงประเด็น

หลี่มู่กล่าวอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ระหว่างทางเจ้าก็น่าจะเจอพวกองครักษ์ของหวงเหวินหย่วนแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?”

เจิ้งฉุนเจี้ยนรีบตอบ “ไม่กล้าปิดคุณชาย ได้พบแล้วขอรับ เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองอำเภอข้าก็รู้แล้วเช่นกัน”

“ในเมื่อรู้แล้ว เช่นนั้นจะตื่นตระหนกขนาดนี้เพื่ออะไร?” หลี่มู่ถาม

“แต่ว่า…แต่ว่า…” เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยแต่ว่าอยู่ครึ่งวัน ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ในเมื่อครั้งนี้คนที่เขาล่วงเกินคือทุ่งปิดภูผาเชียว ในโลกการยุทธ์ทุ่งปิดภูผาน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่มีแต่ว่าอะไรทั้งนั้นแหละ” หลี่มู่ตัดบท แล้วเปลี่ยนหัวข้อทันที “เจ้ารู้จักหินดาราไหม?”

เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้ง ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ หลี่มู่ถามแบบนี้ต้องการจะสื่ออะไร แต่เขาก็ขบคิดอย่างจริงจัง แล้วตอบว่า “รู้บ้างเล็กน้อย แต่ก็รู้เพียงแค่กระผีกเท่านั้น ไม่เคยตั้งใจศึกษา ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ขอรับ”

ด้วยพลังและตำแหน่งของเขา เจิ้งฉุนเจี้ยนได้สัมผัสกับหินดาราระดับนี้น้อยนัก แต่ว่าชื่อซิ่วไฉใจเหี้ยมก็ยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง เขามีความรู้กว้างขวางมากมาย เคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องมา จึงพอจะรู้บ้างนิดหน่อย

หลี่มู่พยักหน้า “เจ้าก็แค่กังวลว่าหากข้าถูกทุ่งปิดภูผาฆ่าตาย ก็จะไม่มีใครช่วยเจ้าแก้ยันต์เป็นตายในตัวเจ้าได้ล่ะสิ ดังนั้นถึงแม้จะรู้ต้นสายปลายเหตุจากปากพวกองครักษ์ของหวงเหวินหย่วนแล้ว เจ้าก็ยังมาอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ดี…หึๆ อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแล้วกัน เอาอย่างนี้ เจ้าไปหาแหล่งกำเนิดหินดารา ชนิด วิธีผ่าหิน ประเภทของโลหะนอกพิภพด้านใน วิธีสร้าง และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอะไรพวกนี้ รวบรวมให้ข้าแล้วส่งมาเสีย แล้วข้าจะแก้ยันต์เป็นตายในตัวเจ้าให้ หลังจากนี้เจ้าก็เป็นอิสระแล้ว”

เจิ้งฉุนเจี้ยนได้ยินก็ดีใจแทบคลั่งทันที “คุณชายวางใจเถอะ ข้าน้อยจะต้องรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่ท่านต้องการมาให้ภายในห้าวันนี้แน่นอนขอรับ”

หลี่มู่ทำหน้าไม่สนใจ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าก็ดูเอาแล้วกัน ข่าวการตายของหวงเหวินหย่วนน่ากลัวว่าใกล้จะไปถึงทุ่งปิดภูผาแล้ว รองเจ้าสำนักหวงอะไรนั่น หลังจากได้รับข่าวแล้วจะต้องบุกมาอย่างโกรธแค้นแน่นอน อยากจะแก้ยันต์เป็นตายในตัวเจ้า ทางที่ดีเตรียมสิ่งที่ข้าต้องการทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อนที่เขาจะมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ มิฉะนั้น เผื่อว่าข้าถูกรองเจ้าสำนักผู้นั้นฆ่าตาย ฮี่ๆ ยันต์เป็นตายในกายเจ้า บนโลกนี้ก็ไม่มีใครแก้ให้เจ้าได้แล้ว”

เจิ้งฉุนเจี้ยนหัวใจบีบรัด ตอบกลับไป “คุณชายวางใจได้ ข้าน้อยทราบแล้ว”

เขาเฝ้าฝันอยากจะแก้ยันต์เป็นตายอยู่ทุกขณะจิต ความเจ็บปวดขนาดอยู่มิสู้ตายที่ได้สัมผัสเมื่อยันต์สำแดงฤทธิ์ในตอนนั้น อยากจะอยู่ก็ไม่ได้ อยากจะตายก็ไม่ได้ หลายวันมานี้มันสำแดงฤทธิ์บ้างเป็นครั้ง ถึงแม้จะเป็นแค่เวลาเพียงสั้น แต่ก็มากพอจะให้เขาหวาดกลัวเป็นหนักหนา เพียงแต่เขาก็ไม่กล้าร้องขอให้หลี่มู่แก้ให้

และตอนนี้ ในที่สุดหลี่มู่ก็เอ่ยออกมาเอง

ด้วยนิสัยของหลี่มู่ หากพูดออกมาแบบนี้ เช่นนั้นจะต้องไม่หลอกเขาแน่นอน

เรื่องนี้เจิ้งฉุนเจี้ยนเข้าใจและแน่ใจมาก

“ไม่ต้องขอบใจข้า ขอแค่เจ้าทำให้ข้าพอใจก็พอ นี่คือการแลกเปลี่ยน” หลี่มู่กล่าว “เอาละ เจ้าไปเถอะ รีบเข้า”

เจิ้งฉุนเจี้ยนโค้งคำนับ ก่อนถอยออกไป เดินไปได้ก้าวหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ทางใต้เท้าเจ้าเมือง…”

หลี่มู่บอกทันควัน “พูดไปตามจริง”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” เขาหันหลังเดินออกไปนอกห้อง 

คราวนี้หลี่มู่เหมือนนึกเรื่องอะไรขึ้นได้ จึงตบหน้าผากร้องขึ้นว่า “แย่แล้ว ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้”

เจิ้งฉุนเจี้ยนตกใจ หยุดฝีเท้าลงทันที