คำพูดของฉันถูกเสียงคนอื่นกลบแล้วจางหายไป ฉันมองไปยังที่มาของเสียง คาร์ลที่สวมชุดเครื่องแบบผู้อาวุโสถูกอัศวินประคองอยู่ตรงนั้น ทันทีที่เขาสะบัดมือของอัศวินออก และยืนด้วยแรงของตนเอง อัศวินที่อยู่ด้านข้างก็เข้าไปหาอัศวินที่ถูกตัดข้อมือ

ใครบางคนเก็บข้อมือที่กลิ้งไปกลับมา แล้วนำมาต่อตรงส่วนที่ถูกตัด จากนั้นอัศวินแห่งวิหารรอบข้างก็เริ่มใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ข้อมือหล่นลงพื้นอยู่หลายครั้งโดยที่ไม่อาจยังเชื่อมต่อได้ อาจเพราะระหว่างนั้นเพราะเสียเลือดมากไป เขาถึงได้ซีดขาวและล้มพับลงไปกับพื้น

คาร์ลปรายตามองฉันและราธบันที่ถูกจับอยู่อีกฝั่งอย่างไม่มีความคิดที่จะช่วยอัศวินเหล่านั้น ก่อนจะพูดกับเลออน

“ในที่สุดก็จับทั้งสองคนได้แล้ว ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ”

ฉันจ้องเลออนหลังจากได้ยินคำพูดนั้นอย่างเหม่อลอย ใบหน้าที่ยิ้มให้ฉันเมื่อครู่ก่อนหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย เลออนมีสีหน้าเยือกเย็นจนน่าขนลุก

‘ร่วมมือ?’

แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่น่าเวียนหัว แต่สมองก็ยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คาร์ลปรากฏตัวขึ้นพร้อมเลออน อย่าว่าแต่เขาตื่นตระหนกที่เลออนจับฉันเอาไว้เลย กลับยิ้มอย่างวางใจเสียด้วยซ้ำ

“…!”

ทันทีที่ตระหนักได้ว่าเลออนอยู่ฝ่ายเดียวกับคาร์ล ฉันก็ผลักเขาอย่างแรงเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมแขนของเขา ทว่าเขาไม่ยอมปล่อยฉัน ไม่สิ กลับยิ่งเพิ่มแรงมือที่จับฉันเสียอีก ราวกับจะไม่มีวันปล่อยไปเด็ดขาด

“เลออน ท่านทำได้อย่างไร…!”

แม้ฉันจะตีหน้าอกเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่เลออนก็ไม่มีกระทั่งเสียงร้อง

ความรู้สึกโดนทรยศจนราวกับท้องฟ้าจะถล่มทำให้ฉันไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร เลออนจับมือกับคาร์ลอย่างนั้นเหรอ เชือกที่คว้าเอาไว้เพราะคิดว่าคือความหวังกลับเป็นเชือกเกลียวเน่าเสียที่มีชื่อว่าทรยศ

“ทำได้อย่างไร… ทำได้อย่างไร…!”

“ข้าขอโทษ ลีน่า”

ราวกับจะบอกให้ตีได้เท่าที่ต้องการ เลออนไม่หลบกำปั้นของฉันแล้วกล่าว

“แม้จะเพิ่งมาพูดเอาป่านนี้ แต่ข้าเกลียดเซอร์ราธบันมาตั้งแต่แรก แน่นอนว่าเขาเองก็เกลียดข้าเช่นกัน ใช่หรือไม่ เซอร์ราธบัน?”

เขากล่าวเช่นนั้น ก่อนจะจ้องราธบัน ราธบันจ้องเลออนเขม็งด้วยสีหน้าน่ากลัวโดยที่ยังถูกเหล่าอัศวินกดไว้ ความน่ากลัวของเขาทำให้อัศวินที่มากับคาร์ลต่างก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว เลออนแสยะยิ้ม เขาไม่หลบสายตาของราธบัน ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางบนหน้าอก แล้วเอ่ยทักทายกับราธบันอย่างนอบน้อม

“ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา เซอร์ราธบัน จากนี้ไปข้าได้แต่หวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก”

ได้ยินดังนั้น ราธบันก็ดิ้นอย่างแรงแล้วตะโกนขึ้น

“หมายความว่า…!”

เลออนยกมือขึ้นก่อนที่ราธบันจะได้พูดจบ ทันใดนั้น หนึ่งในอัศวินที่กดตัวราธบันไว้ก็ชักดาบออกมา และยกขึ้นสูง

“ไม่นะ! หยุดเดี๋ยวนี้!”

ทั้งที่ฉันตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตายแต่มือของอัศวินก็ยังพุ่งเข้าใส่ราธบันอย่างรวดเร็ว ฉันจ้องมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย จู่ๆ ก็เหมือนเวลาเดินช้าลง ดาบที่อยู่ในมือของอัศวินตกกระทบแสงแดดและสะท้อนประกายสีเงิน ขณะที่กำลังจะเบือนหน้าหนีเพราะแสบตานั่นเอง

ปัก!

เสียงที่ต่างจากที่ฉันคิดดังสะท้อนเข้าหู

“…!”

เมื่อมองกลับไปอีกครั้งด้วยความประหลาดใจก็เห็นราธบันนอนหมดสติ แต่กลับไม่มีเลือดให้เห็นที่ไหน

ฉันมองมือของอัศวินที่ฟาดราธบันด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“อา…”

อัศวินไม่ได้ฟาดราธบันด้วยคมมีด

“ด้ามจับ…”

อัศวินลดดาบของตนลงทันที ราวกับไม่คิดจะสร้างอันตรายใดๆ ให้ราธบันอีกต่อไป จากนั้นเขาก็ยกราธบันขึ้นพาดไหล่แล้วลุกขึ้น การกระทำของเขาไม่มีความเป็นปรปักษ์ต่อราธบันแม้แต่น้อย กลับเต็มไปด้วยความร้อนใจที่จะช่วยสหายร่วมรบที่ได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ

ไม่ใช่แค่อัศวินผู้นั้น อัศวินคนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างก็เข้ามาล้อมและหันดาบไปทางคาร์ลราวกับจะปกป้องอัศวินคนนั้นกับราธบัน

“นี่หมายความว่าอย่างไร…?”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้คาร์ลพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทันใดนั้นอัศวินที่ใช้ด้ามจับฟาดราธบันก็ถอดหมวกเหล็กที่สวมอยู่แล้ว แล้วโยนไปทางคาร์ล หมวกเหล็กกลิ้งหลุนๆ ไปหยุดตรงหน้าเขา

คาร์ลมองหมวกเหล็กนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วจ้องอัศวินที่ถอดหมวกเหล็กออก

“พวกเจ้า…!”

คาร์ลกัดฟันกรอดพร้อมกับจ้องอัศวินคนนั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“รองผู้บัญชาการ! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร! ในเมื่อข้าจับมัดไว้ที่ค่ายทหารแล้ว!”

หลังจากได้ยินคำว่ารองผู้บัญชาการ ฉันถึงจำได้ว่าคือเขา เขาก้มศรีษะให้เลออนเล็กน้อยโดยไม่สนใจเสียงตะโกนของคาร์ล เลออนรับการทักทายจากเขาและกล่าวขึ้นราวกับสมควรอยู่แล้ว

“ข้ารักษาสัญญาแล้ว ดังนั้นก็หวังว่าพวกเจ้าจะรักษาสัญญาที่ทำกับข้าเช่นกัน”

“แน่นอน ขอบคุณที่ช่วย ฝ่าบาท”

ได้ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ ฉันก็พึมพำขึ้นมา

“สัญญา…?”

ไม่รู้เพราะได้ยินหรือไม่ เลออนถึงเอ่ยพูดกับฉัน

“ใช่แล้ว พวกคนที่ออกจากวิหารหลวงและกำลังตามหาเซอร์ราธบันอยู่ได้ทำสัญญากับข้าไว้ ให้ข้าหาโอกาสพวกเขาได้ช่วยเหลือเซอร์ราธบัน”

ทันทีที่เลออนกล่าวจบ คาร์ลที่กำลังมองเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างยากจะเชื่อก็ตะโกนขึ้นมา

“องค์ชายรัชทายาท!”

เลออนมองคาร์ลพลางหัวเราะหยัน

“เพราะงั้นข้าถึงได้แสร้งทำเป็นจับพวกเขามา แม้รถม้าคุมนักโทษจะไม่ค่อยสบายสักเท่าไร แต่ก็ต้องขอบคุณที่นั่นทำให้พวกเขาได้ยินข่าวสารทั้งหมดและมาถึงที่นี่ได้โดยไม่จำเป็นต้องหลบหลีกฝูงชนของวิหารหลวง อา และแน่นอนว่านี่เป็นเพราะผู้อาวุโสคาร์ลใช้ความพยายามมากกว่าที่จำเป็น พาพวกเขามาพบกับเซอร์ราธบันเพื่อใช้วิธีประหารชีวิตต่อหน้าเขาทีละคนเพื่อข่มขู่เขา ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสงสารผู้อาวุโสที่เขาถูกหลอกนะ”

ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของคาร์ลก็ค่อยๆ แข็งกระด้างจนถึงกับมีเสียงเล็ดลอดผ่านพันที่ขบกัดแน่น

มาถึงขนาดนี้ ฉันก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร มีคนที่ยังติดตามราธบันมากมายเหมือนอย่างที่เห็นในตลาด ซึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น หน่วยอัศวินแห่งวิหารคือกลุ่มคนที่เชื่อมั่นและเชื่อฟังราธบันมากกว่าผู้ใด แม้คาร์ลจะกลายเป็นผู้อาวุโสและออกคำสั่งลงมา แต่พวกเขาก็ไม่มีทางทำตามคำสั่งที่ให้ไปจับหัวหน้าของตนเองได้ง่ายๆ แต่เพราะพวกเขาต่อต้านคำสั่งของคาร์ลจึงถูกตามล่าจากวิหารหลวง และดูจากจำนวนที่มีมากแล้ว พวกเขาจึงเก็บงำร่องรอยและเคลื่อนไหวได้ยากเหมือนอย่างฉันและราธบัน

‘เพราะงั้นเลออนถึงได้เสนอวิธีที่สามารถตามหาราธบันได้รวดเร็วกว่าใครโดยไม่จำเป็นต้องแอบซ่อน…’

ขณะตกอยู่ในฐานะเชลย คาร์ลก็ได้ยินข่าวคราวของฉันกับราธบันและเคลื่อนไหว ระหว่างนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของเลออนก็คงจะไปช่วยปล่อยตัวพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็จัดการอัศวินแห่งวิหารที่เป็นพวกของคาร์ล แล้วขโมยเสื้อกับหมวกเหล็กมา

ทว่าคำถามยังไม่ถูกคลี่คลายไปทั้งหมด

หน่วยอัศวินที่ติดตามราธบันจับมือกับเลออนและพวกเขาก็ช่วยหัวหน้าของตนเองได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่เลออนจะได้รับคืออะไร?

ตอนนั้นเอง เลออนและหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิที่ติดตามเลออนก็เข้าไปขวางหน้าคาร์ลไว้ จากนั้นเลออนก็กล่าวขึ้น

“รีบพาหัวหน้าของพวกเจ้าไปได้แล้ว หวังว่าจะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเขาทำท่าจะตื่นขึ้นมา ก็ฟาดไปอีกสักทีแล้วพาไปไกลๆ เสียล่ะ”

ได้ยินคำพูดของเลออน รองผู้บัญชาการก็ยิ้มขมขื่น พลางยกราธบันขึ้นพร้อมกับอัศวินคนอื่น หลังจากเหม่อมองภาพของเขาที่ไกลออกไปอย่างรีบร้อน ฉันก็หันมองเลออน

“เลออน หรือว่า…”

“ใช่แล้ว ท่านคิดว่าข้าจะช่วยพวกเขาโดยไม่มีสิ่งใดตอบแทนเลยหรือ? เพื่อเซอร์ราธบัน?”

นิ้วมือของเลออนสางผมที่ชื้นเหงื่อของฉันอย่างระมัดระวังอีกครั้ง

“ความร่วมมือของข้ากับเขาจบลงแล้ว อันที่จริงข้าก็เคยคิดจะปล่อยให้เขาตายเช่นกัน เพราะวิธีการนั้นเป็นประโยชน์กับข้า แต่เขาช่วยปกป้องท่านในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ การช่วยเขาก็ถือเป็นการขอบคุณเรื่องนั้นแล้วกัน เพราะเขาช่วยท่านถึงได้รักษาชีวิตตนเองเอาไว้ได้ หากว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรกับท่านขึ้นมาล่ะก็…”

เลออนดึงฉันเข้าไปกอดพลางเอ่ยกระซิบ

“ข้าจะตัดคอเขาก่อนที่คาร์ลจะทำเสีย”

ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากมองภาพของราธบันที่ไกลออกไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชา เลออนหมุนตัวกลับแล้วตะโกน

“ไปเสีย แล้วก็หวังว่าจะไม่พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะตอนนั้นเราจะพบกันในฐานะของศัตรู”

ได้ยินดังนั้น รองผู้บัญชาการก็โค้งคำนับอีกครั้งแล้วขยับฝีเท้าอย่างรวดเร็ว แม้หน่วยอัศวินที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคาร์ลจะไล่ตามไป แต่ดาบของหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิก็ขัดขวางพวกเขาไว้ หากคาร์ลพยายามจะไล่ตามราธบันไป พวกเขาก็ต้องต่อสู้ครั้งใหญ่กับหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิเสียก่อน

หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าฝั่งไหนก็พบกับความเสียหายอย่างหนัก หรือต่อให้เอาชนะหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิได้ หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องยากที่คาร์ลจะไล่ตามราธบันไปอยู่ดี

ระหว่างที่การประจัญหน้าดำเนินต่อไปเช่นนั้น เงาร่างของราธบันก็ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ

ฉันจ้องมองภาพของเขาอย่างสงบนิ่ง เหตุการณ์มากมายผ่านไปเร็วเหลือเกิน ร่างกายที่อ่อนล้ากำลังเหนื่อยกระทั่งจะคิดอะไรไปให้มากกว่านี้ สิ่งที่ฉันรู้ตอนนี้คือความจริงที่ว่าราธบันกำลังห่างออกไปเท่านั้น และบางทีฉันอาจจะไม่ได้เจอเขาอีก ทว่าก็บอกให้หยุดไม่ได้ เพราะหากทำเช่นนั้นเขาก็จะตาย ด้วยเงื้อมมือคาร์ล ไม่สิ บางทีอาจจะด้วยเงื้อมมือของเลออน

สายตาพลันพร่ามัว ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมา เลออนใช้มือเช็ดน้ำตาให้ฉันโดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น แต่กระนั้นแขนที่กอดฉันกลับออกแรงมากขึ้น

ตอนนั้นเอง เสียงเกรี้ยวกราดของคาร์ลดังขึ้นจากด้านหลัง

“ท่านคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะปลอดภัยแล้วหรือ องค์ชายรัชทายาท? ท่านเข้าใจผิดเสียแล้ว คนที่ท่านกอดอยู่เป็นนักโทษของวิหารหลวง นางเป็นของวิหารหลวง! นั่นหมายความว่าอำนาจทั้งหมดเป็นของพวกเรา!”

ได้ยินดังนั้น ร่างกายก็สั่นสะท้าน คำพูดของคาร์ลไม่ผิด นับแต่อีเบลลีน่าเข้ามาในวิหารหลวงในฐานะนักบุญหญิงก็ไม่ถือเป็นคนของประเทศใดในแผ่นดิน นางก็คือวิหารหลวง หรือกล่าวอีกนัยคือ วิหารหลวงมีสิทธิอันชอบธรรมและอำนาจทั้งหมดในตัวนาง

“ท่านคิดว่าทำเช่นนี้แล้วพวกเราจะอยู่เฉยอย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าจักรวรรดิจะมีอำนาจอย่างไร แต่หากท่านคิดว่าต่อให้ท้าทายวิหารหลวงก็ยังปลอดภัยดี นั่นท่านเข้าใจผิดเสียแล้ว อย่าลืมสิว่าจักรวรรดิยังอยู่ในช่วงทำสงครามกับอาณาจักรอื่นๆ อยู่ ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่เดิมพันจักรวรรดิกับนักบุญหญิงตัวปลอมเพียงคนเดียว”

ได้ยินดังนั้น เลออนก็ผ่อนแรงแขนที่กอดฉันอยู่ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เลออนเป็นองค์ชายรัชทายาท เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อความก้าวหน้าและเกียรติภูมิของจักรวรรดิมาจนถึงตอนนี้

“นักบุญหญิงตัวปลอมอย่างนั้นหรือ…เพราะงั้นวิหารหลวงถึงได้ยึดมั่นและตามติดถึงเพียงนี้”

หลังจากพึมพำอย่างนั้น จู่ๆ เลออนก็จัดเครื่องแต่งกาย ก่อนจะมองฉันพลางยิ้มเล็กน้อย

“ข้าคิดว่าจำเป็นต้องมีฐานะอื่นให้ท่านเพื่อปิดปากคนพวกนั้น”

พูดจบ เลออนก็คุกเข่าลงตรงหน้าฉันอย่างกะทันหัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ฉัน คาร์ล และอัศวินของทั้งสองฝ่ายต่างก็มองเขาโดยไม่อาจพูดอะไรสิ้น ท่ามกลางความเงียบเหล่านั้น เลออนมองฉันแล้วกล่าวขึ้น

“ลีน่า ท่านจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่?”