เจิ้งฉุนเจี้ยนใจสั่นไหง
เขากลัวหลี่มู่เปลี่ยนใจ
แต่ก็ได้ยินหลี่มู่พูดเหมือนอารมณ์เสีย “ลืมยึดกระเรียนขาวของหลิวฉงไปเสียได้ เจ้านี่ขี่นก บินรวดเร็วมาก ท่าทางข่าวจะไปถึงทุ่งปิดภูผาเร็วกว่าที่ประมาณเอาไว้…จิ๊ๆๆ ข้าต้องเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว”
เจิ้งฉุนเจี้ยนตั้งสติกลับมาได้ก็โล่งใจ
ยังดี ราชาปีศาจไม่ได้เปลี่ยนใจ
เขาเห็นหลี่มู่ไม่ได้มีท่าทีจะพูดอะไรอีก จึงไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน รีบเดินอกจากห้องไป
แต่พอขบคิดดู เรื่องนี้เหมือนจะไม่ถูกต้อง
หลิวฉงขี่กระเรียนขาวกลับทุ่งปิดภูผา จะไปด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าเดิม การแก้แค้นของทุ่งปิดภูผาก็จะมาเร็วกว่าเดิมเช่นกัน นั่นไม่ได้หมายความว่าเวลาของเขาน้อยลงกว่าเดิมอย่างนั้นหรอกหรือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะต้องให้หลี่มู่แก้ยันต์เป็นตายก่อนที่ทุ่งปิดภูผาจะบุกมาให้ได้
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่า ที่จริงแล้วประโยคเมื่อครู่หลี่มู่พุ่งเป้ามาที่ตนนี่เอง
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องลงมือสุดกำลังแล้ว
ไม่ว่าต้องจ่ายด้วยอะไร จะต้องรวบรวมข้อมูลของหินดาราส่งมาภายในสามวันให้ได้
เจิ้งฉุนเจี้ยนต่อให้ตายก็ไม่อยากลิ้มรสความน่าสะพรึงกลัวจากการทรมานของ ‘ยันต์เป็นตาย’ อีกต่อไปแล้ว
……
เวลาเคลื่อนผ่าน
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามวันแล้ว
พลังของหลิวฉงลดลงอย่างมาก แน่นอนว่าไม่มีทางขี่กระเรียนขาวเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพักแบบในวันวานได้
บนท้องฟ้าสูง แรงลมรุนแรง
เมื่อไม่มีการป้องกันจากพลังฝึกขั้นเหนือมนุษย์ หากไม่ระวังก็จะถูกแรงลมหอบม้วนตกลงมาจากหลังของกระเรียน และเขาที่สูญเสียความสามารถในการเหาะเหินจะกลายเป็นก้อนเนื้อ
ดังนั้นตลอดทางที่ขี่กระเรียนมา เขาจึงบินต่ำ ความเร็วไม่มากเหมือนตอนมา
หลังจากอกสั่นขวัญแขวนมาตลอดทาง สามวันจึงจะกลับมาถึงเมืองปิดภูผา หลิวเฉิงมาขอพบรองเจ้าสำนักหวงเซิ่งอี้ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ทว่าเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้านี้รองเจ้าสำนักไปจากสำนัก มุ่งหน้าไปเมืองฉางอันแล้ว
“รองเจ้าสำนักรู้ข่าวแล้ว?”
หลิวฉงหน้าดำคล้ำ
เขาไม่กล้าหยุดพักในเมืองปิดภูผา รีบมุ่งหน้าไปเมืองฉางอันอีกครั้ง
จะต้องรีบบอกข่าวกับรองเจ้าสำนักหวง
เพราะรองเจ้าสำนักอาจยังไม่รู้ว่า หลี่มู่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์มีพลังไร้พ่ายที่ใกล้เคียงกับขั้นเทวะ หากบุ่มบ่ามบุกไปโดยตรง เกรงว่ามีแต่จะเสียเปรียบ
รองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาครึ่งขั้นเทวะผู้หนึ่งต้องระวังคนรุ่นหลังที่ยังไม่เต็มขั้นเหนือมนุษย์ ถึงแม้ฟังดูแล้วเหลวไหลยิ่ง แต่ประสบการณ์โดยตรงของหลิวฉงบอกเขาว่า นี่คือเรื่องจริง
……
วันที่สี่
เมืองฉางอัน ที่ว่าการเจ้าเมือง
“ไม่ใช่เจ้าจริงๆ หรือ?” หวงเซิ่งอี้ลอยอยู่กลางอากาศ จิตสังหารคุกรุ่น ไม่ปกปิดกลิ่นอายของตนแม้แต่น้อย จ้องหลี่กังพลางซักไซ้ ราวกับเทพแห่งความตาย
เหล่าขุนนางและองครักษ์ทั้งหมดในที่ว่าการหน้าซีดขาว ตกใจกลิ่นอายพลังของผู้แข็งแกร่งครึ่งขั้นเทวะจนอกสั่นขวัญแขวน
เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน
แต่เดิมพวกเขากำลังทำงานกันอย่างเป็นระเบียบ ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ผู้แข็งแกร่งราวเซียนปีศาจจะมาปรากฏตัวขึ้น กลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวเสมือนน้ำมหาสมุทรท่วมพวกเขาจนมิด ทำให้พวกเขาหายใจไม่ออก
หลี่กังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานในโถงใหญ่
ท่าทางของเขาสงบมาก สีหน้าสุขุม ใบหน้าเรียบเฉย ดูทรงภูมิและสง่างาม ตอบไปว่า “รองเจ้าสำนักหวง ข้าไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกับคุณชายหวง ข้าจะฆ่าเขาทำไม?”
สายตาของหวงเซิ่งอี้มองทะลุผ่านประตูโถงใหญ่ จ้องใบหน้าหลี่กังอยู่เนิ่นนานจึงจะพยักหน้า “เจ้าพูดมีเหตุผล กระบี่เซียนธุลีแดง คิดแล้วก็ไม่น่าใช่คนที่กล้าทำไม่กล้ารับ ข้าจะเชื่อเจ้าครั้งหนึ่งแล้วกัน…ข้าขอลา”
พูดจบ เขาก็แปลงเป็นแสงเพลิงสายหนึ่งหายไปในท้องฟ้าไกล
หลี่กังมองทิศทางที่รองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาผู้นี้หายลับไป เป็นเขตเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ เขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ บนใบหน้าทรงภูมิงดงามราวหยกขาวเผยรอยยิ้มประหลาด
หวงเซิ่งอี้อวดดีจองหอง เห็นที่ว่าการเจ้าเมืองของเขาเป็นอะไร?
ดังนั้น เรื่องบางอย่างเขาจึงไม่ได้พูดออกไป
……
หนึ่งชั่วยามต่อมา
เทือกเขาขาวพิสุทธิ์ สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์
ทั่วทั้งสำนักเหมือนมีศัตรูบุกโจมตีมา
ระฆังกระบี่ที่แขวนอยู่บนยอดเขาส่งเสียงถี่กระชั้น สั่นสะท้านหัวใจของลูกศิษย์สำนักเขาขาวพิสุทธิ์ทุกคน ค่ายกลปกป้องขุนเขาแทบจะถูกศัตรูทำลายลงในทันที กลิ่นอายพลังน่ากลัวราวมหาสมุทรไพศาล ดุจเทพมารมาเยือน ปกคลุมท้องฟ้าเหนือสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เอาไว้
“จ้าวเสวี่ย ออกมาให้คำตอบเสีย”
เสียงของหวงเซิ่งอี้ดังก้องในฟ้าดิน สะเทือนจนลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่พลังค่อนข้างต่ำบางคนหน้ามืดตาลาย
ลูกศิษย์นักกระบี่นับไม่ถ้วนเงยหน้ามองหวงเซิ่งอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศและจู่ๆ ก็บุกมาหาอย่างกะทันหัน สายตาแต่ละคู่แฝงด้วยความโกรธแค้น หวาดกลัว และสงสัย
ฟิ้ว!
แสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งขึ้นกลางอากาศ แหวกผ่าท้องฟ้ามา
จิตแห่งกระบี่ไหลวน ดุจหิมะทับทมบนยอดเขาหลัก ต้านทานกลิ่นอายพลังเปลวเพลิงที่ปกคลุมท้องฟ้าไปครึ่งหนึ่งของหวงเซิ่งอี้เอาไว้
ร่างชุดขาว ผมยาวสีขาวประดุจหิมะ
เทพกระบี่ขาวพิสุทธิ์จ้าวเสวี่ยสะพายกระบี่ยืนตระหง่าน ท่วงท่าล่องลอย สง่าผ่าเผยอย่างที่สุด ราวกับเทพเซียนในหมู่มนุษย์ก็มิปาน
ตอนนั้น เทพกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่ชื่อเสียงก้องไปในฉินตะวันตกก็เป็นชายหน้าตางดงามขึ้นชื่อเช่นกัน เขาเย็นชาดั่งหิมะที่ทับถมบนเขาขาวพิสุทธิ์ เคยชิงดีชิงเด่นกับเซียนกระบี่ธุลีแดงหลี่กัง และได้รับการขนานนามว่าสองกระบี่แห่งฉินตะวันตก น่าเสียดายที่ภายหลังพ่ายแพ้ให้กับหลี่กัง
“ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้? รองเจ้าสำนักหวงไยจึงมาซักไซ้ไล่เรียงสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ของข้าเช่นนี้?” จ้าวเสวี่ยผมขาวราวหิมะ ใบหน้าสุขุมสง่างาม ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“หลานชายของข้าหวงเหวินหย่วนตายด้วยมือของเจ้าหรือไม่?” หวงเซิ่งอี้จ้องจ้าวเสวี่ย ถามเน้นทีละคำทีละประโยค
“หลายของท่านถูกสังหาร?” จ้าวเสวี่ยอึ้ง ก่อนจะตอบไป “เรื่องนี้ข้าไม่รู้เห็น และก็ไม่ใช่ข้าลงมือด้วย ข้ากับสำนักทุ่งปิดภูผาและรองเจ้าสำนักไม่มีความแค้นอะไรกัน หลายปีมานี้สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เข้าไปข้องเกี่ยวกับการแก่งแย่งในยุทธจักรน้อยครั้งนัก”
“ไม่ใช่เจ้าเหมือนกัน?” หวงเซิ่งอี้ขมวดคิ้ว
ทั้งเมืองฉางอัน คนที่ฆ่าหลานชายของตนได้ภายใต้การคุ้มครองจากหลิวฉงผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ก้าวที่สี่ ก็มีแค่หลี่กังกับจ้าวเสวี่ยสองคนนี้เท่านั้น แต่กลับไม่ใช่ทั้งคู่อย่างนั้นหรือ?
“เทพกระบี่ขาวพิสุทธิ์ตอนนั้นก็เป็นคนที่พูดจามีสัจจะ ในเมื่อเจ้าว่าไม่ใช่เจ้า ข้าก็เชื่อ” หวงเซิ่งอี้ค่อยๆ เก็บกลิ่นอายพลังที่เป็นปฏิปักษ์ลงไป
คำวิจารณ์ของเขาต่อจ้าวเสวี่ย เห็นได้ชัดว่าอยู่เหนือหลี่กัง
ตอนนั้นจ้าวเสวี่ยขึ้นชื่อว่าเป็นสัตบุรษ อ่อนโยนสง่างาม รักษาสัจจะ เป็นสุภาพชนที่แท้จริงซึ่งราชสำนักและยุทธจักรต่างยอมรับกัน
“แต่ว่า หลานของข้าตายในเมืองฉางอันจริงๆ หรือในเมืองฉางอันจะมีขั้นเหนือมนุษย์สูงสุดคนที่สามอยู่อีก ไม่ก็มีขั้นเทวะ?” หวงเซิ่งอี้กล่าวพลางจ้องจ้าวเสวี่ย “เจ้าสำนักจ้าว ข้าไม่ได้ก้าวเข้ามาในยุทธจักรนานแล้ว รู้เรื่องในยุทธจักรเมืองฉางอันน้อยมาก เจ้าสำนักจ้าวรู้หรือไม่ว่าในยี่สิบปีมานี้ ในเมืองฉางอันมียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งคนอื่นผงาดขึ้นหรือไม่?”
จ้าวเสวี่ยตอบว่า “ยอดฝีมือที่เลื่องชื่อที่สุดในฉางอันตอนนี้ ไม่มีใครเกินเซียนกวีวิถียุทธ์หลี่มู่ ทว่าเขาก็เป็นแค่ขั้นฟ้าประทานเท่านั้น ยังไม่ก้าวเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์เลย”
หวงเซิ่งอี้ส่ายหน้า “หลี่มู่เด็กคนนี้ข้าเคยได้ยินเรื่องมาบ้าง อาศัยของวิเศษล้ำค่าสังหารองค์ชายสอง ไม่น่าจะมีพลังเช่นนั้นได้…” พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงัก พลันรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเหมือนคิดอะไรผิด ละเลยอะไรไป
พลังขององค์ชายสองไม่ธรรมดา เป็นถึงขั้นเหนือมนุษย์ แต่กลับตายในเงื้อมมือของหลี่มู่ได้ เรื่องการต่อสู้ในวันนั้น หวงเซิ่งอี้ในฐานะที่เป็นรองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาย่อมได้รับข่าวภายในด้วย
และหลานของตนไปรับตำแหน่งขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ เหตุผลเนื้อแท้คือไปชุบมือเปิบ ยากที่จะรับประกันว่าหลี่มู่จะไม่กลั่นแกล้งอะไร…ก่อนหน้านี้ตนกลับลืมจุดนี้ไปเสียได้?
“ข้าขอตัวก่อน”
ความคิดของหวงเซิ่งอี้กระจ่างชัดในทันที ร่างแปลงเป็นแสงเพลิงแล้วหายลับไป
จ้าวเสวี่ยมองไปทางตัวเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ สีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง
ส่วนคนอื่นๆ ในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เห็นครึ่งขั้นเทวะผู้นี้จากไป ในใจก็โล่งอกได้
ท่าทีไม่แข็งกร้าวจนเย่อหยิ่ง ไม่นอบน้อมจนดูต่ำต้อยของบุคคลแบบอย่างในใจพวกเขา ทำให้ลูกศิษย์หนุ่มสาวมากมายยิ่งเลื่อมใส แม้แต่คนอย่างรองเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผายังเกรงใจเจ้าสำนักตนเป็นอย่างมาก แค่ประโยคเดียวก็คลี่คลายศึกใหญ่ที่กำลังจะปะทุได้ นี่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวระดับใดกัน?
ความรู้สึกภาคภูมิใจ เฝ้าปรารถนา และเลื่อมใสบูชาท่วมท้นในใจของลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ทั้งหลาย
จ้าวอวี่บังคับกระบี่ขาวพิสุทธิ์มายังข้างกายจ้าวเสวี่ย
“เจ้าสำนัก หลี่มู่ทางนั้น…” จ้าวอวี่แปลกใจเล็กๆ ที่เมื่อครู่เจ้าสำนักมุ่งประเด็นไปยังหลี่มู่โดยตรง อย่างไรเสียดูไปแล้วก็เหมือนเป็นการขายหลี่มู่
จ้าวเสวี่ยถอนหายใจ กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าขายหลี่มู่? ไม่ใช่หรอก ข้ากำลังช่วยเขา”
“ช่วยเขา?” จ้าวอวี่งงงันไม่เข้าใจ
จ้าวเสวี่ยอธิบายอย่างอดทน “นับจากที่หลี่มู่เลือกสังหารหวงเหวินหย่วน เขาก็หนีเคราะห์กรรมในวันนี้ไม่พ้นแล้ว เพียงแต่จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น…ข้าเห็นหวงเซิ่งอี้บุกมาอย่างโทสะคุกรุ่น เหมือนจะสืบทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอำเภอขาวพิสุทธิ์แจ่มชัดแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าหลี่มู่กุมพลังไร้พ่ายขั้นเทวะเอาไว้อย่างลับๆ แล้ว ใจจึงยังประมาท ดังนั้นให้เขาไปหาหลี่มู่เสียแต่ทีแรก ก็ดีกว่าไปทีหลังมากนัก หากรอให้เขาใจเย็นลง และสืบไพ่ตายของหลี่มู่แน่ชัดแล้วค่อยไปเอาความ ถึงตอนนั้น สถานการณ์ที่หลี่มู่ต้องเผชิญหน้าจะยิ่งลำบากกว้าเดิม”
คนหนุ่มสาวเลือดร้อนเปี่ยมกำลัง พบอธรรมแล้วชักดาบก็เป็นเรื่องดี
แต่แข็งเกินไปก็หักง่าย หาเรื่องศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ช่างไม่ฉลาดอย่างยิ่ง
หากหลี่มู่อดทน สงบจิตใจเก็บตัวฝึกฝนสักสามสี่สิบปี ทำไมจะสู้กับขั้วอำนาจที่หวงเซิ่งอี้เป็นตัวแทนไม่ได้ น่าเสียดาย…ใจร้อนเกินไป
“เสี่ยวอวี่ ไปเถอะ ตามข้าไปอำเภอขาวพิสุทธิ์สักหน่อย” จ้าวเสวี่ยเอ่ย
จ้าวอวี่ได้ยินก็ดีใจ ถามขึ้นว่า “เจ้าสำนักยินดีลงมือช่วยหลี่มู่?”
“ดูก่อนค่อยว่ากัน หวังว่าจะรักษาชีวิตเขาไว้ได้”
……
ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน
ในห้องหนังสือ
แสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูหนาวลอดผ่านร่มเงาไม้เข้ามา ทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชวนให้สบายใจ
‘ศักยภาพของมนุษย์ล้วนต้องเค้นออกมาทั้งสิ้น ฮ่าๆๆ ประโยคนี้ไม่ผิดเลยสักนิด’
หลี่มู่นั่งขัดสมาธิ ไม่มีสำนึกว่าตนเป็นใต้เท้าขุนนางเมืองเลยสักนิด สบายอย่างไรก็นั่งอย่างนั้น พลางคิดอย่างมีความสุข
ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เขาก็อ่านเอกสารเกี่ยวกับหินดาราที่เจิ้งฉุนเจี้ยนส่งมาให้จนจบ ก่อนจะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น
พูดตามตรง หลี่มู่รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกว้าง ที่แท้ในหินดารามีความรู้ลึกซึ้งมากมายขนาดนี้ หากอยู่บนโลกแทบจะเป็นวิชาหนึ่งที่เปิดให้เรียนในมหาวิทยาลัยระดับสามได้แล้ว
ราชาปีศาจหลี่มู่รู้สึกว่าประตูโลกใหม่กำลังเปิดออกอย่างช้าๆ ต่อหน้าตนแล้ว
หินดาราเหมือนเกิดมาเพื่อหลี่มู่โดยเฉพาะ มีโอกาสสำเร็จสูงยิ่ง