ตอนที่ 113 ตายแล้ว

อะไรนะ! เขาตายแล้วงั้นหรือ?

เด็กสาวรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก

นางยังไม่ทันเจอวิธีแก้พิษกู่เลยเสียด้วยซ้ำ เขาจะมาตายเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ซูหวานหว่านเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ฉีเฉิงเฟิงจะตายได้อย่างไร? ไม่! ข้าไม่เชื่อ! ซูหวานหว่านผุดลุกขึ้นยืนรีบเดินออกไปที่บ้านตระกูลสือพร้อมลากตัวฮวงเหล่าไปด้วย

เวลานี้บ้านตระกูลสือเงียบงันไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ

เมื่อไม่เห็นใครในลานบ้าน ซูหวานหว่านก็เข้าไปในห้องนั้นอย่างรีบร้อน แต่ก็ไม่พบใครเลยเช่นกัน!

ฉีเฉิงเฟิงและคนอื่น ๆ ไม่อยู่แล้ว!

ซูหวานหว่านวิ่งออกมาจากที่นั่น จนในที่สุดก็พบใครคนหนึ่งที่สวนหลังบ้านของตระกูลสือ เด็กสาวแล้วรีบคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แล้วถามออกมาอย่างร้อนใจ “สามคนนั้นที่มาพักอาศัยที่นี่ไปไหนเสียแล้ว?”

“สามคนนั้น? พวกเขาไปแล้ว!”

ว่าอย่างไรนะ!

ซูหวานหว่านตื่นตระหนก “พวกเขาไปที่ไหน?”

“อันนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ใบหน้าของชายผู้นั้นพลันเปลี่ยนสี พร้อมจับมือของซูหวานหว่านออก

เด็กสาวปล่อยมือ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความว่างเปล่า พยายามคิดแล้วคิดอีก นางเดินออกไปยังที่ลับตาคนแล้วปล่อยนกในมิติฟาร์มออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้พวกมันช่วยตามหาฉีเฉิงเฟิง

เมื่อเห็นซูหวานหว่านอยู่ในอาการตื่นตระหนก หลิงเชอก็ยิ้มและพูดว่า “ที่เจ้ากระวนกระวายใจเช่นนี้เป็นเพราะว่าอยากช่วยเขาใช่หรือไม่?”

“ใช่” ซูหวานหว่านยอมรับออกมาตรง ๆ

“เขาไม่ได้จะตายจริง ๆ เสียหน่อย เจ้าจะตื่นหนกไปไย?” หลิงเชอพูดพลางอมยิ้มพร้อมกับลากตัวซูหวานหว่านเข้ามาในมิติฟาร์ม “ถ้าหากว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆ มิติฟาร์มนี้คงสิ้นสลาย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพื้นที่ในมิติฟาร์มเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ซึ่งมันหมายความว่า… ในตอนนี้เขากำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่ถึงตาย”

“แต่ว่า…” ซูหวานหว่านเป็นกังวล เมื่อนางนึกถึงบทสนทนาระหว่างสองพี่น้องของตระกูลสือ ในตอนนี้เด็กสาวรู้แค่ว่าฉีเฉิงเฟิงมีพิษกู่อยู่ในร่างกาย แม้ว่าเขาจะกระอักเลือดพ่นพิษออกมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีพิษหลงเหลืออยู่ ซูหวานหว่านกลัวว่าพิษกู่จะกระจายไปทั่วร่างกายของฉีเฉิงเฟิง และกัดกินร่างกายของชายหนุ่มโดยไม่มีอะไรมาฉุดรั้ง เขาจะทรมานอย่างสาหัส

“นี่เจ้ากังวลเกี่ยวกับเขางั้นเหรอ? เขามีหญิงงามอยู่ข้างกาย อีกทั้งนางยังเป็นสตรีที่มีฐานะร่ำรวย ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจเป็นใหญ่ขึ้นก็ได้ เจ้าคิดหรือว่าหากเจ้าทำให้ความทรงจำของเขาฟื้นคืนมาแล้วเขาจะกลับมาหาเจ้างั้นรึ?” หลิงเชอกล่าววาจาเย้ยหยัน “เจ้าตีค่าความรู้สึกที่เขามีต่อเจ้าสูงเกินไปเกินแล้ว”

พูดจบหลิงเชอก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้ซูหวานหว่านอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง เด็กสาวไตร่ตรองคำพูดของหลิงเชอซึ่งก็ดูมีเหตุผล

หากว่าฉีเฉิงเฟิงรักนางจริง ๆ เขาจะตกหลุมพลางของสือเป้ยเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน?

เป็นไปได้หรือไม่ที่นางจะรู้สึกไปเองคนเดียว? ซูหวานหว่านถอนหายใจแล้วตั้งสติดึงความคิดของตนเองกลับมา และออกมาจากมิติฟาร์ม

จนฮวงเหล่าตามหาตัวนางจนพบ ชายชราถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เด็กสาวไม่ตอบคำถามของฮวงเหล่าและลากตัวเขาไปซื้อวัตถุดิบเพื่อเตรียมทำขนมไปเซ่นไหว้ที่หลุมฝังศพในวันพรุ่งนี้แทน

บรรดานกที่ปล่อยออกไปได้บินกลับมาแล้ว แต่ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้บอกอะไรก็ถูกซูหวานหว่านเก็บกลับไปในมิติฟาร์มเสียก่อน

ซูหวานหว่านซื้อของจำนวนไม่น้อยเพื่อนำมาทำขนมจำนวนมาก หญิงสาวจัดเตรียมรถม้าเอาไว้เพื่อวันรุ่งขึ้นนางจะติดตามฮวงเหล่าและป๋ายเหล่าไปด้วย

ในวันรุ่งขึ้น เมื่อออกเดินทางรถม้าได้หยุดลงที่เชิงเขา พวกเขาทั้งสามคนก้าวลงจากรถม้า หญิงสาวถามอย่างสงสัยว่าที่นี่คือที่ใด และเมื่อได้ยินว่าหลุมฝังศพอยู่ตรงบริเวณหน้าผาบนยอดเขา นางก็รู้สึกจนปัญญา

ภูเขาลูกนี้สูงชันมาก อย่างน้อยก็ราว ๆ 600 จั้งเศษ! ด้านบนนั้นรกร้างเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่ยังไม่เคยมีใครเหยียบย่ำมาก่อน นี่มันคือการทรมานนางชัด ๆ

ซูหวานหว่านหยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง นางลองใช้พลังภายในของตนเองทำให้หญ้าทิ้งตัวลู่ลงแปรเปลี่ยนเป็นทางเดิน ให้นางได้สัญจรได้ง่ายยิ่ง ทำเอาชายชราทั้งสองต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

“ฮวงเหล่า ศิษย์คนนี้ของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว นางน่าจะเหมาะสมกับหลานชายผู้ที่ร่ำรวยและสง่างามนะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“เฮอะ! หลานชายของเจ้าจะมาคู่ควรกับลูกศิษย์ของข้าได้อย่างไร!” ฮวงเหล่าหัวเราะและกระโดดตัวลอยไปไกล ป๋ายเหลาไล่ตามเขาไปอย่างไม่พอใจนัก และทั้งสองคนต่างพูดเหน็บแนมกันไปอย่างไม่มีใครยอมใคร

เมื่อไม่มีผู้ใดคอยนำทาง ในที่สุดซูหวานหว่านก็เดินทางมาถึงยอดเขาเพียงลำพัง หญิงสาวอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่ราบเรียบ นางมองหาต้นไม้ใหญ่และปีนขึ้นบนกิ่งไม้ใหญ่นั่งรอสองตาเฒ่า

หลังเดินทางมาถึงยอดเขา นางก็พบว่ามีถ้ำอยู่ที่ด้านหลังภูเขาด้วย นางไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนปลูกต้นท้อขนาดใหญ่บนภูเขาลูกนี้ ในตอนนี้ดอกท้อกำลังเบ่งบานไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้บริเวณโดยรอบดูร่มรื่นเงียบสงบ เด็กสาวหลับตาลงและได้ยินเสียงนกส่งเสียงร้อง ทำให้หัวใจของนางพลันสงบลง

ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

“คุณชายฉีเฉิงเฟิง เจ้าฟื้นสิ”

ฉีเฉิงเฟิงรึ? มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า?

ซูหวานหว่านลืมตาขึ้นและเห็นร่องรอยของคนอยู่ไม่ไกลจากบนต้นไม้ ในบริเวณไม่ไกลนั้นมีร่างของชายผู้หนึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้น ทั้งข้างกายมีชายหญิงคู่นึง ซึ่งที่แท้ก็คือฉีเฉิงเฟิงและสองพี่น้องตระกูลสือ

ดวงตาของฉีเฉิงเฟิงปิดสนิท สือเป้ยเอ๋อร์จ้องมองไปที่สือเฉิงชุนผู้เป็นพี่ชายแล้วพูดออกมาด้วยความโกรธ “ท่านพี่! ท่านไม่ได้เป็นคนบอกเองหรอกหรือว่าเขาจะไม่ตาย? ไม่ใช่ท่านหรือที่บอกให้กินพิษกู่เข้าไปอีก ข้าก็ให้เขากินแล้ว แต่ทำไม… เขาถึงยัง…”

“เขาจะต้องตื่นขึ้นมาและตกหลุมรักเจ้าอีกครั้งแน่ เจ้าอย่างเพิ่งตื่นตระหนกไป” สือเฉิงชุนพูดกับผู้เป็นน้องสาว ทันใดนั้นก็เห็นฉีเฉิงเฟิงลืมตาขึ้นมา ทว่าความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“พวกเจ้าสองพี่น้องโหดร้ายเสียจริง ๆ! เพื่อจะควบคุมข้าอีกครั้งเจ้าจ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อพิษกู่!!” ฉีเฉิงเฟิงลุกขึ้นยืนหยิบขวดขนาดเล็กออกมาจากเอว แล้วพูดออกมาว่า “พวกเจ้าคงไม่ทันสังเกต ว่าข้ารู้สึกตัวนานแล้ว ดังนั้นข้าจะกินพิษกู่เข้าไปได้อย่างไรกัน มันโดนข้าจับใส่ขวดเอาไว้นานแล้ว!”

ทั้งสองเกิดอาการตกตะลึง ใบหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์ภายใต้ผ้าคลุมซีดลงอย่างเห็นได้ชัด “คุณชายฉี ตอนนี้ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านมากนะ เพราะตอนนี้ในร่างกายของท่านยังมีพิษกู่ที่ยังไม่ได้เอาออกไปอยู่ ที่ข้าทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของท่าน ข้าจึงลองมันอีกครั้ง…”

“พอแล้ว!” ฉีเฉิงเฟิงขมวดคิ้วแน่น “พวกเจ้าสองคนทำทุกอย่างเพื่อหวังให้ข้ากลับไปที่เมืองหลวง พวกเจ้าต้องการเงินทองและความรุ่งโรจน์ของข้าใช่หรือไม่? ความทะเยอทะยานของพวกเจ้ามันแรงกล้ายิ่งนัก! เจ้าอยากเกี่ยวดองกับราชวงศ์ และพยายามฮุบทรัพย์สินของข้า!”

นี่ถือเป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต! ตระกูลสือไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้! สือเป้ยเอ๋อร์หวาดกลัวจนตื่นตระหนกดึงแขนของฉีเฉิงเฟิงไว้และพูดว่า “ไม่! มันไม่ใช่แบบนั้น!”

แววตาของนางพลันแปรเปลี่ยนไปในทันใด “ที่ข้าต้องกลายเป็นคนเช่นนี้ มันเป็นเพราะใครกัน? ข้าทำไปทั้งหมดเพื่อใคร? ไม่ใช่เพื่อท่านหรอกหรือ? ท่านหนีการแต่งงานมา คนที่ขายหน้าก็คือข้า!”

ซูหวานหว่านนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดและเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง เด็กสาวไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับฉีเฉิงเฟิงอีกต่อไป นางกำลังจะลงจากต้นไม้และจากไป แต่ทันใดนั้นก็เห็นสือเป้ยเอ๋อร์ฉกขวดขนาดเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของฉีเฉิงเฟิงมา

สือเฉิงชุนคว้าตัวของฉีเฉิงเฟิงที่ร่างกายอ่อนแอจากอาการบาดเจ็บ ส่วนสือเป้ยเอ๋อร์ก็เปิดปากขวดเพื่อเทพิษกู่เข้าไปในปากของฉีเฉิงเฟิงอีกครั้ง!

ซูหวานหว่านพลันตกใจและกระโดดลงจากต้นไม้โดยสัญชาตญาณ เด็กสาววิ่งตรงไปยังจุดที่สามคนนั้นอยู่ นางเตะไปที่สือเป้ยเอ๋อร์อย่างแรง ใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ทำให้สือเป้ยเอ๋อร์กระเด็นลอยออกไปไกล! จนทำให้อีกฝ่ายเกือบจะตกหน้าผา!

สือเฉิงชุนตกใจ “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?”

ซูหวานหว่านไม่ได้สนใจคำถามและพูดออกมาอย่างเย็นชา “ปล่อยตัวเขาไปเดี๋ยวนี้”

ฉีเฉิงเฟิงมองซูหวานหว่านด้วยท่าทางเฉยชา แล้วพูดออกมา “เจ้าเป็นใคร? อย่ามายุ่งเรื่องของข้าจะดีกว่า ไสหัวไปซะ!”

เขากำลังไล่นางงั้นเหรอ? หากไม่ใช่เพราะในดวงตาของฉีเฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความกังวล ซูหวานหว่านก็คงจะเชื่อไปแล้ว!

…นางพูดออกมาอย่างแน่วแน่อีกครั้ง “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”

สือเฉิงชุนพูดออกมาอย่างเฉยเมย “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาที่นี่ได้ ข้าเลือกมาที่นี่ก็เพื่อจะให้ฉีเฉิงเฟิงกินพิษกู่เข้าไป แล้วข้าก็จะสามารถควบคุมเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะโผล่มาที่นี่ได้!”

หลังจากพูดจบ สือเฉิงชุนก็มองไปที่ฉีเฉิงเฟิง “ในเมื่อหมากตัวนี้มันไม่เชื่อฟัง ก็คงจะปล่อยไปง่าย ๆ ไม่ได้เสียแล้ว!”

หลังจากนั้นเขาก็ผลักตัวฉีเฉิงเฟิงไปทางหน้าผา

ซูหวานหว่านเห็นดังนั้นก็รีบกระโจนเข้าไปคว้าฉีเฉิงเฟิงเอาไว้ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่ามันคือแผนลวงของสือเฉิงชุน เขาหลอกล่อให้เด็กสาวเข้าไปใกล้แล้วใช้ดาบจี้ที่คอของซูหวานหว่านทันที

“ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะรักเขามากขนาดไหนกัน” สือเฉิงชุนพูดเยาะเย้ยออกมาพร้อมกับเอามีดจี้ไปที่คอ “ปล่อยมือของเขาไปซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

ปล่อยมือของฉีเฉิงเฟิงงั้นหรือ? หากนางปล่อยเขาก็จะตกลงไป! และเขาอาจจะตายไปเลยก็ได้!