บทที่ 366 ครุ่นคิดยามค่ำคืน

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

ยามความมืดมิดของค่ำคืนเคลือบคลานเข้ามา ภายในห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยม เฉิงผิงที่ถูกมัดมือมัดเท้านั่งอยู่กับพื้น กำลังใช้ตัวกระแทกประตูไม่หยุด

“เฮ้ เฮ้” เขาตะโกนอย่างไร้เรี่ยวแรงผ่านซอกประตู “ข้าไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ นะ นายหญิงของพวกเจ้าฟื้นแล้วหรือไม่ รอนางฟื้นขึ้นพวกเจ้าลองถามดูก็ย่อมได้ นางต้องพูดเหมือนข้าแน่นอน…”

ไม่มีเสียงผู้ใดตอบกลับจากนอกประตู แต่ใช่ว่าไม่มีผู้ใดอยู่ตรงนั้น เพราะเฉิงผิงยังคงได้ยินเสียงหายใจเข้าออกของคน

“นี่ เช่นนั้นพวกเจ้าหาอะไรให้ข้ากินก่อนไม่ได้หรือ” เขาเอ่ย

แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสนใจ

เฉิงผิงทำได้เพียงกระถดกายที่ถูกมัดให้หันหลังกลับมา เขาหันหลังให้ประตูนั่งทอดสายตามองภายในห้อง

นี่เป็นห้องพักหนึ่งในโรงเตี๊ยม อาจเป็นเพราะเพื่อความสะดวกแก่นายหญิงในการเรียกพบเขา เขาจึงไม่ได้ถูกจับมัดขังไว้ในคอกม้าหรือห้องเก็บฟืนเช่นนั้น

ภายในห้องตกแต่งอย่างสวยงาม อบอุ่นเหมือนดั่งฤดูไม่ได้ผลิ บนโต๊ะมีกาน้ำชาตั้งอยู่

ยังดีที่ไม่ต้องทนหนาว เฉิงผิงขยับตัวเข้าไปใกล้โต๊ะ ก่อนจะงับปากของกาน้ำชาเพื่อลองลิ้มรส ทว่าเพราะเคลื่อนไหวไม่ถนัดนักจึงเกือบสำลักออกมา แม้น้ำชาจะหกเลอะไปทั่วกาย แต่เขากลับหัวเราะพลางเอ่ยชมไม่หยุดปาก

“ไม่เลว ไม่เลว ชาดี” เขาเอ่ยก่อนจะคาบขึ้นมาแล้วดื่มต่อ

หากเทียบกับเขาที่กำลังมีความสุขอยู่กับตัวเองนั้น อีกฟากหนึ่งของประตู หญิงทั้งสองนางกลับสีหน้าร้อนรนพลางยกยาเดินเข้ามา

ผู้ติดตามสองคนที่เฝ้าเวรอยู่หน้าประตูก็สีหน้าเป็นกังวลไม่แพ้กัน

“เป็นอย่างไรบ้าง ฟื้นแล้วหรือยัง” หญิงทั้งสองเอ่ยถาม

ผู้ติดตามส่ายหน้า

“ให้คนออกไปตามหมอแล้ว แล้วก็ให้คนไปส่งข่าวที่บ้านแล้วด้วย” พวกเขาตอบ

“พวกเจ้าลงไม้ลงมือแรงไปหรือเปล่า” แม่นางซี่ถาม

ผู้ติดตามคนหนึ่งสีหน้ากระอักกระอ่วน

หรืออาจเป็นเพราะตื่นตระหนกจนพลั้งมือไปจริงๆ รุนแรงเสียจนยามนี้นายหญิงก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาอย่างนั้นหรือ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

หญิงทั้งสองถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ได้ซักไซ้ผู้ติดตามต่อ เพราะตอนนั้นเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ พวกนางเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง

หญิงสาวยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังม่าน

“แม่นางสาม แบบนี้จะกินยาได้อย่างไร” แม่นางซี่กระซิบถาม

แม่นางสามถอนหายใจอย่างจนปัญญา

“หมอบอกแล้วว่าไม่เป็นไร รอฟื้นขึ้นมาค่อยให้กินยา หากยังไม่ฟื้นก็ยังไม่ต้องกิน ขืนสำลักขึ้นมาคงไม่ดีแน่” นางเอ่ย

หญิงสาวทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นสบตากันด้วยความเศร้าโศก

เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้… ยังดีๆ อยู่แท้ๆ…

“ต้องโทษเจ้านักต้มตุ๋นนั่น” แม่นางซี่เอ่ยแผ่วเบาน้ำเสียงขุ่นเคือง “พูดออกมาได้อย่างไรว่าเป็นคนชะตาขาด ดูตอนนี้สิ…”

ทว่าว่านางสามกลับนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

“เจ้าว่า มีบางอย่างผิดแปลกหรือไม่…” นางกดเสียงให้เบาลงแล้วเอ่ยขึ้น

แม่นางซี่มองนางอย่างงุนงง

“นาง… เป็นบ้า ยามนางเป็นเด็ก… แล้วเจ้าดูยามนี้สิ เหมือนคนบ้าหรือไม่” แม่นางสามเอ่ยเสียงเบา

แม่นางซี่ส่ายหน้า ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือว่ากิริยาท่าทางการพูดจาล้วนแต่ไม่เหมือนเลยสักนิด เหมือนคนบ้าตรงไหน หากเป็นคนบ้าจริง แล้วพวกนางและคนอื่นๆ เล่าจะเรียกว่าอะไร

“ได้ยินมาว่าหายดีแล้วไม่ใช่หรือ” นางเอ่ยขึ้น

“คนเป็นบ้าจะหายดีได้ด้วยหรือ” แม่นางสามเอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางเหลียวซ้ายแลขวา “คงไม่ใช่ว่าถูกวิญญาณสิงร่างหรอกกระมัง… ข้าได้ยินมาว่าวิญญาณเวลาถูกคนทักจะตกใจจนหนีเตลิดไป หนีเตลิดไปแล้ว คนคนนั้นก็จะตาย… เจ้าดูสิตอนกลางวันนางเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่างมิปาน…”

นางไม่ทันพูดจบ แม่นางซี่ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ก่อนจะยื่นมือไปผลักนาง

“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า! เหลวไหลทั้งนั้น!” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ

แม่นางสามรีบเก็บเสียงไม่พูดอันใดต่อ

ทั้งสองเงียบไปครู่ใหญ่ ภายในห้องค่อนข้างมืด สายลมที่ลอดผ่านซอกหน้าต่างเข้ามาส่งเสียงหวีดหวิว ยิ่งทำให้ขนลุกเกลียวไปทั้งตัว

“จุด… จุดตะเกียง” แม่นางสามเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

แม่นางซี่รีบจุดตะเกียง ตะเกียงหลายดวงถูกจุดจนสว่างไสว ภายในห้องเริ่มอบอุ่นขึ้นมา ทั้งสองจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาอย่างอดไม่ได้

“หมอมาแล้ว” ผู้ติดตามที่อยู่หน้าประตูเอ่ยขึ้น

ทั้งสองรีบลุกขึ้นในทันใด มองดูผู้เฒ่าสะพายกระเป๋ายาเดินเข้ามา

พอคนเยอะขึ้น หญิงทั้งสองก็จึงจำต้องออกไปจากห้องแม้จะร้อนใจอยู่ไม่น้อย ทว่าขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็มีเสียงของหญิงสาวลอยออกมาจากในห้อง

“ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่เป็นอะไร”

เสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน พาลทำให้แม่นางสามที่ถือตะเกียงส่องทางอยู่ในมือตกใจจนกรีดร้องออกมา

คนอื่นเองก็ตกใจกับเสียงร้องของนาง ผู้ติดตามที่อยู่ด้านนอกไม่สนใจเรื่องชายหญิงมิอาจร่วมห้องอีกต่อไป ก่อนจะพรวดพราดเข้ามา

“นายหญิง นายหญิง เป็นความผิดของข้าเอง”

หญิงทั้งสองนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นก่อนจะคำนับหัวจรดพื้น

ที่แท้นายหญิงฟื้นตั้งนานแล้ว เช่นนั้นนางก็ต้องได้ยินเรื่องที่พวกนางคุยกันน่ะสิ…

โง่เขลาแท้ พูดถึงผู้อื่นลับหลังยังจะกลัวคนจับได้อีกหรือ สู้สารภาพต่อหน้าตั้งแต่ตอนนี้เสียไม่ดีกว่าหรือ…

“ไม่เป็นไร อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ข้าเองก็…กลัว จึงข้าคิดเอาเองว่าหากมีคนเข้ามาค่อยพูดก็แล้วกัน นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้พวกเจ้าตกใจถึงเพียงนี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

มีผู้ใดกลัวตัวเองกัน…

เช่นนี้ยิ่งทำให้คนอื่นกลัวไปใหญ่…

สีหน้าของทั้งสองที่คำนับอยู่ตรงหน้ายิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่

“นายหญิง อย่าได้ฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้านักต้มตุ๋นนั่น ท่านต้องไม่เป็นอะไรไปแน่นอนเจ้าค่ะ เจ้านั่นก็แค่พูดเพ้อเจ้อหลอกหากินไปวันๆ…” พวกนางรีบเอ่ยขึ้น

เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า มองไปที่พวกนาง

“พวกเจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่างหนึ่งได้หรือไม่” นางเอ่ย

หญิงทั้งสองยิ้มแย้มขึ้นมาในทันใด พวกนางไม่ถูกไล่ตะเพิดออกไป แถมยังเรียกใช้พวกนางอีก นายหญิงช่างมีเมตตาแท้

“เอาเงินนี่ไปซื้อหนังสือพวกนั้นมาที” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “หนังสืออะไรก็ได้ ยิ่งเยอะยิ่งดี”

หนังสือหรือ ตอนนี้น่ะหรือ

แม้ทั้งสองจะตกใจไม่น้อย แต่ก็ขานรับคำในทันที

เสียงฝีเท้าบนโถงทางเดินปลุกเฉิงผิงที่กำลังงัวเงียให้ตื่นขึ้นมาในทันที

“ตรงนั้น… เอาวางไว้ตรงนั้น…”

เสียงวางของกระแทกพื้นดังขึ้นตามหลังเสียงพูดนั้น

“พวกเจ้าระวังหน่อย…”

ทำอะไรกันอยู่นะ

เฉิงผิงรีบขยับตัวไปใกล้ประตู ดวงตาข้างหนึ่งมองออกไปนอกประตู บนโถงทางเดินมีบ่าวสองคนกำลังเดินก้าวฉับไปมา ในมือของพวกเขาแต่ละคนต่างหอบหนังสือม้วนหนาอยู่มากมาย

หนังสือหรือ

ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดถึงมีหนังสือมาส่งมากมาย

“บนรถข้างนอกยังมีอีกหรือไม่” เสียงของหญิงนางหนึ่งถามขึ้น

“ยังมีขอรับ เอาทั้งหมดจริงๆ หรือ นายหญิงจะอ่านหมดหรือ”

นายหญิงอย่างนั้นหรือ

เฉิงผิงดีใจยิ่งนัก แม่นางผู้นั้นฟื้นแล้ว!

“นี่ นี่” เขาใช้หัวไหล่กระแทกประตู “ปล่อยข้าได้หรือยัง”

เขาตะโกนอยู่สองสามครั้งก็มีคนเดินเข้ามา ทว่ากลับไม่มีใครเปิดประตู

“ปล่อยเจ้าอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงขุ่นเคืองของชายหนุ่มดังขึ้น “เจ้ารอก่อนเถิด รอนายหญิงจัดการธุระเสร็จแล้วค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า!”

กลางดึกเช่นนี้มีธุระอะไรกัน

เฉิงผิงมองผ่านซอกประตูออกไปข้างนอก ยามค่ำคืนมืดมิด แต่ไฟของโถงทางเดินยังส่องแสงสลัว

ช่างเถิด หลับก่อนดีกว่า ตื่นมาแล้วค่อยว่ากัน

ยามทิศตะวันออกเริ่มสว่างรำไร หญิงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ลืมตาตื่นขึ้น มองไปยังหญิงอีกนางที่นอนห่มผ้าหลับสนิทอยู่บนเบาะฝั่งตรงข้าม

ฟ้าใกล้จะสางแล้ว หญิงผู้นั้นถอนหายใจออกมา ก่อนจะบีบนวดบ่าแล้วยืดหลังตรง นางมองเข้าไปในห้อง

ประตูห้องเปิดอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นหญิงสาวที่อยู่ภายในกำลังนั่งหลังเหยียดตรง

นั่งอยู่อย่างนั้นหรือ!

หญิงผู้นั้นตกใจจนตื่นเต็มตา นี่นางนั่งอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืนเลยหรือ

ตะเกียงภายในห้องยังคงจุดอยู่ หนังสือที่ซื้อมาแทบกองล้นห้องเมื่อคืน บัดนี้กระจัดกระจายอยู่บนพื้นบ้าง บนโต๊ะบ้าง ท่ามกลางแม่นางที่นั่งหลังตรงอยู่

นางไม่ได้เปิดพลิกอ่านหนังสือ ที่วางอยู่ด้านหน้าคงเป็นหนังสือที่อ่านเมื่อคืน ส่วนเล่มอื่นยังคงตั้งอยู่ที่เดิม

ท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังส่องสว่างบนฟ้า แสงเทียนที่เคยสว่างไสวเริ่มดูมืดสลัว ภายในห้องมีเพียงแสงรำไร เหมือนดั่งใบหน้าของหญิงสาวในห้องที่ดูหม่นหมองลงเรื่อยๆ

หญิงนางนั้นยกมือขึ้นกุมอกอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกราวกับมีบางสิ่งอัดแน่นอยู่ข้างใน

ที่แท้ความทรมานยามที่หญิงสาวผู้นั้นเดินก้าวฉับออกไป ร้องไห้น้ำตานองหน้าทว่าไร้เสียง ก่อนล้มลงกับพื้นกรีดร้องเสียงแหบแห้งนั้น เทียบไม่ได้เลยกับยามที่นางนั่งนิ่งอยู่ในตอนนี้

ความทรมานที่แท้จริงคือยามที่หัวใจไร้ความรู้สึกเช่นนี้กระมัง

เป็นเพราะเจ้านักต้มตุ๋นนั่น นางถึงได้เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ

สามร้อยปี…

เวลาบนโลกมนุษย์แห่งนี้ผ่านไปไวชั่วพริบตาดั่งยามม้าควบผ่าน

นางตายแล้วเกิดใหม่ ข้ามกาลเวลามากว่าสามร้อยปีเชียวหรือ

รัชศกต้าโจวคุนหยวนที่หก

เฉิงเจียวเหนียงมองดูหนังสือที่เปิดอยู่ ก่อนจะยื่นมือสัมผัสคำที่แปลกตานั้น

รู้สึกทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกใหม่

คุ้นเคยเพราะเรื่องราวในสมัยนั้นอยู่ในความทรงจำของนาง แปลกใหม่คือความรู้สึกของนางในตอนนี้ เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องราวที่เคยได้อ่านในหนังสือ ไม่ใช่ตำราล้ำค่าที่ถูกวางไว้บนชั้นหนังสือ

ราชวงศ์ต้าโจว รัชสมัยฮ่องเต้คุนหยวนปีที่หก ในยามนั้นเพิ่งจะก่อตั้งราชวงศ์ได้เจ็ดสิบกว่าปี ทว่าตอนนี้คือรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ที่สี่แล้ว และที่ที่นางเคยอยู่ เชื้อสายของราชวงศ์ต้าโจวก็ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว ส่วนฮ่องเต้หนุ่มองค์สุดท้ายของราชวงศ์ต้าชิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็ล้มป่วยจนอย่างกะทันหันจนไม่อาจรวบรวมแผ่นดินไว้เป็นหนึ่งเดียวได้ อักษรสองตัวที่เขียนว่า ‘ต้าเหลียง’ บนธงผ้าผืนใหญ่ที่เคยโบกสูงท่ามกลางเพลิงสงคราม ยามนี้หลงเหลือไว้เพียงเศษซากบนกำแพง

เฉิงเจียวเหนียงหักนิ้วนับ นั่นเป็นเรื่องหลังจากนั้นสองร้อยเก้าสิบสี่ปี นั่นคือยามที่ตระกูลเฉิงของนางล่มสลาย

เฉิงเจียวเหนียงวางมือลงบนโต๊ะ เรียวนิ้วยาวซีดขาวเพราะแรงกด

นึกไม่ถึงเลยว่า ตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจวจะต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้ ทั้งยังเกิดขึ้นหลังจากที่ช่วยตระกูลหยางทำศึกเพียงสิบปี ทั้งยังเป็นยามที่…ที่….

‘อาฝั่ง! เสด็จพ่อสละบัลลังก์แล้ว สำนักโหรหลวงก็ได้ฤกษ์วันรับตำแหน่งของเจ้ากับข้าแล้ว!’

‘ยินดีกับฝ่าบาทพะย่ะค่ะ ยินดีกับฮองเฮาด้วยพะย่ะค่ะ’

เฉิงเจียวเหนียงค้ำโต๊ะไว้ก่อนจะหัวเราะไร้เสียง

น่าขันนัก น่าขันนัก

คนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดคือคนรัวธนูใส่นางจนแทบกลายเป็นเม่น ทั้งยังไปคนที่ควักหัวใจนางออกมาด้วยมือของตัวเอง

น่าขันนัก น่าขันนัก

ฮ่องเต้องค์ที่สี่แห่งราชวงศ์ต้าเหลียง หยางซ่าน!

ราชวงศ์ต้าเหลียง ตระกูลหยาง!

ว่ากันว่าคนเราพอหมดประโยชน์แล้วก็ถูกเขี่ยทิ้ง ทว่าตระกูลหยางแห่งราวงศ์ต้าเหลียงเพิ่งจะนั่งครองบัลลังก์ได้ไม่กี่วัน เหตุใดถึงได้หันคมมีดมาทางตระกูลเฉิงแล้วเล่า

ราชวงศ์เพิ่งก่อตั้ง บ้านเมืองเพิ่งสงบสุข เพิ่งตบรางวัล เพิ่งเลื่อนตำแหน่ง เหตุใดถึงได้หันคมมีดมาทางตระกูลเฉิงแล้วเล่า

หลายร้อยปีราชวงศ์ผลัดเปลี่ยน ทว่าไม่ได้มีผลใดกับตระกูลเฉิงแห่งเจียงโจวเลยแม้แต่น้อย ตระกูลขุนนางผู้ยิ่งใหญ่อันเลื่องชื่อ เป็นที่เคารพนับถือของฮ่องเต้มาโดยตลอด บรรพบุรุษที่สืบทอดตำแหน่งโหรหลวงจากรุ่นสู่รุ่น พยากรณ์ฟ้าดิน จดบันทึกประวัติศาสตร์พงศาวดาร นี่คือตระกูลโจวแห่งเจียงโจวที่ชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ตำแหน่งที่สืบทอดกันมายาวนานตระกูลโจวผู้ยิ่งใหญ่

ตระกูลโจวที่อยู่ยงมากว่าร้อยปีต้องมาสูญสิ้นเช่นนี้หรือ!

ฆ่าล้างตระกูล ไม่เหลือแม้แต่หมาแมว มอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า!

ธงถูกเผา หัวใจถูกคว้านออกมา คนทั้งเป็นถูกต้มในหม้อทองเหลือง กลืนกินทั้งจิตวิญญาณไม่ให้หลงเหลือ สิ้นแล้วทั้งความดีความชั่วที่เคยได้ทำมา

สูญสิ้นแล้ว! สูญสิ้นแล้ว! สูญสิ้นแล้วทุกสิ่ง!

สูญสิ้นแล้วตระกูลเฉิง! สูญสิ้นแล้วตระกูลเฉิง!

เฉิงเจียวเหนียงลุกยืนขึ้นในทันใด หญิงที่เฝ้ามองนางอย่างเป็นกังวลพาลสะดุ้งตกใจ

“นายหญิง…” นางร้องตะโกน

เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้เหลียวไปนางแต่อย่างใด ก่อนจะก้าวฉับออกมาไปข้างนอก

“เขาอยู่ที่ใด” นางเอ่ยถาม “เขาอยู่ที่ใด”

เขาอย่างนั้นหรือ

หญิงที่ถูกถามชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติขึ้นมาในทันใด

“เจ้านักต้มตุ๋นนั่นหรือเจ้าคะ อยู่ห้องถัดไปเจ้าค่ะ” นางตอบในทันที

เมื่อสิ้นเสียงประตูก็ถูกเปิดออก หญิงที่นอนหลับอยู่บนพื้นก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด ดวงตาพร่ามัวมองเห็นเพียงชายกระโปรงที่ผ่านไปเบื้องหน้า

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” นางตื่นเต็มตาแล้วลุกขึ้นนั่นในทันใด

หญิงอีกนางไม่ทันใดสนใจก่อนจะรีบตามเฉิงเจียวเหนียงไป

“นายหญิง!” เหล่าผู้ติดตามที่อยู่บนโถงทางเดินร้องออกมาอย่างตกใจที่เห็นเฉิงเจียวเหนียง ก่อนยืนเหยียดตัวตรง

“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ข้าแค่เดินเล่น” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

เดินเล่นอีกแล้วหรือ

ทุกคนใบหน้าซีดเผือด กลางดึกเช่นนี้น่ะหรือ…

ขณะที่กำลังคิดว่าจะห้ามนางอย่างไร เฉิงเจียวเหนียงก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูของห้องที่อยู่ถัดกัน ก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตูออก

ภายในห้องนั้นมืดมิด แสงของโถงทางเดินที่สาดส่องเข้ามา ทำให้มองเห็นชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงกรนแผ่วเบาดังไปทั่วห้อง

หญิงทั้งสองที่ตามมาถือตะเกียงเข้ามา ก่อนจะจุดตะเกียงดวงอื่นในห้อง

เสียงโครมครามทำให้เฉิงผิงตื่นขึ้นมา แสงสว่างแยงตาจนเขาจนต้องรีบปิดตา ทว่าพอยกมือขึ้นก็ถึงได้รู้ว่าทั้งมือและเท้าของเขายังถูกมัดไว้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“จะทำอะไรกันอีกหรือ…” เขาเอ่ยพลางอ้าปากหาวหวอด

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็มีคนคุกเข่าก้มหัวจรดพื้นอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะมีเสียงสั่นเครือดังขึ้นตามมา

“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”

เสียงของเฉิงเจียวเหนียงที่สั่นเครือในตอนแรกกลายเป็นเสียงสะอื้น ก่อนที่นางจะนอนหมอบร้องไห้ฟูมฟายน้ำตานองหน้า

ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ท่านบรรพบุรุษ ข้ามันไร้ความสามารถ สูญสิ้นแล้วตระกูลเฉิง สูญสิ้นแล้วตระกูลเฉิง