โรงเตี๊ยมเริ่มคึกครื้นพร้อมกับแสงสว่างบนท้องฟ้า คนงานยกอาหารชั้นเลิศเดินไปตามโถงก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง
“กินข้าว กินข้าว”
เฉิงผิงที่ถูกแก้มัดและอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าผืนใหม่ กำลังถูมือไปมาท่าทางแสนดีใจ เขาแทบจะอดรนทนไม่ไหวเมื่อได้เห็นอาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยชมไม่หยุดปาก
เขาเองก็รู้ตัวท่าทางของตนคงดูเสียกิริยาไม่น้อย จึงเหลียวไปมองคนในห้อง
“ข้าไม่ได้กินข้ามาหลายวันแล้ว”
หญิงทั้งสองกระตุกมุมปากก่อนจะยิ้มเจื่อนออกมา
“เชิญท่านรับประทานเถิด” พวกนางเอ่ย
“เจ้าว่าพอหรือยัง” ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
พอเห็นคนตรงหน้าปฏิบัติต่อตนด้วยความเคารพ ไม่มีสายตาดูแคลนอีกต่อไป ไม่มีผู้ใดเรียกว่าเขานักต้มตุ๋นอีกต่อไป เฉิงผิงจึงยกตะเกียบขึ้นแล้วยิ้มร่า
“พอแล้ว พอแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ก็ได้” เขาเอ่ยพลางยิ้ม “พูดว่าคนอื่นดวงกุดชะตาขาด ผู้ใดจะอยากได้ยินใช่หรือไม่ ที่ข้าต้องพบเจอเรื่องแบบนี้ ก็เป็นโชคชะตาของข้าเช่นกัน อีกอย่างพวกเจ้าก็ไม่ได้ทุบตีข้าด้วย”
เขาเอ่ยพลางลูบข้อมือและข้อเท้าของตนเอง
เหล่าผู้ติดตามสบตากันก่อนจะคุกเข่าลง
“ขออภัยด้วย พวกข้าผิดไปแล้ว” พวกเขาเอ่ยแล้วคำนับให้
แม้แต่นายหญิงยังขอโทษเขา พวกเขาเองก็ย่อมต้องขอโทษด้วยเช่นกัน
เฉิงผิงหัวเราะยกใหญ่
“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่หรอก ที่นายหญิงของเจ้าขอโทษไม่ใช่เรื่องนี้หรอก” เขาเอ่ย
คนภายในห้องชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขา
ไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แล้วเหตุใดกันเล่า
เฉิงผิงถือตะเกียบค้างไว้ก่อนจะยกชามขึ้นมา
“นางคงขอโทษคนรู้จักที่หน้าตาเหมือนกับข้า” เขาเอ่ยก่อนจะยิ้มออกมา “แน่นอน นางก็ขอโทษที่ข้าต้องมาเป็นตัวแทนของเขา จึงต้องพบเจอเรื่องน่าตื่นตกใจเช่นนี้”
อะไรกับอะไรนะ
คนในห้องยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงง
“เอาเป็นว่าพวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป นายหญิงของพวกเจ้าทำเช่นนี้ได้ ก็แปลว่านางฟื้นแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกคนกินข้าวกันเถิด กินข้าวกันเถิด” เขายิ้มเอ่ยพลางแกว่งตะเกียบไปมา ก่อนจะคีบข้าวคำใหญ่เข้าปาก
หลังออกจากห้องนั้น หญิงทั้งสองก็ยกอาหารเช้าเข้ามาให้เฉิงเจียวเหนียงในห้อง
หลังจากที่ร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าเฉิงผิง นางไม่ได้เป็นลมหมดสติไปเพราะอารมณ์แสนบีบคั้น หรือว่าออกไปเดินข้างนอกอย่างที่ทุกคนกังวล ทว่าเฉิงเจียวเหนียงกลับกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง
“นายหญิง กินอะไรสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ไม่ได้กินข้าวมาสองมื้อแล้วนะเจ้าคะ ทั้งยังอดนอนทั้งคืนอีกต่างหาก” หญิงผู้นั้นเอ่ยเสียแผ่วเบา
เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองหนังสือเงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้าให้นาง
“ได้” นางเอ่ย
หญิงผู้นั้นยิ้มแย้มในทันใด เหล่าผู้ติดตามเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เดิมทีพวกเขาสบายใจยิ่งนักยามออกมาข้างนอกกับนายหญิง ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องใดหรือว่าคนแบบไหน หญิงสาวผู้นี้ก็มักจะแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาดเสมอ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้สิ่งที่พบเจอนั้น ไม่ใช่เรื่องอื่นหรือว่าผู้ใด แต่กลับเป็นเรื่องของนายหญิงเสียเอง
สมกับคำที่ว่ากันว่าปัญหาของคนอื่นนั้นแก้ง่าย ปัญหาของตนเองนั้นแก้ยากนัก
เสียงฝีเท้าเร่งรีบจากด้านนอกดังขึ้นจนทุกคนเหลียวออกไปมอง ก็เห็นว่าเป็นปั้นฉินที่สวมเสื้อคลุมฝ่าลมหิมะกำลังวิ่งเข้ามา ด้านหลังของนางคือพ่อบ้านเฉาที่ท่าทางร้อนรนไม่ต่างจากกัน
“นายหญิง”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ปั้นฉินร้องตะโกนก่อนเข้าไปในห้อง ส่วนพ่อบ้านเฉานั้นหยุดยืนถามเหล่าผู้ติดตาม
“เรื่องมันยาวน่ะขอรับ…. อันที่จริงพวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…”
ปั้นฉินไม่ได้ยินเสียงผู้ติดตามที่อยู่ข้างนอกเลยแม้แต่นิด พอนางเข้าไปในห้องก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงกำลังกินข้าวอยู่
“นายหญิง” นางร้องตะโกน
เฉิงเจียวเหนียงวางชามและตะเกียบในมือลงก่อนจะยิ้มให้
รอยยิ้มนั้นทำให้น้ำตาของปั้นฉินไหลออกมาเป็นทาง
“นายหญิง เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” นางคุกเข่าลงเอ่ยสะอื้น “เหตุใดสีหน้าท่านถึงแย่เช่นนี้”
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับนัก ไม่มีอะไร” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ปั้นฉินมองนาง น้ำตาก็ไหลพรากออกมายิ่งกว่าเดิม
“นายหญิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำตานอง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นตระหนก “เหตุใดถึงได้เป็นลมไปอีกได้”
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าลงก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเมล็ดข้าวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
“วันหน้าจะไม่เป็นลมแล้ว” นางตอบ
วันหน้าจะไม่เป็นลมแล้วอย่างนั้นหรือ ก็เป็นเรื่องดีน่ะสิ แต่เหตุใดนายหญิงถึงได้ดูเศร้าโศกสิ้นหวังเช่นนั้น
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“เรื่องก็มีเพียงเท่านี้ ไม่พูดอะไรต่อจากนั้นอีก จู่ๆ นายหญิงก็เปลี่ยนไป”
“จะเป็นไปได้อย่างไร นายหญิงน่ะหรือจะตกใจเพราะถูกคนทักเรื่องโชคชะตาความเป็นความตาย”
ภายในห้องที่อยู่ข้างกัน พ่อบ้านเฉา ปั้นฉิน และเหล่าผู้ติดตามนั่งล้อมวงกัน ส่วนหญิงอีกสองนางก็ไปคอยเฝ้าเฉิงเจียวเหนียงฝึกซ้อมยิงธนู เหมือนดั่งที่ปั้นฉินเคยทำมาตลอด
เพียงแต่ไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ปั้นฉินยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา แม้จะอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ในใจของนางนั้นสัมผัสได้
หากบอกว่าแต่ก่อนนายหญิงเหมือนดังขอนไม้ที่ไร้หัวใจ แต่ยามนี้นางคือร่างที่ไร้วิญญาณ
เมื่อก่อนถึงแม้นางจะดูแข็งทื่อ แต่เพราะต้องการมีหัวใจ เพราะยังมีความรู้สึกนึกคิด นางจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่ยามนี้ความรู้สึกนึกคิดนั้นได้มอดไหม้ไปจนหมดสิ้น นางจึงเหมือนร่างไร้วิญญาณ
ปั้นฉินได้สติจึงเงยหน้าขึ้นมาในทันใด
ไม่ใช่ว่านายหญิงตามหาหัวใจมาตลอดหรอกหรือ หรือว่า… เพราะนางหาพบแล้ว
แต่ว่าหากหาเจอแล้วเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“…ตัวการคือเฉิงผิงผู้นั้น” พ่อบ้านเฉาขมวดคิ้วเอ่ย “นายหญิงพยายามตามหาเขามาโดยตลอด พอหาเจอแล้วถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้”
เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน
“ข้าจะไปถามเจ้าหมอนั่น”
พอเห็นเขาลุกยืนขึ้น ปั้นฉินก็ได้สติกลับมาอีกครั้งก่อนจะยืนขึ้นตาม
“ข้าไปด้วย” นางเอ่ย
ทั้งสองเดินออกจากห้อง ก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงเพิ่งกลับจากยิงธนูกำลังเดินเข้ามา เชือกที่มัดแขนเสื้อยังไม่ถูกปลดลงเสียด้วยซ้ำ นางเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า มือข้างหนึ่งถือคันธนู ส่วนอีกข้างหนึ่งถือลูกศร ใบหน้าของนางเรียบเฉย ไร้ซึ่งร่องรอยของท่าทางที่พวกเขาสาธยายกันเมื่อครู่
“เก็บของ พวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลย” นางเอ่ย
ปั้นฉินชะงักไปในทันใด
“เอ๊ะ เช่นนั้นข้าเป็นอิสระแล้วใช่หรือไม่”
เฉิงผิงที่อยู่อีกห้องหนึ่งชะโงกหน้าออกมาถาม
พอเห็นเขาที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เฉิงเจียวเหนียงก็หันหน้าหนีหลบสายตาอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้าค่ะ” นางก้มหน้าเอ่ย “เชิญ…ท่านตามสบายเถิด”
ท่านอย่างนั้นหรือ
พ่อบ้านเฉาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองเฉิงผิง
เฉิงผิงฉีกยิ้มกว้าง
“ท่านหรือ… ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น” เขายิ้มเอ่ย ขณะกำลังหันหลังกลับไป ทว่าเขานึกอะไรได้บางอย่างจึงชะโงกหน้าออกมาอีกครั้ง “นี่ เช่นนั้นช่วงก่อนที่คนตามตัวข้ากันเสียทั่วเมือง ก็คือเจ้าหรอกหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ารับ
“ขออภัยด้วย” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงรอให้เฉิงผิงเดินออกไปก่อน จากนั้นนางถึงจะก้าวเดินต่อ
“เก็บของเถิด” พ่อบ้านเฉาเอ่ย
เหล่าผู้ติดตามขานรับก่อนจะรีบแยกย้ายกันออกไป
“ไม่เหมือนเดิมจริงๆ เสียด้วย” พ่อบ้านเฉาถอนหายใจก่อนจะพูดกับปั้นฉิน
ปั้นฉินที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องชะงักฝีเท้าลง
“เจ้าเห็นหรือไม่ นายหญิงไม่กล้าสบตาเฉิงผิง” พ่อบ้านเฉาพูดต่อ “คนหนึ่งไม่กล้ามองหน้าอีกคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะความเคารพ ก็อาจจะเพราะความเกรงกลัว ทว่าทั้งสองอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางหญิงมาก่อน”
ยามอยู่เมืองหลวงแม้จะพบขุนนางอำมาตย์ตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด นางก็ไม่เคยให้ความเคารพนับถือ ยามพบเจอคนที่สามารถชี้นิ้วสั่งเป็นสั่งตายได้ นางก็ไม่เคยเกรงกลัว นางมองคนพวกนั้นด้วยสายตานิ่งเฉย นึกไม่ถึงเลยว่ายามต้องเผชิญหน้ากับใครที่ไหนก็ไม่รู้อย่างเฉิงผิง นางกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
หากจะบอกว่านายหญิงไม่ได้แปลกไป ก็คงแปลกแล้ว!
พอคิดได้ดังนั้น พ่อบ้านเฉาก็รีบก้าวเท้าเดินตามไป
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า! เหตุใดพวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีก”
เฉิงผิงที่ถูกคว้าแขนไว้ตะโกนโวยวาย
“นายหญิงของพวกเจ้าฉลาดถึงเพียงนั้น เหตุใดบ่าวอย่างพวกเจ้าถึงได้โง่แบบนี้”
เช่นนี้ยังไม่เรียกว่าแปลกอีกหรือ! แต่ไหนแต่ไรมาผู้คนต่างบอกว่านายหญิงเป็นเด็กบ้า แต่เขาคือคนแรกที่บอกว่านายหญิงเป็นคนฉลาด!
พ่อบ้านเฉาเขย่าตัวเขาไปมา
“รีบบอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่!” พ่อบ้านเฉาขมวดคิ้วตวาดลั่น
“ข้าเป็นใครพวกเจ้าก็ตามสืบจนรู้แจ้งแล้วมิใช่หรือ” เฉิงผิงตะโกน “ข้ามีอะไรต้องปิดปังกัน ข้าเป็นลูกหลานตระกูลเฉิง ภูมิใจในชาติตระกูลของตนเอง ไม่เห็นมีอะไรต้องปกปิด! คนโง่ที่ไหนก็ดูออก ข้าก็แค่เหมือนคนที่นายหญิงของเจ้ารู้จัก นางเลยถึงความทรงจำบางอย่างในอดีตได้กระมัง นายหญิงของเจ้าถึงขนาดมาขอโทษขอโพยข้าที่ทำให้เดือดร้อน พวกเจ้าก็ยังโง่คอยรังควานหาเรื่องข้าอยู่อีก!”
พ่อบ้านเฉิงถลึงตาใส่เขา ฟังจากคำพูดคำจาแล้ว เจ้าหมอนี่ก็ค่อยดูเหมือนคนตระกูลเฉิงขึ้นมาหน่อย
“พวกเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปก็แย่น่ะสิ นายหญิงของพวกเจ้าฉลาดเสียขนาดนั้น ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าพวกเจ้าโง่แค่ไหน…” เฉิงผิงเอ่ยเย้ยหยัน
พ่อบ้านเฉายกมือขึ้นมาตบปากเขา
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” พ่อบ้านเฉาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
หากแซ่เฉิงแล้วคิดว่าจะเก่งกาจเหมือนนายหญิงของเขาไปหมดหรืออย่างไร กล้าอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไร!
“ไสหัวไป ไสหัวไป ไสหัวไป”
เฉิงผิงส่งเสียงฮึดฮัด เขาจัดเสื้อผ้าก่อนจะเดินโซซัดโซเซออกไป
พ่อบ้านเฉายืนอยู่ที่เดิมมองดูเขาเดินหายไปบนท้องถนน เขาถอนหายใจก่อนจะหันหลังกลับมา ส่วนทางเฉิงเจียวเหนียงนั้นเก็บของเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังให้คนเตรียมรถม้าเพิ่มอีกสองคัน
“นายหญิงบอกว่าพวกท่านเดินทางมาทั้งคืนแล้ว คราวนี้อย่าได้ขี่ม้าอีกเลย นั่งรถม้ากันคนละคัน จะได้พักผ่อนระหว่างทาง” หญิงทั้งสองนางบอกกับเขา พูดจบก็เอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “คนจิตใจดีเมตตาอย่างนายหญิง ข้าเองก็เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก”
เป็นทั้งพระโพธิสัตว์ที่คอยเมตตา เป็นทั้งเกราะกำบังให้พึ่งพิง ช่างเป็นคนที่สูงส่งเกินเอื้อมถึง พ่อบ้านเฉาทอดถอนใจ ก่อนจะโค้งคำนับให้เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่บนรถม้าแล้ว
“นายหญิง”
ปั้นฉินแหวกม่านก้าวขึ้นมาบนรถ นางมองเฉิงเจียวเหนียงที่หลับตาโน้มกายค้ำกับโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
เฉิงเจียวเหนียงขานรับทว่าไม่ได้ลืมตาขึ้น
“นายหญิง ตามหาหัวใจเจอแล้วหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม
เฉิงเจียวเหนียงลืมตาขึ้น มองดูสาวใช้เบื้องหน้าก่อนจะยิ้มออกมา
ปั้นฉินน้ำตาไหลพราก
“นายหญิง” นางขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะเอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อของเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิงอย่างได้ทุกข์ใจไปเลยนะเจ้าคะ คนเราพอมีหัวใจแล้วก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ มีทั้งดีใจมีทั้งทุกข์ใจ นายหญิงคิดถึงแต่เรื่องที่มีความสุขเถิดนะเจ้าคะ ลืมเรื่องเศร้าโศกไปให้หมด เพียงแค่นั้นก็จะดีเองเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงเอื้อมมือไปตบเบาๆ บนหลังมือของนาง
“เจ้าไปพักผ่อนเถิด กลับไปข้ามีเรื่องให้เจ้าทำอีกหลายอย่างเลย” นางตอบ
หากเรื่องทุกข์ใจลืมได้ง่ายอย่างที่พูด เหตุใดบนโลกนี้ถึงยังมีคนที่ต้องทนทรมานอีกมากมาย หากไม่ใช่ความทุกข์ของตนเองจะพูดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ปั้นฉินกัดปากล่างก่อนจะคำนับลา
รถม้าแล่นโคลงเคลงออกไป สายลมโบกพัดม่านให้ปลิวขึ้น จนได้ยินเสียงโหวกเหวกจากด้านนอก
“พวกเจ้าก็กลับแล้วหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะแหวกม่านมองออกไป ก็เห็นว่าเฉิงผิงที่ยืนอยู่ริมถนนกำลังโบกไม้โบกมือมาทางพวกเขา
“นายหญิงขอรับ” ผู้ติดตามที่อยู่ข้างรถเอ่ยถามเสียงแผ่ว
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าก่อนจะลดม่านลง
รถม้าแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
นางไม่มีนาง ท่านบรรพบุรุษก็ยังคงทำเรื่องที่เขาอยากทำได้สำเร็จอยู่ดี นางไม่บังอาจและไม่มีปัญญาจะไปแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้…
ท่านบรรพบุรุษมีสิ่งที่ท่านต้องทำ มีเส้นทางที่ท่านต้องเดิน ส่วนนางเองก็มีสิ่งที่นางต้องทำ มีเส้นทางที่นางจะต้องเดิน นางเป็นเพียงแค่ชนรุ่นหลัง ทั้งยังไม่สลักสำคัญอันใดกับเขา
นางคือนาง แต่ก็ไม่ใช่ตัวนางเอง นี่คือความจริงที่หากผู้อื่นรู้เข้าอาจจะสติแตกไปก็เป็นได้ ทว่านางจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ทั้งยังต้องกลับมาคิดทบทวนให้ดีอีกว่า สิ่งที่นางต้องทำนั้นคืออะไรกันแน่
สิ่งที่เฉิงฝั่งผู้ตายแล้วเกิดใหม่คนนี้จะต้องทำคืออะไร