เคร้ง!

เสียงแหลมของเหล็กที่กระทบกันดังขึ้นพร้อมกับประกายไฟสาดกระเซ็น

“แค่ก!”

ขั่วขณะที่อัศวินไม่อาจเอาชนะความตกใจที่ดาบปะทะกันได้ ดาบก็หลุดออกจากมือไป ราธบันไม่พลาดช่วงเวลานั้นและเตะอัศวินผู้นั้นอย่างแรง เขาลอยขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะกลิ้งลงพื้น แม้จะพยายามตะเกียกตะกายอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจลุกขึ้นมาได้

‘นี่มัน…’

แม้ฉันจะเคยคิดอยู่บ้างว่าเขาคงไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวินไปเฉยๆ แต่ก็ไม่นึกว่าความสามารถจะต่างจากอัศวินคนอื่นถึงเพียงนี้ ราธบันสกัดดาบหลายเล่มที่เข้ามาโจมตีอีกครั้งในคราวเดียว จากนั้นก็ส่งเสียงฮึกเหิมสั้นๆ และออกแรง ทันใดนั้นทุกคนก็ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับหุ่นไล่กา

แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาดีใจ

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

เสียงหายใจของราธบันหนักหน่วงมากขึ้นเทียบกับเมื่อครู่ก่อน ไม่ต้องถามฉันก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ

‘ถ้าไม่ได้เจอปีศาจล่ะก็…’

ย่ำรุ่ง ระหว่างที่กำลังข้ามถนนบนภูเขา พวกเราก็เผชิญหน้ากับปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ฉันเคยเห็นปีศาจหลายประเภทในความทรงจำของอีเบลลีน่า รวมถึงยังเคยเห็นปีศาจที่แอสรันเรียกมา ดังนั้นจึงคิดว่าหากได้เจอมันก็คงจะไม่ตกใจถึงเพียงนั้น ทว่าในชั่วขณะที่ได้เห็นดวงตาของปีศาจที่เป็นประกาย ฉันถึงตระหนักได้ว่าตนเองเข้าใจผิดอย่างมาก

ความเป็นปรปักษ์ที่ปีศาจมีต่อมนุษย์รุนแรงและยิ่งใหญ่กว่าที่ฉันคิดไว้มาก ขณะที่ฉันรู้สึกหวาดผวาจนตัวแข็งทื่อไปทั้งอย่างนั้นและกำลังจะถอยหลัง ราธบันก็โอบตัวฉันและก้าวไปด้านหน้า ความหมดเรี่ยวแรงเข้ามากัดกินร่างกายก่อนความโล่งใจ ยิ่งเห็นราธบันฟาดฟันปีศาจได้ในครั้งเดียวก็ยิ่งรู้สึก

เมื่อไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ฉันก็เป็นคนไร้กำลังซึ่งไม่แปลกเลยหากต้องตาย

แม้ปีศาจจะล้มลง แต่หลังจากนั้นมาสภาพร่างกายของราธบันก็ย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุนั้นพวกเราจึงดึงดันที่จะใช้ถนนบนภูเขาไม่ได้อีกต่อไป

‘ต้องไปถึงทรีออนให้เร็วกว่านี้’

ต่อให้ไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงที่นั่นแล้วจะได้พบอีริสหรือไม่ หรือต่อให้ได้พบแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาหรือเปล่า แต่ก็มีเพียงแค่วิธีนั้น

เพราะพวกเราลงมายังถนนที่มีผู้คนสัญจรมากขึ้น แล้วยังเดินด้วยความเร็วที่ช้าลง ดังนั้นแม้จะเดินทางไปทรีออนด้วยความระมัดระวัง แต่สุดท้ายพวกเราก็พบกับคนที่ไล่ล่าปีศาจอยู่ และไม่นานหลังจากนั้นเหล่าอัศวินก็มารวมตัวกันเช่นนี้

ฉันกวาดสายตามองรอบข้างอีกครั้ง

‘นี่ไม่ใช่แค่การโจมตีอย่างสะเปะสะปะ’

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ฉันตระหนักได้ว่าพวกเขาขวางทางหนีและกำลังไล่ต้อนฉันกับราธบันไปสุดถนน หากหนึ่งคนล้มลงไป ก็จะมีอีกสองคนเข้ามาใหม่

‘คาร์ลสั่งให้สวมเหรอ’

พวกเขาทุกคนต่างก็สวมหมวกเหล็ก เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจทราบได้เลยว่าพวกเขาคือใคร และกำลังโจมตีราธบันด้วยใบหน้าแบบใด แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกโล่งใจ เพราะอย่างไรพวกเขาก็เคยเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของราธบันมาก่อน หากได้เห็นใบหน้าของคนเหล่านั้นกับตาตนเอง ราธบันคงไม่อาจโจมตีอย่างรุนแรงได้ และเพราะไม่รู้ว่าคือใคร ถึงได้โจมตีอย่างจริงจังถึงเพียงนี้

พวกเขาเหล่านั้นที่กระเด็นไปเพราะการโจมตีของราธบัน จู่ๆ ก็ถอยไปด้านหลัง ฉันจ้องมองไปด้วยความสงสัย ไม่นาน ระหว่างพวกเขาก็มีอัศวินผู้หนึ่งเดินฝ่าออกมา เขาตะโกนใส่ราธบัน

“ผู้ที่เคยให้ความสำคัญกับเกียรติยศและเดินบนเส้นทางแห่งพระเจ้ามากกว่าใครกลับลุ่มหลงในโลกีย์จนมีสภาพเป็นเช่นนี้! หากเจ้าจดจำเกียรติยศและรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง แม้จะแทงตนเองด้วยดาบในมือตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอ! รีบจัดการคนชั่วช้าผู้นั้นและพากลับมาสู่อ้อมอกของพระเจ้าอีกครั้ง!”

“…”

ได้ยินคำพูดของอัศวิน ฉันก็คว้าชายเสื้อของราธงันเงียบๆ เขาคงจะรู้สึกไม่ยุติธรรมและแค้นเคืองจนลำคอตีบตันเมื่อในยินคำพูดเช่นนี้ ราธบันลดมือข้างหนึ่ง และบีบมือข้างที่จับฉันแน่น จากนั้นก็กล่าวกับฉัน

“ขอโทษขอรับ”

“…?”

เมื่อได้ยินคำขอโทษที่มาอย่างกะทันหัน ฉันก็กวาดสายตามองรอบข้างด้วยความสงสัยว่าเขาพูดกับใคร แต่ขณะที่ได้สบตากับเขาอีกครั้งก็รู้ คำพูดนั้นเป็นคำที่กล่าวกับฉัน

“ช่วยยกโทษที่ข้าไม่อาจลงโทษปากที่ไร้มารยาทนั่นได้ในตอนนี้”

“…”

ได้ยินดังนั้น เหล่าอัศวินแห่งวิหารต่างก็พูดไม่ออก ฉันเองก็เช่นกัน ใบหน้าของราธบันที่มองฉันพลันมีรอยยิ้มแวบผ่าน สงสัยฉันจะทำสีหน้าโง่เง่าน่าดู

อาจเพราะตระหนักได้ว่าต่อให้โน้มน้าวราธบันอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เหล่าอัศวินจึงได้จัดรูปขบวนอีกครั้งและตะโกนขึ้น

“โจมตี!”

เสียงที่ราวกับผ่าอากาศดังขึ้นในชั่วขณะที่ได้ยินเสียงนั้น เวลาเดียวกับที่ราธบันดึงฉันเข้าไปกอดและกลิ้งไปกับพื้น เมื่อฉันกะพริบตาเพราะสายตาที่พร่ามัวก็เห็นลูกธนูที่สั่นสะเทือนปักอยู่ตรงจุดที่ฉันยืนเมื่อครู่ก่อน

“ให้ตาย…”

หลังจากสบถคำหยาบที่สุดที่เขาสามารถพูดได้ ราธบันก็รีบขยับตัวลุกขึ้น ฉันสามารถรับรู้ได้จากการโจมตีเมื่อครู่ ตอนนี้พวกเขาคงรู้แล้วว่าจุดอ่อนของราธบันคืออะไร เสียงผ่าอากาศดังขึ้นพร้อมกับลูกธนูที่พุ่งตรงมาทางฉันราวกับจะยืนยันสิ่งที่ฉันคิด

เคร้ง!

ธนูลูกนั้นถูกดาบของราธบันปัดไปด้านข้างตรงหน้าฉัน

‘พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่า’

แม้ลูกธนูจะพุ่งมาหาฉันก็จริง แต่กลับเพ่งเล็งที่ขา ไม่ใช่ศีรษะหรือหัวใจ นั่นหมายความว่าจะจับเป็น

‘คาร์ลคงสั่งไว้สินะ’

ฉันรู้ดีว่าไม่ได้เป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันเก่าก่อน สันหลังเย็นวาบเมื่อคิดว่าเขาจะทำอะไรกับฉันหากจับเป็นกลับไป ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องสั่งให้ทำเรื่องที่น่าขยะแขยงและน่าอับอายยิ่งกว่าที่เคยทำมา เห็นได้ชัดว่ายิ่งฉันร่วงลงสู่ขุมนรกมากเท่าไร ชื่อเสียงของเขาและอีริสก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

เคร้ง! เคร้ง!

จำนวนของลูกธนูที่พุ่งมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นแบบนี้ต่อไป การบาดเจ็บก็เหลือแค่เวลาเท่านั้น ราธบันดึงฉันมา ก่อนจะเข้าไปแอบหลังต้นไม้ต้นใหญ่แถวนั้น

“เห็นอัศวินคนที่สวมหมวกเหล็กที่ติดของประดับสีแดงตรงนั้นไหมขอรับ? ข้าจะจัดการทางนั้นเอง ดังนั้นท่านไปก่อนเถิด”

“ราธบัน!”

“หากเป็นเช่นนี้อีกไม่นานคงถูกจับได้แน่ เพราะงั้น…”

พูดถึงตรงนั้น ใบหน้าของเขาก็พลันบิดเบี้ยว ราธบันซีดเซียวยิ่งกว่าครู่ก่อน พอเห็นใบหน้าของเขา ฉันก็เลื่อนสายตาลงมองมือ ถุงมือที่เขาใส่ย้อมไปด้วยเลือดสีเข้มตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“แผลเจ้า…”

สุดท้ายบาดแผลที่ถูกกริชบาดและถูกพิษก็ปริแตก เลือดที่ชุ่มมือของเขาเริ่มไหลทะลักอย่างรวดเร็ว ฉันกัดฟันเมื่อเห็นสภาพที่เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นของเขา คาร์ลตั้งใจจะไว้ชีวิตฉัน แต่เขาจะไว้ชีวิตราธบันด้วยไหม?

‘ไม่หรอก’

สำหรับคาร์ล เขาเป็นบุคคลที่อันตรายเกินไป อย่างที่ได้เห็นในหมู่บ้านที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากที่ราธบันช่วยชีวิตเอาไว้ยังคงจดจำและส่งเสียงเพื่อเขา หากราธบันถูกฆ่าตายอย่างอนาถ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกพวกเขาเหล่านั้นต่อต้าน ราธบันเป็นคนที่ไม่ยอมถูกชักจูง และต่อให้ข่มขู่ด้วยชีวิต เขาก็ไม่มีวันยอมจำนนจนถึงที่สุด

‘ดังนั้นคาร์ลจึงต้องการให้ราธบันตายที่นี่’

ต้องเป็นแบบนั้น พวกเขาจึงจะใส่ร้ายป้ายสีความเสื่อมเสียอันสกปรกทั้งปวงให้กับความตายของเขาได้ เทียบกับราธบันแล้ว หากฉันผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับใครทั้งสิ้นมีชีวิตรอด ก็จะกลายเป็นตัวกระตุ้นที่ดีมาก

ฉันจัดระเบียบความคิด จากนั้นจับตัวราธบันไว้

“เจ้าไป”

“นั่นหมายความว่า…”

ระหว่างที่ฉันพูดกับราธบัน ลูกธนูก็บินมาปักแทบเท้าพวกเราอีกครั้ง ฉันพยายามสงบสติอารมณ์พลางพูดต่อไป

“คาร์ลจะไม่ฆ่าข้า เพราะหากไว้ชีวิตก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ในการช่วยส่งเสริมนักบุญหญิงคนใหม่ แต่ไม่ใช่กับเจ้า”

“…”

ราธบันไม่ใช่คนโง่ เขาคงจะรู้อยู่แล้วเช่นกัน เพียงแต่หวังว่าฉันจะตระหนักถึงมันไม่ได้

“หากหนึ่งในพวกเราจะหนีไป นั่นไม่ใช่ข้า แต่ต้องเป็นเจ้า ราธบัน”

หากฉันหนีไปคนเดียวแล้วทิ้งราธบันไว้ที่นี่ เขาตาย ส่วนฉันถูกจับ หากเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าความหวังทั้งหมดจะหายไป ทว่าหากฉันถูกจับและราธบันหนีไป ฉันรอด และเขาเองก็รอด หากภาระที่ต้องปกป้องหายไป อย่างน้อยเขาก็หนีไปจากที่นี่ได้

“เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ เราถึงจะมีความหวัง”

ต่อให้ฉันหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้วจะทำอะไรได้ มีความเป็นไปได้สูงที่ฉันจะตายเพราะเจอปีศาจก่อนได้เจออีริส แต่หากราธบันหลบหนีสำเร็จ อย่างน้อยก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาช่วยฉันอีกครั้ง

‘…ถ้าเขาอดทนต่อบาดแผลได้ล่ะนะ’

ฉันจงใจเบนสายตาออกจากมือของเขา

แววตาของราธบันสั่นไหว เขาเองก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดคือทางออกของสถานการณ์ในตอนนี้ ธนูลูกหนึ่งเฉียดผ่านด้านข้างพวกเราไปราวกับบอกให้รีบตัดสินใจ ทว่าราธบันกลับยืนจ้องฉันโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

ฉันรู้ว่าเขาจะต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีทางที่เขาจะทิ้งฉันไว้ได้ ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องผลักเขาออกไป

“ราธบัน”

ฉันเรียกชื่อเขา จากนั้นจับหน้าเขาและดึงเข้ามา เขาเคลื่อนตามมือของฉันอย่างว่าง่ายจนยากจะเชื่อว่านี่คืออัศวินที่ไม่ขยับเขยื้อนและไม่ถอยหลังเลยเมื่อครู่ก่อน ฉันเงยหน้าขึ้นและจุมพิตลงบนริมฝีปากของเขา

ก่อนที่ริมฝีปากจะแตะกัน ฉันจ้องมองใบหน้าของเขาที่หลับตาอยู่อย่างไม่พลาดไปแม้แต่น้อย ทันทีที่ฉันถอนตัวออกมาก่อน ฟันของเขาก็ขบริมฝีปากของฉันเบาๆ ราวกับเสียดายและต้องการมากกว่านี้ ฉันแนบหน้าผากของตนกับเขา จากนั้นก็ออกคำสั่ง

“วิ่งออกไปและห้ามหันกลับมาเป็นอันขาด”

“…?”

งงงันอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ฉันจดจำใบหน้าของเขา จากนั้นก็ยิ้มและวิ่งไป บางทีเมื่อครู่ก่อนฉันก็คงทำสีหน้าแบบนั้นเหมือนกันสินะ

ทันทีที่ฉันวิ่งออกมา ลูกธนูก็พุ่งมาหาฉันราวกับรอคอยอยู่แล้ว

“…!”

แม้ปลายศรธนูแหลมจะเฉียดผ่านแขนของฉันไป แต่ฉันก็ยังกัดฟันวิ่งต่อไปอย่างบ้าคลั่ง

“ท่านนักบุญหญิง!”

“รีบไป ราธบัน!”

ฉันตะโกนใส่ราธบันและวิ่งออกไป ถึงแม้จะบอกไม่ให้เขาหันกลับมา แต่ฉันเองก็ไม่มีเวลาจะมองกลับไปเช่นกัน

“จับไว้!”

“ฝั่งไหนก่อน?”

ทว่าชั่วขณะที่ได้ยินน้ำเสียงของเหล่าอัศวินที่ทำตัวไม่ถูก ฉันก็รู้ได้ว่าเขาเคลื่อนไหวตามที่ฉันต้องการ เพราะการที่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องจับฝั่งไหนก่อน นั่นแสดงว่าเขากำลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับฉัน ทั้งที่คิดว่าห้ามร้องไห้ แต่สายตาก็ยังพร่ามัว ฉันเพิ่มแรงที่ขามากขึ้น ต้องไปใกล้กว่านี้อีกนิดก็ยังดี อย่างน้อยก็ขอให้มีอัศวินอีกสักคนที่ตามฉันมา ราธบันจะได้ยิ่งไปได้ไกลมากขึ้น

ลูกธนูพุ่งมาและเฉียดขาไปอีกครั้ง แม้จะซวนเซไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้ล้มลงไป หน้าถูกข่วนด้วยหนามของพุ่มไม้ที่วิ่งผ่านอย่างเร่งรีบ เท้าลื่นเพราะใบไม้ที่กองสุมกันเป็นเวลานาน แต่ฉันก็ยังวิ่งต่อไป

ผ่านไปไม่นาน ฉันก็สัมผัสได้ว่าลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาถึงปลายคาง เสียงของเหล่าอัศวินที่วิ่งตามมาด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คงเพราะพวกเขาไม่สงสัยว่าจะจับฉันไม่ได้ จึงไม่ได้ยิงธนูอีกต่อไป และไม่นาน

“จับได้แล้ว!”

“…!”

มือดึงผมที่ปล่อยสยายอย่างรุนแรง ทำให้ฉันหงายไปด้านหลัง

“จับได้แล้ว! จับนักบุญหญิงตัวปลอมได้แล้ว!”

การถูกกดขี่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ไม่นานก็มีร่างหนักขึ้นมาคร่อมบนตัวฉัน แล้วจับสองมือไพล่หลัง แม้จะพยายามดิ้นรนแต่ก็เป็นการขัดขืนที่เปล่าประโยชน์

“คนที่เหลือไปไล่ตามราธบัน!”

ทันทีที่เหล่าอัศวินตะโกน หลายคนก็เปลี่ยนทิศทางและวิ่งไปทางฝั่งที่ราธบันวิ่งไป ทว่าฝีก้าวของพวกเขาก็ไปได้ไม่เท่าไร เพราะมีคนยืนจ้องพวกเขาเขม็งอยู่บนเนินเขา

“ราธบัน!”

คงเพราะเขาเผชิญหน้ากับหลายคนระหว่างนั้น บนตัวถึงได้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เมื่อเห็นสภาพของเขา สุดท้ายน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ระเบิดออกมา

‘ก็บอกแล้วไงว่าไม่ให้หันกลับมา’

เขาที่ไม่ฟังคำพูดของฉันดูคับแค้นใจยิ่ง แต่ฉันก็ดีใจจนแทบร้องไห้ที่ได้เห็นเขาอีกครั้ง ไม่นานอัศวินที่ไล่ตามเขามาก็เผยตัวขึ้นอีกฟากของเนินเขา ราธบันไม่ขัดขืนและถูกพวกเขาจับ เขาเลือกยอมจำนนและอยู่เคียงข้างฉัน ดีกว่าขัดขืนแล้วต้องตายตรงนั้น

ฉันมองเขาที่ถูกจับมัดและคว่ำหน้ากับพื้นเหมือนฉันเมื่อครู่ก่อน อัศวินที่เป็นคนจับฉันเห็นภาพนั้นก็จับฉันลุกขึ้น กระชากผมแล้วเขย่า

“ลุ่มหลงถึงเพียงนี้ ถึงกับกลับมาและไม่ปฏิเสธกระทั่งความตาย”

ศีรษะที่สั่นเทาอย่างไม่ปรานีฉันต้องกัดฟันเพื่อไม่ให้กรีดร้องออกมา อาจเพราะไม่พอใจที่ฉันเป็นเช่นนั้น อัศวินถึงได้เอามือฟาดหน้าฉัน

“แค่ก!”

ชั่วขณะ ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นขาวโพลน ฉันคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น ศีรษะที่ถูกโจมตีอย่างแรงสั่นสะเทือนจนวิงเวียน และในตอนที่ไม่รู้ว่าตรงไหนคือท้องฟ้า ตรงไหนคือพื้นดินนั่นเอง

ปัก!

เสียงทุ้มหนักดังขึ้นพร้อมกับมือที่จับร่างของฉันก็ลอยขึ้นฟ้ากะทันหัน ฉันล้มลงบนพื้นอีกครั้งทันทีเมื่อมือที่จับอยู่หายไป ขณะที่ฉันหลับตาแน่นเพราะความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมา ก็มีอีกมือหนึ่งมาคว้าฉันไว้

“ลีน่า!”

ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหอบหนัก เป็นน้ำเสียงที่ฉันรู้จักดี

“…เลออน?”

ฉันค่อยๆ หันหน้าไปมองด้านหลัง เลออนกำลังยืนหอบหายใจอยู่ตรงนั้นอย่างบ้าคลั่ง ผมสีทองยุ่งเหยิงเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและพันติดกันช่วยบอกให้รู้ว่าเขารีบวิ่งมาขนาดไหน

ทันทีที่สบตา เขาก็ออกแรงดึงฉันเข้ามากอด จากนั้นก็ยกมือขึ้นสางผมที่สั้นลงของฉัน ทั้งที่เหงื่อ น้ำตา ฝุ่น และเลือดจะปนกันไปหมดจนดูไม่ได้ แต่เขาก็ยังพูดด้วยรอยยิ้ม

“ช่วงที่ไม่ได้เจอกัน สวยขึ้นนะเนี่ย”

เสียงที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบาบางอยู่เสมอของเขา ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนสถานการณ์ตอนนี้เป็นแค่ความฝัน

“อ๊ากกก!”

ทว่าเสียงกรีดร้องของอัศวินที่ดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นานก็ช่วยบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความจริง เมื่อหันศีรษะไปมองก็พบว่าอัศวินที่จับหัวฉันเขย่านั่งทรุดอยู่กับพื้นและกำลังกรีดร้องขณะจับแขนที่ถูกตัดมือ ส่วนมือที่ถูกตัดของเขาก็กำลังกลิ้งหลุนๆ อยู่ไกลๆ

ฉันหันหน้ากลับมาอีกครั้งเมื่อภาพที่เลือดทะลักออกมาราวกับน้ำพุอย่างน่าอนาถ ตอนนี้เองฉันถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลออนตัดข้อมือของอัศวินที่เป็นคนจับฉันไปแล้ว

ฉันคว้าเลออนพลางขอร้องเขา

“เลออน รีบไปช่วยราธบัน…!”

“องค์ชายรัชทายาทเลออน!”