อีริสตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก แค่เฮกซ่าเพียงตัวเดียวนางก็กลัวจะตายอยู่แล้ว แต่กลับพบว่าชายที่จับนางลากมาก็เป็นปีศาจเช่นกัน

ระหว่างนั้น เฮกซ่าก็กระพือปีกบินขึ้น และพยายามใช้เท้าที่มีกรงเล็บแหลมจิกนาง

“อ๊ากกก!”

ดินถูกขุดเจาะ เลือดที่เจิ่งนอนสาดกระเซ็นขึ้นมาพร้อมกับเศษดิน เวลาเดียวกับที่ท้องฟ้าและแผ่นดินพลิกกลับ วินาทีต่อมา อีริสถึงได้รู้ว่าตนกำลังลอยอยู่บนฟ้า

“กร๊าซซซ!”

อีริสตกใจที่ร่างกายลอยขึ้นชั่วครู่ และทันทีที่รู้สึกถึงความหวาดเสียวจนเหมือนหัวใจจะร่วงหล่นลงไปฉับพลัน อีริสก็ตะเกียกตะกายและดึงชายที่กอดตนเข้ามากอด ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ออกแรงกอดนางอย่างระมัดระวัง ก่อนเอ่ยกระซิบ

“ไม่เป็นไร เจ้ากลัวหรือ?”

น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้อีริสน้ำตาคลอ มือของนางจับชายเสื้อของชายหนุ่มแน่นขึ้น

แอสรันกัดฟัน

‘ไอ้เวร’

กำปั้นของเขากระแทกเข้าไปที่เท้าขนาดใหญ่ของเฮกซ่าที่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น เสียงที่ราวกับหินแตกก็ดังขึ้นพร้อมกับเท้าของเฮกซ่าที่หักไปในทิศทางแปลกประหลาด

ปีศาจตัวอื่นๆ ที่เฮกซ่าเรียกมาตามติดเขาตั้งแต่เช้าจนผิดปกติ ขณะที่สู้กับพวกนั้น ไม่นานแอสรันก็ตระหนักได้ว่าเฮกซ่าได้เบี่ยงความสนใจของเขา และบินไปที่อื่นแล้ว

เขาไล่ตามมาทันที แล้วก็พบว่าเฮกซ่ากับปีศาจขนาดเล็กตัวอื่นๆ ที่มันเรียกมากำลังทำลายหมู่บ้านขนาดเล็กในหุบเขาสักแห่งอยู่ ชั่วขณะที่มาถึงหมู่บ้าน แอสรันก็สัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์และร่องรอยของเวทมนตร์ของตน

ทั้งที่เป็นพลังที่เป็นขั้วตรงข้ามกับเขา แต่เมื่อพบร่องรอยของพลังที่เขาหวงแหนมาโดยตลอด สติของแอสรันหลุดลอยออกไปอีกครั้ง

นักบุญหญิงอยู่ที่นี่

สัญชาตญาณของปีศาจร่ำร้องเสียงดังอยู่ภายในตัวเขา มันกล้ายุ่งกับนักบุญหญิง เขาจะต้องฉีกไอ้ตัวต่ำต้อยนั่นให้เป็นชิ้นๆ จนมันตาย ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมนักบุญหญิงถึงอยู่ที่นี่ไว้ค่อยคิดทีหลัง

มือข้างที่ยังเป็นอิสระของแอสรันคว้าปลายปีกของเฮกซ่าตกลงสู่พื้น นกขนาดเท่าภูเขากับแขนที่ใหญ่กว่าแขนมนุษย์เล็กน้อย ทว่าในเวลาต่อมา เสียงถลกหนังก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ปีกของเฮกซ่าฉีกขาดและถูกเขวี้ยงไปกลางอากาศ

กร๊าซซซ!

เฮกซ่ากรีดร้องพร้อมกับกระพือปีกที่เหลืออยู่ ปีศาจบินส่ายไปส่ายมาบนท้องฟ้า ก่อนเริ่มบินหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง แอสรันที่ตั้งใจจะตามเฮกซ่าไปเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนกอดอะไรบางอย่างอยู่

‘นักบุญหญิง’

การจับเฮกซ่ามาฆ่าสำคัญก็จริง แต่การให้ความปลอดภัยกับนางสำคัญยิ่งกว่า แอสรันละทิ้งการไล่ตามเฮกซ่าแล้วลงพื้น จากนั้นวางนางที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างล้ำค่า ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่…

หลังจากเห็นคนที่ตนวางลง แอสรันก็เบิกตากว้าง จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

“…นี่อะไรกัน”

หญิงสาวที่ตัวสั่นเทาผู้นี้ไม่ใช่นักบุญหญิงของเขา

***

“ท่านนักบุญหญิง!”

ได้ยินเสียงนั้น ฉันพลันรู้สึกเหมือนเลือดทั้งร่างกำลังไหลออกมา ใต้ฝ่าเท้าแตกออก หัวใจร่วงหล่นลง เบื้องหน้าพลันดำมืดขณะเดียวกับที่อยากทรุดลงไปนั่ง พระเจ้าช่วย ใคร ใครจำฉัน…

“ท่านนักบุญหญิงมาแล้ว”

“ท่านนักบุญหญิงคนใหม่มาที่นี่!”

“…?”

ผู้คนวิ่งผ่านฉันที่ยืนเหม่อลอยอยู่ไป ฉันค่อยๆ หมุนตัวกลับไปมองด้านหลัง จากนั้นก็หลุดพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“…นั่นอะไรกัน”

สิ่งที่ฉันเห็นคือรถม้าหรูหราที่กำลังเคลื่อนผ่านไปด้วยความเร็วที่ช้ายิ่งกว่าการเดิน

แม้จะประดับด้วยดอกไม้สวยสด ของตกแต่งที่เป็นประกายวิบวับ และถูกทาสีใหม่จนดูหรูหรา แต่ของสิ่งนั้นจะต้องเคยเป็นเกวียนม้าไม่ผิดแน่ เพราะคงไม่มีรถม้าที่ไหนที่ไม่มีผนังรถ ไม่มีหลังคาและมีเพียงเก้าอี้สำหรับคนผู้เดียวเช่นนั้น บนเก้าอี้ที่อยู่บนรถม้ามีหญิงสาวอ่อนเยาว์คนหนึ่งนั่งอยู่ แค่มองดูก็รู้ได้ว่าเสื้อที่หญิงผู้นั้นสวมใส่เลียนแบบสิ่งใด ผ้าปักลวดลายอันซับซ้อนซึ่งถูกเย็บด้วยด้ายสีทองและสีขาวบริสุทธิ์โดยไม่มีแม้แต่ไรฝุ่น

“ชุดเครื่องแบบของนักบุญหญิง…”

เสื้อที่หญิงสาวใส่เป็นของที่ทำขึ้นตามเสื้อที่ฉันใส่อยู่ทุกวี่วัน เสียงกระซิบกระซาบของคนด้านข้างดังขึ้น

“คนผู้นั้นคือนักบุญหญิงที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ในคราวนี้หรือ?”

“น่าจะใช่ เห็นว่าท่านรักษาหลายร้อยคนที่ถูกพิษปีศาจที่ทรีออนได้ในคราวเดียว!”

“โห นั่นเยอะมากเลยนะ งั้นพวกเราก็ไปดูกันด้วยเถิด โอกาสที่จะได้เห็นท่านนักบุญหญิงตัวจริงไม่ได้มีมาบ่อยๆ นี่นา?”

ระหว่างนั้นเอง หญิงสาวก็ลุกขึ้นและยื่นมือออกมาหาผู้คน ทันใดนั้นปลายนิ้วของนางพลันมีพลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามมารวมตัวกัน

“พลังศักดิ์สิทธิ์!”

“นั่นคือท่านนักบุญหญิง”

ทันทีที่ผู้คนเห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็คุกเข่า บ้างก็ถอดหมวก แล้วก้มศรีษะให้ ท่ามกลางฝูงชนยังมีบางคนที่หลั่งน้ำตาแล้วด้วยเช่นกัน

แม้จะเคยเห็นความเชื่ออันบ้าคลั่งของผู้คนในวิหารหลวงมาแล้ว แต่ดูเหมือนความเชื่อของคนที่นี่จะยิ่งรุนแรงมากกว่า

‘…เพราะเป็นสถานที่ที่อันตรายกว่า’

สถานที่ที่ปีศาจปรากฏตัวบ่อยครั้งซึ่งไม่อาจเทียบได้กับวิหารหลวงที่เป็นดินแดนอันปลอดภัยอย่างยิ่ง ณ ที่แห่งนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังอันยิ่งใหญ่เพียงสิ่งเดียวที่ปกป้องพวกเขาได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะดิ้นรนกันถึงเพียงนั้น

‘ด้วยเหตุนั้นอีเบลลีน่าถึงยังได้อยู่ในตำแหน่งนักบุญหญิงได้’

ไม่ว่านางจะก่อเรื่องเลวร้ายมากมายเพียงใด ผู้คนก็ทำอะไรกับนางไม่ได้ เพราะไม่มีใครมาแทนที่พลังที่นางครอบครองได้ อีกทั้งนางยังเป็นการดำรงอยู่ที่ช่วยทำให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตต่อไปบนแผ่นดินนี้ได้

ฉันจ้องหญิงสาวอีกครั้ง แม้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่นางแสดงให้ดูจะไม่ได้มีปริมาณมหาศาลเหมือนดั่งที่ฉันครอบครอง แต่อย่างน้อยก็เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับของนักบวชระดับกลาง ทว่านักบุญหญิงหรือนักบวชระดับสูงก็ไม่ได้ดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้เสมอ ดังนั้นในสายตาของคนที่ไม่รู้ พลังของหญิงสาวจึงดูแข็งแกร่งไม่ต่างจากนักบุญหญิงหรือนักบวชระดับสูง

‘ดูสิ’

แม้คนอื่นจะมองไม่เห็น แต่ฉันเห็นว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่วนอยู่ปลายนิ้วของหญิงสาวเชื่อมอยู่กับที่อื่นอย่างบางเบา ใช้สายตามองตามมันไปก็พบว่าปลายทางคือคนคุมบังเหียนม้า พลังศักดิ์สิทธิ์ของหญิงสาวมาจากเขา

‘เป็นคนที่เคยเป็นนักบวชมาก่อนเหรอ’

ฉันเข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ในสถานที่ห่างไกลจากวิหารหลวงมีบางคราวที่มีนักบุญหญิงตัวปลอมปรากฏตัวขึ้น นักบุญหญิงที่ปรากฏตัวขึ้นคนใหม่ยังไม่ได้เปิดเผยกับผู้คนมากนักว่าคือใคร ดังนั้นนี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะดำเนินการ

คนคุมบังเหียนม้าซึ่งเป็นเจ้าของพลังศักดิ์สิทธิ์ตะโกนใส่ผู้คน

“คนที่อยากปลอดภัยจากปีศาจให้ตามท่านนักบุญหญิงมา!”

ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็เริ่มเดินตามรถม้า ฉันมองนักบุญหญิงตัวปลอมที่ไกลออกไป แล้วหมุนตัวกลับ ความรักและความชื่นชอบที่ทุกคนมีให้นางเคยเป็นของอีเบลลีน่ามาก่อน เมื่อเห็นความรู้สึกของผู้คนที่มีให้คนอื่น และในอนาคตจะมีให้อีริส ไม่รู้ทำไมฉันถึงไม่อาจลบความรู้สึกฝาดเฝื่อนออกไปได้เลย

***

“นี่อะไรกัน”

ได้ยินดังนั้น อีริสก็สะดุ้งเฮือกแล้วกลั้นหายใจ แค่เป็นปีศาจที่อยู่ในร่างมนุษย์ก็กลัวจะตายแล้ว แต่นี่เขายังทุบเฮกซ่าด้วยกำปั้นไม่ยั้ง และถลกปีกมันได้ ตอนที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นก็พานางบินหนีราวกับมาช่วย แต่ตอนนี้กลับใช้สายตาไม่ต่างกับมองก้อนหินริมทาง

‘แล้วทำไมเมื่อครู่ก่อนถึงช่วยข้าเล่า’

ในตอนที่อีริสยังไม่อาจขยับเขยื้อน แอสรันก็พิจารณาดูนาง ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าทำไมตนถึงได้คิดว่านางคือนักบุญหญิง หญิงผู้นี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับนักบุญหญิง เขาเอื้อมมือออกไปคว้าคออีริสแล้วยกขึ้นอย่างไม่ลังเล

“แค่ก! แค่ก!”

แอสรันมองอีริสที่ดิ้นตะเกียกตะกายราวกับขอความช่วยเหลือพลางบ่นพึมพำ

“ถ้าฆ่ามันแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์จะกลับไปที่เดิมไหม…?”

ได้ยินดังนั้น อีริสก็ยิ่งดิ้นแรงกว่าเดิม

แอสรันกำลังเคร่งเครียด เขาคิดว่ามันจะอยู่ในรูปของพลังงาน แต่พลังศักดิ์สิทธิ์กลับหาร่างเข้าไปใหม่ ภายในหัวของเขายุ่งเหยิง หากว่าฆ่าเจ้าสิ่งนี้แล้วพลังหวนกลับไปก็ดี แต่ถ้าหากว่าไม่ล่ะ? ถ้าพลังศักดิ์สิทธิ์สลายหายไปเลยโดยที่ไม่กลับไปหานางแล้วจะทำอย่างไร

‘หาก็หาเจอแล้ว ควรจะพากลับไปยังวิหารหลวงก่อน’

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดว่าพากลับไปทั้งอย่างนี้เลยได้ไหม ใบหน้าของแอสรันก็พลันบิดเบี้ยว

‘ไอ้เจ้าเฮกซ่าคงไม่มีทางอยู่เฉยแน่’

เฮกซ่าเติบโตขึ้นจากการดูดซับเวทมนตร์ที่เขาทอดแหไว้ มันถึงกับขุดหลุมพรางและรอให้เขามาถึง มันไม่มีทางปล่อยให้เขากลับไปอย่างสงบเสงี่ยม

‘แต่กระนั้นดูเหมือนจะฆ่ามันตอนนี้เลยไม่ได้…’

แม้ตอนนี้มันจะถอยออกไป แต่ตัวแอสรันเองรู้ดีกว่าใครว่านั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้วควรทำอย่างไรดี

ในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง

“ค่อก!”

แอสรันได้สติกลับมาเพราะตกใจกับความเจ็บจากการถูกตีแขนอย่างรุนแรง หญิงสาวเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แล้วใช้มันฟาดแขนของเขา เบื้องหน้าพลันรู้สึกเหมือนมีดวงดาวระยิบระยับ พลังเวทและพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกัน และเขาก็อ่อนแออยู่ พอถูกโจมตีในช่วงที่ไม่ได้ระวังตัว สติจึงพลันเลือนราง

“แค่ก!”

หญิงสาวที่ล้มลงกับพื้นจับคอไอและสูดลมหายใจเข้า แอสรันที่กำลังคิดจะเข้าไปเตะหยุดการเคลื่อนไหว หากเขาเกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาจะเป็นปัญหากับนักบุญหญิงได้ เอาเป็นว่าก่อนที่พลังศักดิ์สิทธิ์จะหวนกลับคืน เขาต้องดูแลอย่างล้ำค่าไปก่อน

ระหว่างนั้นเอง คนในหมู่บ้านที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ค่อยๆ กลับเข้ามารอบข้างทีละคนสองคน ของมีคมที่ใช้ต่อสู้กับปีศาจในมือพวกเขาเปล่งประกายสีเงิน

‘คงจะพักที่นี่ไม่ได้’

แน่ล่ะ อย่างไรก็ที่นี่เฮกซ่าก็สร้างความวุ่นวายไว้ อีกไม่กี่วันมันจะต้องกลับมาอีกครั้งแน่ ถ้าอย่างนั้น…

“กรี้ด!”

แอสรันจับท้ายทอยของหญิงที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นราวกับสัตว์ที่คาบลูก จากนั้นก็กระโดดขึ้นไป สิ่งที่คนในหมู่บ้านเห็นคือภาพที่แอสรันหายไปด้วยความเร็วระดับน่ากลัวและอีริสที่ดิ้นตะเกียกตะกายอยู่ในมือของเขา

***

“นั่นหมายความว่าอย่างไร ยังค้นหานักบุญหญิงไม่เจออีกอย่างนั้นหรือ?”

คาร์ลขึ้นเสียงสูงโดยไม่รู้ตัว เขาคิดว่านักบุญหญิงคนใหม่จะต้องรอเขาอยู่เมื่อเขามาถึงที่นี่ แม้จะรู้สึกไม่สบายใจบ้างที่ไม่มีการติดต่อมาเลย แต่ใครจะคิดว่าป่านนี้ก็ยังหาตัวนักบุญหญิงคนใหม่ไม่พบ

คาร์ลเดินกะโผลกกะเผลกด้วยฝีเท้าหนักภายในห้องเพื่อระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้น

‘แค่ยายหนูบ้านนอกที่ไม่รู้อะไรเลย ขอแค่เจอตัวก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว’

นางจะต้องกำลังทำตัวไม่ถูกเพราะพลังที่ได้รับมาอย่างกะทันหันแน่ ความจริงที่ว่าตนเป็นนักบุญหญิงคนใหม่คงกำลังทำให้ตื่นเต้นหรือไม่ก็หวาดกลัวอยู่กระมัง จะแบบไหนก็ง่ายทั้งนั้น ระหว่างที่กำลังเดินเตร็ดเตร่ไปมา เขาก็ได้ยินเสียงอึกทึกด้านนอก

ผู้คนที่เห็นขบวนแห่หรูหราของวิหารหลวงที่มาเพื่อต้อนรับนักบุญหญิงต่างก็มารวมตัวกันเหมือนก้อนเมฆเพื่อพบนาง เพื่อที่จะปลอบประโลมคนเหล่านั้น เหล่านักบวชระดับสูงที่มาด้วยกันจึงใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาคนที่บาดเจ็บให้ แต่คนเหล่านั้นก็ยังเอาแต่ตะโกนหานักบุญหญิง ท่าทางของคนเหล่านั้นทำให้คาร์ลไม่สบอารมณ์

แม้ว่าเขาจะสวมชุดผู้อาวุโสอยู่อย่างไร แต่ก็เป็นได้แค่เพียงคนขาเป๋สำหรับคนโง่เขลาเหล่านั้น

“เฮ้อ…”

ในตอนที่เขาลูบใบหน้าเพราะความโกรธที่พลุ่งพล่าน แขนเสื้อก็ไหลลงมาจนเห็นแขน

“ท่านนักบวชคาร์ล เป็นไรหรือไม่ขอรับ?”

“หืม? อ่า นี่…อย่าสนใจเลย”

เขารีบซ่อนรอยที่อยู่บนแขนอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เคยประทับลงบนร่างของอีเบลลีน่าเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป อย่างไรอีเบลลีน่าก็ไม่เหลือพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต่อให้ใช้ไปก็ทำได้แค่ปลุกความกำหนัดให้นางเท่านั้น ใจจริงเขาอยากใช้เพื่อให้นางหอบเหมือนหมาบัดเดี๋ยวนี้ แต่ยังก่อน

‘ถ้าจับมาได้ล่ะก็…’

ขอแค่ให้ได้ออกจากคุกใต้ดิน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยนางไป ลากนางมามัดต่อหน้าผู้คนแล้วลองใช้มันจะดีหรือไม่ ไม่สิ เพียงแค่นั้นยังคลายความโกรธของเขาไม่ได้ โยนนางเข้าไปท่ามกลางสัตว์ป่าที่จับมา จากนั้นค่อยใช้มันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน

ตอนที่ในหัวของเขากำลังจินตนาการถึงเรื่องต่ำช้านั่นเอง

“ท่านผู้อาวุโสคาร์ล!”

ด้านนอก มีเสียงเรียกหาเขาอย่างรีบร้อน จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“ได้ยินว่าพบตัวนักบุญหญิงตัวปลอมกับฆาตกรแล้วขอรับ!”

คาร์ลก้มหน้าลง ในสายตาของเหล่านักบวชด้านข้างมองดูแล้วช่างดูปวดร้าวเหลือเกิน หลังจากยิ้มไม่ให้ใครเห็น เขาก็เงยหน้าแล้วออกคำสั่ง

“ส่งอัศวินทุกคนออกไปเดี๋ยวนี้ แล้วจับพวกเขากลับมาให้ได้!”

ทันทีที่ข่าวการเจอตัวนักบุญหญิงตัวปลอมและราธบันกระจายออกไป สถานที่ตั้งค่ายของคณะวิหารหลวงก็โกลาหล ไม่นานก็เห็นหน่วยอัศวินแห่งวิหารวิ่งออกจากที่ตั้งค่าย เลออนมองภาพนั้นแล้วกล่าวขึ้น

“ส่งหน่วยอัศวินแห่งวิหารไปทั้งหมดอย่างนั้นหรือ…”

เขาส่งสายตาให้ทหารคนสนิท ทันใดนั้น เงาร่างของพวกเขาก็หายเข้าไปในที่ตั้งค่ายอย่างรวดเร็ว หายเข้าไปจัดการงานที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก

เลออนฟาดแส้ใส่ม้าตนเองอย่างรวดเร็ว ม้าร้องเสียงดังพร้อมกับออกวิ่งตามคนที่นำไปก่อนอย่างไม่ลังเล เลออนที่อยู่บนม้าพลันคลี่ยิ้ม

“ข้าก็ต้องทำตามคำสั่งนั้นด้วยสิ”