“น้องพี่ เจ้าว่าอวิ๋นชิงน่ารังเกียจหรือไม่ ทั้งๆที่รู้ว่าเจ้ามีสามีแล้ว แต่ก็ชอบหาเรื่องมาอยู่ข้างกายเจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนไม่พอใจเท่าไรนัก

“นี่ ท่านพี่ของข้าหึงแล้วใช่ไหม ไม่ต้องเป็นห่วง หน้าตาของเขาสู้สามีของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ” สิ่งที่หลิวหลีพูดคือความจริง จิ่งซู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นชายรูปงามอันดับ 1 ของที่นี่ยังน่ามองไม่เท่าสามีของนาง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วโป้งสามีนางด้วยซ้ำ

“แต่ช่วงนี้เจ้าใช้เวลากับเขามากกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่พอใจ” หนานกงเวิ่นเทียนโมโหหึง

“ ท่านพี่ ท่านคิดมากเกินไป อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็เป็นพี่น้องร่วมรบกัน หากเขาไม่ยอมร่วมมือแล้วกลั่นแกล้งให้พวกเราจะทำอย่างไร พลังบำเพ็ญเพียรพวกเรายังด้อยอยู่ อยู่ภายใต้ปกครองเขา จะไม่ก้มหน้ารับฟังคำสั่งก็ไม่ได้” หลิวหลีถอนหายใจ

“ข้าว่า พวกเจ้าสามีภรรยาพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้าจะดีจริงหรือ” อวิ๋นชิงไม่รู้จะพูดอะไร จะเล่นด้วยกันดีๆไม่ได้หรือ อีกอย่างพวกเจ้าสองคนกำลังแสดงอะไรกันอยู่ จะให้คนที่เป็นโสดมาตั้งแต่เกิดอย่างเขาทนอย่างไรไหว

“เจ้ามาอีกแล้วหรือ เจ้าก็เห็นแล้ว ข้าเป็นคนมีครอบครัวแล้ว เจ้าควรจะอยู่ห่างจากข้าหน่อย” หลิวหลีพูดอย่างตรงไปตรงมา

“เรื่องนี้น่ะหรือ ข้ามีข่าว 3 เรื่องมาแจ้งพวกเจ้า พวกเจ้าจะฟังหรือไม่” เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ อวิ๋นชิงก็ทำตัวสบายๆเหมือนเดิม อีกทั้งยังพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองกระตุกมุมปาก

“ลองพูดมาสิ” หลิวหลีรู้สึกสนใจขึ้นมา หนานกงเวิ่นเทียนกลับนั่งเล่นมือของนาง การแสดงความรักเช่นนั้น ทำให้อวิ๋นชิงรู้สึกปวดตาขึ้นมา กลับไปจะต้องล้างตาเสียแล้ว ท่าทางแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นส่วนเกิน

“แค่กๆ ข่าว 3 เรื่องนี้ต่างก็เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า เรื่องแรกยินดีกับพี่หนานกง ที่ได้รับตำแหน่งหญิงงามอันดับ 1 ในภูเขาเทวา ได้ยินมาว่า ความเยือกเย็นของท่านทำให้คนหลงเสน่ห์ไม่น้อย” หลังจากที่อวิ๋นชิงพูดจบ หนานกงเวิ่นเทียนก็หยุดเล่นมือของหลิวหลี แล้วเขาเห็นเส้นเลือดสีเขียวเต้นตุบๆบนมือของอีกฝ่ายเอาเถอะ คนผู้นี้โมโหแล้ว

“แล้วเรื่องที่เหลือล่ะ” หลิวหลีไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ สามีของนางเป็นหญิงรูปงาม แต่ความงามนี้เป็นของนาง

“ส่วนเรื่องที่ 2 ยินดีด้วยนังหนู เจ้าได้รับตำแหน่งชายรูปงามอันดับ 1 คนใหม่ในภูเขาเทวา เอาชนะจิ่งซู่ที่เจ้าพูดถึง ซึ่งเป็นชามรูปงามอันดับ 1 บนภูเขาเทวาคนก่อนได้สำเร็จ” ตามที่เขาเข้าใจ ถึงแม้ภายนอกจิ่งซู่จะทำราวไม่สนใจ แต่ที่จริงแล้วเขาสนใจอย่างยิ่ง เขาให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองเสียอีก คนผู้นี้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุขอบเขตวีรบุรุษเทพได้อย่างไร เท่าที่ได้ยินมา ตั้งแต่เขาถูกเบียดจนร่วงลงจากตำแหน่งชายรูปงามอันดับ 1 เส้นผมที่เขาทะนุถนอมก็ถูกดึงขาดไปหลายเส้น

“ฮ่าฮ่า ข้าควรจะพูดขอบคุณหรือ” หลิวหลีหัวเราะเสียงเย็น สายตาของคนในภูเขาเทวาคืออะไรกัน ถึงได้มองสามีนางเป็นสาวงาม และมองนางเป็นชายรูปงาม นี่มันมองอะไรกัน ทำไมยิ่งพลังบำเพ็ญเพียรสูง สายตาก็ยิ่งแย่

“เอ่อ ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าต้องฟังข่าวเรื่องที่ 3 คือประมุขเทพจิ่งซู่ดูเหมือนคนใจกว้าง แต่จริงๆเป็นหมาป่าใจแคบ ให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตา เมื่อได้ยินว่าตัวเองถูกเบียดลงจากตำแหน่งอันดับ 1 ก็น่าจะมาหาพวกเจ้า เพื่อเตรียมจะประลองฝีมือ” ตอนที่เขารู้เรื่องที่ 3 ก็เกือบจะหัวเราะออกมา น่าขันเหลือเกิน

“สมองมีปัญหา จะต้องได้รับการรักษา” หลิวหลีวิจารณ์สั้นๆ

“ไม่ไม่ไม่ นังหนู เจ้าเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ไม่นาน อาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องราว สถานการณ์จริงก็จะเป็นเช่นนี้ อีกทั้งมาเพื่อสังหารเจ้าโดยเฉพาะ เมื่อประลองฝีมือกันจะเลี่ยงไม่ให้บาดเจ็บก็ไม่ได้ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับใบหน้าของพวกเจ้าสองคน ก็คงพูดแค่ว่าเป็นความผิดพลาด คนผู้นั้นทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง” อวิ๋นชิงกล่าว แม่เจ้า ในที่สุดเจ้าเด็กนั่นน่าจะถึงเวลาโดนจัดการแล้ว เขาจะต้องชมตั้งแต่ต้นจนจบ

“ให้เขามาล่ะ ดีแล้ว สามีของข้าจะได้สอนเขาว่าควรทำตัวอย่างไร ไม่เก็บค่าเรียนด้วย” หลิวหลีโบกมือไปมา เมื่อได้ยินแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรคงจะขึ้นลงอยู่ในขอบเขตประมุขเทพ ไม่ได้อันตรายอะไร

“นังหนู เจ้าเด็กนั่นเป็นประมุขเทพที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว” ชะล่าใจมากเกินไปหรือเปล่า อย่างน้อยก็ควรจะร่วมมือกันทั้งสองคน

“เจ้าคิดว่าคนที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าพลังบำเพ็ญเพียรจะเก่งแค่ไหนเชียว ข้าไม่ได้ดูถูกเขา แต่คาดว่าแค่กระบวนท่าเดียวของสามีข้า เขาก็รับไม่ได้” หลิวหลีที่ยังไม่ทันได้เจอตัวจริงของจิ่งซู่ ก็รู้สึกรังเกียจคนผู้นี้ไปแล้ว

และเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผ่านไปไม่นาน ก็มีชายผู้หนึ่งมาหาถึงกระท่อม มองชายหญิงตรงหน้าด้วยแววตาซับซ้อน คนพวกนี้คือคนเบียดเขาลงจากตำแหน่งอันดับ 1 ไม่ผิดแน่

“พวกเจ้าก็คือราชาเทพอัคคีที่แท้จริงกับราชาเทพเหมันต์บริสุทธิ์” จิ่งซู่อดยอมรับไม่ได้ พวกเขางดงามกันจริงๆ โดยเฉพาะคนผมแดง ท่าทางเขาสง่างาม บวกกับท่าทางที่ไม่เหมือนใคร เย้ายวนใจอย่างยิ่ง ส่วนคนด้านข้างที่ท่าทางเย็นชา ทำให้คนมองข้ามเขาไปไม่ได้ แต่สำหรับเขาแล้วช่างขวางหูขวางตา

“เจ้าคือ” หน้าตา ถือว่าพอใช้ได้ แต่ยังสู้อวิ๋นชิงไม่ได้ด้วยซ้ำ มีหลายจุดที่ดูไม่ธรรมชาติ คงไม่ได้ทำศัลยกรรมใช่ไหม แต่บนโลกเทพคงจะไม่มีคนใบหน้าอัปลักษณ์กระมัง จำเป็นต้องทำให้ตัวเองดูเหมือนผีด้วยหรือ ขนาดหัวเราะยังไม่ธรรมชาติ ดูปลอมจริงๆ นี่คงจะเป็นประมุขเทพจิ่งซู่สินะ

“ข้านามจิ่งซู่ ได้ยินมาว่าพวกเจ้าเป็นราชาเทพที่เพิ่งบรรลุมา ถึงแม้ข้าจะไร้ความสามารถ แต่พลังบำเพ็ญเพียรก็อยู่ในขอบเขตประมุขเทพ น่าจะพอสามารถให้คำแนะนำแก่พวกเจ้าได้บ้าง” จิ่งซู่กระแอมแล้วเอ่ย ปกติแล้ว เมื่อคนอื่นได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็จะมีท่าทางปิติยินดีเป็นอย่างมาก

“ไม่จำเป็นหรอก พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเราต่ำต้อย จะกล้ารบกวนคนในขอบเขตประมุขเทพได้อย่างไร” หลิวหลีปฏิเสธทันควัน ให้คำแนะนำอะไร นางต้องการสิ่งนี้หรือ รู้สึกว่ายังสู้อวิ๋นชิงไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน

“เจ้าบอกว่าไม่จำเป็นหรือ” จิ่งซู่นึกว่าตัวเองฟังผิดไป ถูกปฏิเสธทันที ปฏิเสธเขาด้วย ควรจะขอบคุณเขาด้วยท่าทางยินดีอะไรแบบนั้นนั้นไม่ใช่หรือ ทำไมคนผู้นี้ถึงไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด

“ใช่ ไม่จำเป็นจริงๆ ต่อให้จำเป็น ข้าก็จะไปหาประมุขเทพหมื่นพฤกษา อย่างไรเสียก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ใช้วีรบุรุษเทพที่มีอยู่แล้วข้างๆตัว แล้วไปใช้ของข้างนอก” หลิวหลีเน้นคำว่า ‘มีอยู่แล้ว’ กับ ‘ข้างนอก’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

อวิ๋นชิงที่พอรู้เรื่องก็แล่นมาหา ก็พูดไม่ออก นังหนูลงมือจัดการเจ้านี่ไปเลยไม่ได้หรือ จะมัวยืนเถียงกันอยู่ทำไม

“อ่ะแฮ่ม แค่กๆ ในเมื่อประมุขเทพจิ่งซู่เห็นความสำคัญของเจ้า เจ้าก็ลองปะทะกับวีรบุรุษเทพจิ่งซู่สักหลายกระบวนท่าก็ได้” อวิ๋นชิงกระแอมแล้วพูดขึ้น

“อย่างนี้นี่เอง ในเมื่อวีรบุรุษเทพหมื่นพฤกษาพูดออกมาแล้ว ข้าจะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร เพียงแต่ว่าข้าเป็นนักปรุงยาที่อ่อนแอ ไม่ถนัดต่อสู้ ให้สามีของข้าเป็นคนออกโรงได้หรือไม่” ถึงแม้เป็นน้ำเสียงที่เป็นคำถาม แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือให้ประลองฝีมือกับสามีของนางเท่านั้น

“ก็ได้ เริ่มจากสามีของเจ้าก่อนก็ได้” จิ่งซู่ชิงพูด กลัวว่าพวกเขาจะกลับคำ อวิ๋นชิงหมดแรงจะเยาะเย้ย นังหนูคนนี้แสดงเก่งจริงๆ นักปรุงยาที่อ่อนแอหรือ หากไม่ใช่ว่าเขารู้โฉมหน้าที่แท้จริงของนาง เขาก็คงจะโดนหลอกด้วยแน่ นังหนูคนนี้โหดร้ายยิ่งกว่าสามีของนางเสียอีก แต่กลับบอกว่าตัวเองไม่ถนัดต่อสู้ โถ่ อันตราย อันตรายจริงๆ

“ได้โปรดแนะนำด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนไม่พูดอะไร อยู่ในขอบเขตพลังแค่นี้ยังกล้ามาประลองกับพวกเขา คาดว่าคงถูกเยินยอจนสมองหายไปหมดแล้ว สมองระดับนี้ยังบรรลุขอบเขตประมุขเทพได้ คาดว่าสำหรับพวกเขาสองสามีภรรยาแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร

………………………………….