หลิวรั่วอวี้คิดในใจว่าข้ากำลังรอเจ้าถามดังนี้อยู่!
แต่ทั้งใบหน้าและท่าทางของนางกลับหวาดกลัวและตื่นตระหนก นางอ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนาน จึงร่ำไห้ออกมาว่า “สะใภ้ให้คนไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ พะ…เพียงแต่ว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็…ก็ช่างบังเอิญนัก!”
ยามนี้ฮองเฮากู้ร้อนใจเป็นไฟสุม รำคาญท่าทีอมพะนำเช่นนี้ของนางยิ่งนัก พลันตบโต๊ะตวาดไปว่า “เจ้าจะพูดหรือไม่พูด?!”
เมื่อเห็นว่าฮองเฮาร้อนใจจริงๆ แล้ว หลิวรั่วอวี้ก็ไม่ได้ร่ำไรอีก รีบปาดน้ำตา แล้วเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “ก็เพราะหลายวันก่อน เว่ยฉางเจวียนออกทุกข์ของมารดาแล้วและออกไปไหนมาไหน ภายหลังก็บังเอิญได้พบกับองค์รัชทายาท ครั้งนั้น องค์รัชทายาทกำลังทรงอยู่ว่างๆ จะ…จะ…จึงทำเช่นนั้นแล้ว!”
ฮองเฮาบันดาลโทสะอย่างหนัก ออกแรงผลักนางจากตักจนล้มไปบนพื้น แล้วเอ่ยอย่างโมโหโกรธาว่า “สิ่งใดคือทำเช่นนั้นแล้ว?! กลางวันแสกๆ หรือว่าองค์รัชทายาทจะทำอันใดเว่ยฉางเจวียนนั่นกลางถนน? ดีชั่วอย่างไร เว่ยฉางเจวียนก็เป็น คุณหนูมีตระกูล นางออกนอกบ้านจะไม่พาคนไปด้วยรึ? แล้วคนเหล่านี้จะไม่ปกป้องเว่ยฉางเจวียนหรือไร?”
จะอย่างไรฮองเฮากู้ก็ผ่านร้อนหนาวในวังมานานปี หลังจากสงบสติอารมณ์ใคร่ครวญสักพักจึงนึกถึงพิรุธหนึ่งขึ้นมาได้ โอรสของตนเองผู้นี้หลงใหลในกามรมย์เป็นชีวิตจิตใจ ยามต้องการขึ้นมา จะลงมือกับบุตรีจากภรรยาเอกของตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งมีฐานะสูงส่งก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ปัญหาคือองค์รัชทายาทก็ยังไม่ได้เสียสติ หากเป็นงานพิธีทั่วไป เขาหรือจะยังจะเข้าไปแทะโลมเว่ยฉางเจวียนเสียให้ได้?
ฉะนั้นหากมิใช่ในสถานการณ์ที่เว่ยฉางเจวียนเป็นฝ่ายไปสนใจองค์รัชทายาท เองจนถึงขั้นแม้แต่ฐานะใดๆ ก็ไม่ต้องการและเข้าไปมอบกายให้เองแล้ว เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว ก็คือสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นใจให้องค์รัชทายาทลงมือ
องค์รัชทายาทลุ่มหลงในสตรีจนไม่ทางอดกลั้นต่อการเย้ายวนเพียงน้อยได้!
ในเมื่อเวลานี้ เว่ยฉางเจวียนก็ยังฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ เห็นชัดว่าเรื่องที่นางมาปักใจกับองค์รัชทายาทก็มีความเป็นไปได้ไม่มาก อีกประการ เว่ยฉางเจวียนเคยเข้าวังมาแต่เล็กๆ ฮองเฮากู้จึงพอจะรู้จักบุตรีขุนนางผู้นี้อยู่บ้าง นอกจากเว่ยฉางเจวียนจะสนิทสนมกับเหล่าองค์หญิงอายุน้อยๆ ยกเว้นองค์หญิงอันจี๋แล้ว นางก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับเหล่าองค์ชายเลย
ด้วยความสนิทชิดเชื้อของนางกับองค์หญิงชิงซิน หากนางมีใจให้แก่องค์รัชทายาท นางก็สามารถมาแสดงท่าทีต่อฮองเฮากู้โดยอ้อมๆ ตั้งแต่ซ่งไจ้สุ่ยเสียโฉมจนสูญเสียคุณสมบัติของพระชายาองค์รัชทายาท และเข้ามาช่วงชิงตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว
ในเมื่อเว่ยฉางเจวียนไม่ได้สนใจองค์รัชทายาท ก็จะต้องไม่มีทางไปในที่ลับตาคนกับองค์รัชทายาท ด้วยชื่อเสียงขององค์รัชทายาทที่ภายนอก ฮองเฮากู้เองก็รู้ดีว่าหากเว่ยฉางเจวียนบังเอิญไปพบองค์รัชทายาทข้างนอก นางก็จะต้องหาทางหลบเลี่ยงไป! เช่นนี้แล้วต่อให้ จู่ๆ องค์รัชทายาทเกิดใจกล้าขึ้นมา แต่กลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนยังจะสามารถทำอันใดเว่ยฉางเจวียนได้? ฉะนั้นหากคิดกันตามหลักเหตุผลแล้ว ต่อให้องค์รัชทายาทหมายปองเว่ยฉางเจวียน ก็ไม่อาจย่ำยีนางได้โดยง่าย
ทว่า องค์รัชทายาทกลับทำสำเร็จแล้ว ไม่เพียงทำสำเร็จแล้ว จากปากคำของ หลิวรั่วอวี้ กระทั้งยังบีบให้เว่ยฉางเจวียนมาหาเขาอยู่ระยะเวลาหนึ่งด้วย…
แววตาของฮองเฮากู้ค่อยๆ เย็นยะเยือกลงไป จับจ้องไปยังหลิวรั่วอวี้ที่คุกเข่าไม่พูดไม่จาอยู่ที่ปลายเท้าตน “เป็นน้องสาวต่างแม่ของเจ้าทำรึ?”
องค์รัชทายาทหมายปองแม่ยายและน้องภรรยา ฮองเฮากู้หรือจะไม่รู้? หลิวรั่วเหยียและเว่ยฉางเจวียนก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันยิ่งนัก ฮองเฮากู้เองก็ยังเคยได้ยิน องค์หญิงชิงซินพระธิดาของตนเอ่ยถึงมาก่อน
เมื่อเรื่องราวพัวพันเป็นทอดเช่นนี้ จึงคิดออกขึ้นมาทันใด “เป็นองค์รัชทายาทใช้ชื่อเจ้า เดิมทีคิดจะบีบให้หลิวรั่วเหยียน้องสาวของเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าหลิวรั่วเหยียกลับหลอกล่อให้เว่ยฉางเจวียนไปแทน …สวินเอ๋อร์ไอ้เจ้าคนไม่ได้ความ พอเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนหน้าตาไม่เลว แม้จะผิดตัวแต่ก็ยังย่ำยีนางไปเสียเลย …เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่?”
แม้จะเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงของฮองเฮากู้กลับเชื่อมั่นยิ่งนัก ในดวงตาดังหงส์นั้นมีไฟโทสะลุกโชนจนน่าตื่นตกใจ!
หลิวรั่วอวี้ไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมา …และไม่รู้ว่ากำลังแสดงหรือว่าตื่นตระหนกกับความเกรี้ยวกราดของฮองเฮาจริงๆ นางจึงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ในเมื่อสะใภ้แต่งเข้ามาในตำหนักตะวันออก นับแต่นี้ไปก็เป็นคนของราชสำนักแล้ว! ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด องค์รัชทายาทก็เป็นพระสวามีของสะใภ้ ไม่ว่าเรื่องใดสะใภ้ล้วนฟังเสด็จแม่เพคะ!”
คำนี้เท่ากับเป็นการบอกว่าฮองเฮากู้มิได้พูดผิด ทั้งยังเป็นการแสดงท่าทีของนางด้วย …ฮองเฮาจับจ้องไปยังม้วยผมของนางในขณะที่นางนั่งฟุบอยู่กับพื้นอยู่เนิ่นนาน จึงเอ่ยเสียงหนักๆ ไปว่า “ไม่ว่าเรื่องใดเจ้าก็ฟังข้าจริงรึ?”
หลิวรั่วอวี้เอ่ยอย่างหวาดผวาว่า “สะใภ้มิกล้าตบตาเสด็จแม่เพคะ!”
“เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าตัวตายเสียเถิด!” ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อนางเอ่ยคำนี้ออกไป ฮองเฮากู้ก็พูดออกมาอย่างเย็นเฉียบในทันใด “ก่อนฆ่าตัวตายก็ให้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ บอกว่าเหตุที่องค์รัชทายาทไปย่ำยีเว่ยฉางเจวียน ล้วนเป็นเพราะเจ้าริษยาที่องค์รัชทายาทไปรักใคร่เหล่าสนม ไม่ให้ความเคารพยำเกรงต่อเจ้าซึ่งเป็นพระชายาองค์รัชทายาทผู้นี้เพียงพอ จึงทำให้เจ้าโมโหและจงใจวางแผนเรื่องขององค์รัชทายาทและเว่ยฉางเจวียนขึ้นมา เพื่อจะใช้เรื่องนี้ทำให้องค์รัชทายาทต้องสูญเสียตำแหน่ง และเพื่อเจ้าจะได้แก้แค้นได้สำเร็จ!”
หลิวรั่วอวี้ตะลึงงัน …ฮองเฮากู้โน้มตัวลงมา ยกนิ้วขึ้นมาเชยคางนาง จ้องมองไปในตาทั้งคู่ของนาง แล้วพูดไปทีละคำว่า “มิใช่เจ้าเกลียดชังหลิวรั่วเหยียนักหรือ? ยิ่งเกลียดชังจางเสากวงมิใช่หรือ? เจ้าน่าจะรู้ว่าจางเสายางมารดาแท้ๆ ของเจ้ามิได้ล้มป่วยจนตายเพราะไปช่วยหลิวรั่วอี๋ลูกผู้พี่ของเจ้า! หากแต่เป็นเพราะว่าตอนที่นางกำลังล้มป่วยนอนพักรักษาตัวอยู่บนตั่งนั้น จางเสากวงลวงให้บิดาเจ้าหลงเสน่ห์และวางยานาง เพื่อจะได้แต่งกับจางเสากวงสมปรารถนา… สองแม่ลูกนี่ไม่เพียงทรมานเจ้าเรื่อยมา ทั้งยังเป็นศัตรูที่ฆ่ามารดาอีกด้วย! เจ้าชิงชังพวกนางนัก …แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะแก้แค้น ต่อให้ยามนี้เจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็ยังเป็นเช่นนั้น!”
“แต่เวลานี้ไม่เหมือนกันแล้ว” ฮองเฮากู้รีบพูดต่อ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะมีความแค้นส่วนตัวมากน้อยเพียงใด แต่อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นบุตรีตระกูลหลิวอยู่ดี เป็นบุตรสาวคนหนึ่งของจางเสากวง เป็นพี่สาวของหลิวรั่วเหยีย! หากเจ้าทำผิดใหญ่หลวง ก็จะต้องส่งผลถึงทั้งตระกูล! ข้าสามารถรับประกันกับเจ้าได้เลยว่า ขอเพียงเจ้าทำตามวิธีที่ข้าบอก ข้าจะต้องบีบคั้นจางเสากวงแม่ลูกจนตาย! ล้างแค้นให้เจ้าและมารดาของเจ้า!”
นิ้วของฮองเฮาไหลเลื่อนลงไปบนหัวไหล่ที่กำลังสั่นอยู่น้อยๆ ของของหลิวรั่วอวี้ แล้วเอ่ยอย่างรักใคร่เอ็นดูว่า “เด็กดี เมื่อครู่นี้มิใช่เจ้าบอกว่า ข้าบอกสิ่งใดเจ้าก็ล้วนทำตามหรอกรึ? องค์รัชทายาทเป็นพระสวามีของเจ้า เมื่อเขาถูกถอดถอน แล้วพระชายาองค์รัชทายาทเช่นเจ้าจะยังรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ได้หรือ? เจ้าลองคิดดูว่ายามนี้เจ้าเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง แต่ก็ยังทำอันใดจางเสากวงแม่ลูกไม่ได้ แล้วหากวันใดต้องเสียตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทไป ก็มิใช่ว่าจะถูกพวกนางเหยียบไว้ใต้เท้าหรอกรึ?! แล้วเจ้าจะทนยอมถูกศัตรูที่สังหารมารดาเหยียบย่ำไปชั่วชีวิตเช่นนี้หรือ?! ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเจ้าไม่ใช่พระชายาองค์รัชทายาทแล้ว ด้วยสิ่งที่เจ้าทำกับพวกนางตลอดเวลามานี้ พวกนาง…จะปล่อยเจ้าไว้ได้อย่างไร? แม้จะต้องตาย แต่เจ้าก็ทำเพื่อมารดา เจ้าจะไม่กล้าทำรึ?”
“ฟังคำข้า ยามนี้เจ้าก็กลับตำหนักตะวันออกไปเขียนจดหมายสั่งเสีย …ใช่แล้ว จำไว้ว่าต้องเขียนว่าเรื่องแผนการจัดการเว่ยฉางเจวียนเป็นแม่เลี้ยงเจ้าช่วยเจ้าออกความคิดด้วยความรักเอ็นดูเจ้า …เช่นนี้ เจ้าก็วางใจได้แล้วกระมัง?”
เมื่อเห็นว่าแววตาของหลิวรั่วอวี้เคว้งคว้าง และกลับชักช้าไม่ยอมรับปาก ฮองเฮากู้ถอนใจคราวหนึ่ง แล้วตบแก้มนางเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า “เด็กโง่เอ๊ย …เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? แต่ไม่เข้าใจก็มิเป็นไร สรุปก็คือ …เจ้าต้องตาย!”
“เจ้าต้องตาย!” เวลาเดียวกัน ในเรือนพักริมทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลินอกเมืองหลวง เว่ยซินหย่งที่ปลอมตัวมา มองเว่ยฉางเจวียนที่นั่งพิงอยู่บนตั่งด้วยสีหน้าซีดขาว และเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ตระกูลเว่ยจะเสียหน้าเช่นนี้ไม่ได้ และรับผลจากการเข้าไปก้าวก่ายให้เปลี่ยนตัวรัชทายาทในเวลานี้ก็ไม่ได้ เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
เว่ยฉางเจวียน ที่แต่ไรมาเป็นคนใจร้อน ยากนักที่จะไม่ชี้นิ้วขึ้นด่าทอเขายกใหญ่ในทันใด หากแต่หรี่ตาลง จับจ้องไปยังแสงอาทิตย์จ้าในฤดูร้อนข้างนอกหน้าต่างอยู่เป็นนาน แล้วจึงเอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ความจริงแล้วครานี้ข้าก็ไม่ได้อยากจะอยู่ต่อไป เพียงแต่ไม่คิดว่ากลับต้องมาพบกับหมิ่นอีนั่ว ก่อนนี้เพราะนางแต่งกับลูกผู้พี่ของเว่ยฉางอิ๋ง ข้าจึงได้ชังนางนัก…ยามนี้กลับยิ่งชังนางเข้าไปอีก หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ไยข้าจะต้องมาคบหากับทั้งสองคนนี้นะ? หลิวรั่วเหยียทำลายทั้งชีวิตข้า หมิ่นอีนั่วแม้แต่ตายก็ยังไม่ให้ข้าตาย สองคนนี้ปกติแล้วล้วนพร่ำบอกแต่ว่าทำเพื่อข้า แต่ยามนี้กลับล้วนมาทำร้ายจนข้าต้องมานอนอยู่ที่นี่ ตายก็ไม่ได้อยู่ก็ไม่ได้ และต้องมารอให้เจ้ามาบอกกับข้าว่าข้าต้องตาย!”
พูดถึงตรงนี้ น้ำตาใสหนึ่งหยด ที่สุดก็ไหลอาบลงมาบนแก้มนาง
เว่ยซินหย่งกลับมิได้ใจอ่อนแม้แต่น้อย หากยังคงเอ่ยไปนิ่งๆ ว่า “นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีกหรือไม่?”
“ข้าจะอยากพูดหรือไม่มันสำคัญรึ?” เว่ยฉางเจวียนหันหน้ามา ดวงตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาใดๆ เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแสนลึกล้ำ “ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าหากมีคนรู้เรื่องนี้เข้า ทางบ้านจะต้องให้ข้าฆ่าตัวตาย เพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล! เมื่อถูกเซินสวินเจ้าคนพรรค์นั้น….ข้าเองก็ไม่อยากอยู่แล้ว! แต่สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึงก็คือ จนยามนี้แล้ว คนที่มาดูข้าตายที่นี่ กลับเป็นเจ้า แต่มิใช่ท่านพ่อและพี่ชายข้า …เฮ่อ…บางทีพวกเขาอาจจะทนไม่ไหว แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ก่อนข้าจะตาย ได้เห็นพวกเขาสักครา หรือว่าข้ายังจะกินพวกเขาเข้าไป?!”
เว่ยซินหย่งเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “หากเจ้าพูดจบแล้ว ข้าก็จะเรียกคนให้ส่งยาเข้ามา?”
“ข้าชังเว่ยฉางอิ๋ง!!!” เว่ยฉางเจวียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็กรีดร้องขึ้นมาสุดเสียง “ข้าชังหลิวรั่วเหยีย! ข้าเป็นผีก็จะไม่ละเว้นพวกนาง!”
เว่ยซินหย่งที่สงบนิ่งมาโดยตลอดสะดุ้งขึ้นมา ที่สุดก็อดสงสัยไม่ได้ จึงถามว่า “ที่เจ้าต้องตายล้วนเป็นเพราะหลิวรั่วเหยียทำร้าย ไยเจ้าจึงชังเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังชังมากกว่าหลิวรั่วเหยียด้วย?”
“หากมิใช่ว่านังสารเลวเว่ยฉางอิ๋งมาที่เมืองหลวง แล้วจะทำให้ท่านแม่ข้าต้องตายอย่างอนาถได้อย่างไร?!” เว่ยฉางเจวียนหัวเราะอย่างน่าอนาถ “หากท่านแม่ยังอยู่ แล้วจะยอมให้นางหมิ่น นางโจวพี่สะใภ้ชั่วสองคนนั้นมารังแกข้าได้ที่ใด! หากไม่เป็นดังนี้ หลังข้าออกทุกข์ให้ท่านแม่ แล้วข้าก็พบว่าสหายสนิทก่อนหน้านี้ล้วนไม่เหลือแล้ว มีเพียงหลิวรั่วเหยียผู้เดียวที่ดูคล้ายว่าจะเป็นมิตรแท้ในยามยาก ข้าจึงได้เชื่อนางอย่างหมดจิตหมดใจ จนทำให้ถูกนางทำร้ายจนถึงขั้นนี้! เจ้าว่ามาซิ ข้าจะไม่ชังเว่ยฉางอิ๋ง และชังเสียยิ่งกว่าหลิวรั่วเหยียได้อย่างไร?”
นางกุมหัว ร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก “หากท่านแม่ยังอยู่ ยามข้าออกจากเรือนก็ล้วนต้องบอกกล่าวนาง แล้วนางจะไม่ช่วยข้าทำลายแผนชั่วของหลิวรั่วเหยียได้อย่างไร!”
เว่ยซินหย่งมองนางด้วยแววตาลึกล้ำ เนิ่นนานจึงบอกว่า “จวนเจียนเวลาแล้ว” คำนี้ เขาบอกกับข้างนอก
หู่หนูยกถ้วยยาเข้ามาอย่างเชื่อฟัง แล้วส่งไปตรงหน้าเว่ยฉางเจวียนโดยไม่ส่งเสียงใด
เว่ยฉางเจวียนเบิกตากว้างมองไปยังถ้วยยาตรงหน้า เนิ่นนานจึงบอกว่า “เหอะ!” นางไม่ได้ปาดน้ำตาก็รับถ้วยมาทั้งเช่นนั้น แล้วปล่อยให้หยดน้ำตาหยดลงไปในถ้วยที่ละหยด แล้วเอ่ยไปเบาๆ ว่า “ตายแล้วก็ดี ข้าไม่ได้ฝันเห็นแม่มานานแล้ว…” ยังไม่ทันสิ้นคำ นางก็เงยหน้าขึ้นซดยาหมดในคำเดียว!
ภายนอกห้อง หมิ่นอีนั่วเอามือปิดปากแน่น น้ำตาที่ทะลักทะล้นออกมาทำให้แขนเสื้อเปียกปอนไปหมดตั้งนานแล้ว ทั้งตัวอ่อนยวบยาบซบอยู่บนตัวของซ่งไจ้สุ่ย!
ซ่งไจ้สุ่ยมองไปบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลออกไปด้วยแววตาเย็นเฉียบ …ทั้งสองคนมีปฏิกิริยาที่ต่างกัน แต่ในสมองกลับมีแต่ความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน…
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ก็ได้ยินเสียง “เพล้ง” ดังมาจากข้างในห้อง คล้ายเป็นถ้วยร่วงลงพื้น ทั้งสองคนจึงได้สะดุ้งขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองไปที่ประตูข้างในห้องโดยไม่ทันรู้ตัว
สักพักจากนั้น เว่ยซินหย่งก็เดินออกมาทั้งหน้าตาสงบนิ่ง แล้วเอ่ยกับทั้งสองคนอย่างราบเรียบว่า “ฉางเจวียนอาภัพนัก หลังจากถูกหงเอ๋อร์ทำร้าย อาการบาดเจ็บก็สาหัสเกินไป อีกทั้งจี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์ก็ล้วนไม่อยู่ในเมืองหลวงด้วย…เฮ่อ!”
ซ่งไจ้สุ่ยขบริมฝีปาก ภายในใจไม่รู้ว่าโล่งอกหรือว่าเศร้าโศกอย่างน่าประหลาด รู้สึกแต่เพียงเคว้งคว้างว่างเปล่านัก
หมิ่นอีนั่วกลับเอามือที่ปิดปากออก แล้วบีบแขนซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้แน่นๆ พลางซบอยู่ที่ไหล่นางปล่อยเสียงร่ำไห้ออกมา แล้วร้องไห้เสียงดังลั่นขึ้นมาทันใด!
________________