เฟยหลัวรู้สึกเพียงว่าโลหิตทั่วร่างคล้ายเย็นเยียบแล้ว
เสียงนี้คุ้นเคยเหลือเกิน เกียจคร้านแหบแห้ง มีเสน่ห์เฉพาะตัว แต่ก่อนฟังแล้วเพียงรู้สึกรังเกียจทว่ายามนี้ฟังแล้วรู้สึกหวาดกลัว
“จิ่ง…จิ่ง…” นางอยากเอ่ยวาจา อยากด่าทอ ทว่าพอเสียงมาถึงข้างปากกลับกลายเป็นเสียงสั่นเครือแหบพร่า
ไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใด แต่ก่อนนางไม่เคยหวาดกลัวจิ่งเหิงปัวเลย ซ้ำยังดูถูกนางอยู่บ้างด้วยซ้ำ ทว่าท่ามกลางสายลมหิมะค่ำคืนนั้น มองเห็นนางหลบหนีออกจากวังแล้วยังกล้ากลับมาจัตุรัสหวงเฉิงด้วยตาตนเอง มองเห็นนางใช้มีดแทงหน้าอกของกงอิ้นด้วยตาตนเอง มองเห็นนางขับไล่ผู้ช่วยชีวิตยามเข้าสู่ทางตันด้วยตาตนเอง ก้นบึ้งของหัวใจก็พลันเกิดความเหน็บหนาว จำเป็นต้องพิจารณาสตรีนางนี้อีกครั้ง ด้วยเพราะความเด็ดเดี่ยวเย็นชาที่ปรากฏให้เห็นในช่วงเวลาสำคัญของนาง
นางเคยเห็นความไร้เดียงสาและหลงระเริงก่อนหน้านี้ของจิ่งเหิงปัว ฉะนั้นจึงตกตะลึงกับความเงียบสงบและไอสังหารในค่ำคืนนั้นของนางยิ่งนัก
ใคร่ครวญไถ่ถามตน หากเป็นนางเอง ไม่แน่ว่าจะทำได้
ฉะนั้นจึงอยากสังหารจิ่งเหิงปัวยิ่งนัก ยินยอมร่วมมือกับผู้อื่นกระทำการครั้งนี้ ด้วยเพราะรู้สึกอยู่เสมอว่าหากจิ่งเหิงปัวไม่สิ้นชีพ นางจะเป็นความฝันที่ร้ายกาจมากที่สุดในภายภาคหน้าของตนเอง
ยามนี้ ฝันร้ายนั้นกำลังยืนอยู่ข้างหลังนาง แนบชิดนางแนบแน่น ซ้ำยังหัวเราะด้วย
ยิ่งหัวเราะ ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ากลัว
“ท่านเสนาหญิงปรีชาสามารถนัก” จิ่งเหิงปัวเอ่ยอย่างเชื่องช้า “เป็นเสนาบดีไม่ได้แล้ว ถูกเนรเทศสู่แคว้นอื่นแล้ว ท่านยังโน้มน้าวตระกูลเหยียลี่ว์ วางแผนการยิ่งใหญ่อะไรนั่นได้อีกครั้ง ความสามารถในการเอ่ยวาจาเหลวไหลเช่นนี้พาให้ข้าลุ่มหลงโดยแท้ จริงสิ ถามสักหน่อยได้หรือไม่ว่าเป็นแผนการยิ่งใหญ่อะไรกันแน่?”
นางหัวเราะไปพลาง นิ้วมือก็ลูบคลำบนใบหน้าของเฟยหลัวไปพลาง ปากพึมพำกับตนเองว่า “เฮ้อ หันหลังให้กันไม่ค่อยสะดวกเลยแฮะ ดวงตาอยู่แห่งใดหนอ?”
นางไว้เล็บยาวเล็กน้อย เย็นเยียบแข็งแกร่ง จิ้มไปจิ้มมาบนใบหน้าของเฟยหลัวอย่างไร้ซึ่งความพะว้าพะวัง เฟยหลัวไม่สงสัยเลยว่าหากนางไม่พอใจขึ้นมา นิ้วมือคงจะจิ้มเข้าไปในดวงตาที่ซึ่งบอบบางที่สุดของนางอย่างรุนแรง
นางรู้ซึ้งถึงความโหดเ**้ยมของจิ่งเหิงปัว
“เจ้าวางมือลง…ข้าเอ่ย ข้าเอ่ย” นางเอ่ยโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวหัวเราะแผ่วเบาออกมาเสียงหนึ่ง นิ้วมือทอดลง ทว่าทอดลงอย่างชักช้าเหลือเกิน วาดลงไปตามคอหอยของเฟยหลัวอย่างเชื่องช้า เฟยหลัวรู้สึกเพียงว่าขนลุกขนชันทั่วร่างด้วยความตึงเครียด อดจะกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้ กลัวว่านางจะนึกสนุกขึ้นมาแล้วจะจิ้มบนคอหอยจนเป็นโพรงด้วย
“เจ้ารีบเร่งเอ่ยวาจา ทว่าจู่ๆ ข้าก็ไม่รีบร้อนอยากจะฟังแล้ว” จิ่งเหิงปัวกล่าวด้วยเสียงนิ่มนวลว่า “เอายาถอนพิษมาก่อน”
เหยียลี่ว์ฉีที่กำลังเดินเข้ามาชะงักเล็กน้อย แววตาวูบไหวท่ามกลางความมืดมิด
เขานึกไม่ถึงว่าเรื่องแรกที่จิ่งเหิงปัวต้องการคือเอายาถอนพิษให้เขา
“ไม่มียาถอนพิษ…” เฟยหลัวกลัวว่าจิ่งเหิงปัวจะโมโหขึ้นมา จึงรีบเร่งเอ่ยเสริมว่า “พิษนี้เป็นพิษบนกรงเล็บของสัตว์หาทอง ข้ายังไม่ได้ค้นคว้ายาถอนพิษออกมา ทว่ายาพิษนี้ยังมีวิธีถอนพิษได้ เพียงต้องการศิลาจันทราฟ้าครามที่ได้จากเผ่าหวงจินโดยเฉพาะมาบดเป็นผงเท่านั้นเอง แม้ศิลาจันทราจะหายาก ทว่าที่พระราชวังน่าจะเก็บรักษาไว้บ้าง รวมทั้งสถานที่ต้องห้ามหลายแห่งของเผ่าหวงจินด้วย…”
“พระราชวัง? สถานที่ต้องห้าม?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “นับเป็นสถานที่ที่ดีงามปลอดภัยไว้ใจได้โดยแท้ เหตุใดเจ้าไม่เอ่ยว่าดวงจันทร์หรือดาวอังคารเสียเลยเล่า?”
เฟยหลัวไม่เข้าใจวาจาของนาง ทว่ายังรับรู้ได้ถึงความสงสัยและความคิดสังหารของนาง รีบร้อนล้วงยาเม็ดหนึ่งจากในอ้อมแขน เอ่ยว่า “แม้สิ่งนี้เยียวยาพิษได้ไม่ตรงอาการนัก ทว่ายับยั้งความเป็นพิษได้ ภายในสามวันนี้พิษจะไม่กำเริบ ผู้นำเผ่าหวงจินมีนิสัยเผด็จการอาฆาตมาดร้าย นอกจากสถานที่ต้องห้ามไม่กี่แห่งที่เขาไม่กล้าเข้าไป ของดีทุกสิ่งภายในชนเผ่าแทบจะรวมกันอยู่ในพระราชวังของเขา เรื่องนี้เจ้าถามเหยียลี่ว์ฉี เขาเป็นพยานให้ข้าได้…”
จิ่งเหิงปัวมองทางเหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์ฉีพยักหน้า
“มาสิ ลองกินสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวให้เฟยหลัวกินยานั้นเล็กน้อย รออยู่สักพักแล้วจึงโยนยาเม็ดให้เหยียลี่ว์ฉี
“เรื่องต่อมา แผนการยิ่งใหญ่นั่นของพวกเจ้า?”
เฟยหลัวลังเลอยู่บ้าง จิ่งเหิงปัวจึงรู้ได้ทันทีว่านางกำลังเรียบเรียงเรื่องโกหก เดี๋ยวสิ่งที่เอ่ยออกมาคงจริงครึ่งเท็จครึ่งอย่างแน่นอน
จะทำอย่างไรถึงบังคับให้นางเอ่ยความจริงออกมาได้?
ภายในสมองนางพลันมีท่วงท่าหนึ่งแล่นผ่าน
ขณะอยู่แคว้นเซียง ภายในห้องหลอมยาอายุวัฒนะใต้ดินนั่น ขันทีอัปลักษณ์คนนั้นเคยใช้นิ้วมือกดตำแหน่งหนึ่งบนส่วนศีรษะของนาง จากนั้นนางก็พลันรู้สึกว่าศีรษะวิงเวียนระลอกหนึ่ง เจ็บปวดคล้ายจะระเบิดออก แม้ความรู้สึกนั้นจะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วครู่เดียว แต่ตอนนั้นนางก็รู้สึกว่าครุ่นคิดอะไรไม่ได้เลย นางแน่ใจว่าขณะนั้น ต่อให้มีคนถามถึงความลับที่นางไม่เต็มใจบอกคนอื่นที่สุด นางก็คงจะกล่าวออกมาจนหมดเปลือก
นั่นคงเป็นวิธีทรมานสอบสวนที่ดีที่สุด…
นิ้วมือของนางขยับเขยื้อน อาศัยความทรงจำคลำหาตำแหน่งนั้นจนเจอ ก่อนสองนิ้วออกแรงกดลงไปอย่างรุนแรง!
“กรี๊ด!” เฟยหลัวเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาโดยพลัน สะบัดศีรษะสุดชีวิต
จิ่งเหิงปัวแอบยินดีอยู่ในใจ รู้ว่าได้ผลแล้วอย่างที่คิดไว้
“แผนการของพวกเจ้า!” นางตวาด
“ข้า…หลายปีมานี้ข้าได้คบหาสมาคมกับผู้นำเผ่าหวงจินอยู่บ้าง ล่วงรู้ความลับเล็กน้อยของเขาเข้าโดยไม่ตั้งใจ” เฟยหลัวเอ่ยตอบอย่างรวดเร็วโดยแท้ คล้ายอยากหลุดพ้นจากความสับสนเช่นนี้ เอ่ยสืบต่อว่า “คล้ายว่ายามแรกซังต้ง เซวียนหยวนจิ้งและเผ่าหวงจินเคยสัญญากันไว้ รายละเอียดสัญญาเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงแต่ว่าหลังจากซังต้งสิ้นชีพผู้นำเผ่าหวงจินเดือดดาลยิ่งนัก เอ่ยว่าด้วยเพราะสิ่งของที่ซังต้งสูญเสียไป เขาต้องการนำมันกลับมา ฟังความนัยของเขาแล้ว คล้ายว่าคิดจะก่อกบฏอีกครั้ง ทว่าการก่อกบฏครั้งนั้นของเผ่าหวงจิน บาดเจ็บสาหัสนัก บัดนี้ไม่ว่าเป็นกำลังคนหรือกำลังอาวุธล้วนมีไม่เพียงพอทั้งนั้น ผู้นำเผ่าหวงจินจึงเกิดความคิดแตะต้องหุบเขาเทียนฮุย…”
“หุบเขาเทียนฮุยหรือ?”
“หุบเขาเทียนฮุย!” เหยียลี่ว์ฉีชะงักงัน เขากินยาเสร็จแล้ว มองดูบนแขนแม้รอยเขียวม่วงยังไม่สูญสลาย ทว่าเส้นสีดำหนึ่งนั้นหยุดลุกลามขึ้นสู่ข้างบนแล้ว
“เจ้ารู้จัก?” จิ่งเหิงปัวมองเขา
“หนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของเผ่าหวงจิน ตำนานเล่าว่าภายในหุบเขาซุกซ่อนหินแร่ที่สามารถสร้างปืนผาหน้าไม้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ ซ้ำยังให้กำเนิดสมุนไพรที่ควบคุมพิษประหลาดทั่วโลกหล้าได้มากมาย ทว่าราวกับไม่รู้ว่าหินแร่เหล่านั้นมีปัญหาหรือสมุนไพรมีปัญหา ภายในหุบเขาเทียนฮุยไม่เพียงมีแต่บึงโคลนทั่วหุบเขา ซ้ำยังอบอวลไปด้วยหมอกเทาหนึ่งชั้นตลอดทั้งปี ผู้ใดก็ตามหากเข้าไปแล้ว อยู่รอดได้ไม่เกินสามวันเป็นแน่ คนที่ออกมาภายในสามวัน ผิวหนังต่างเน่าเปื่อยพุพองสิ้นชีพรวดเร็วได้ง่ายดายยิ่งนัก ฉะนั้นแม้ผลผลิตภายในหุบเขาเทียนฮุยจะทำให้ทุกผู้คนอยากได้จนน้ำลายสอ ทว่าหลังจากผ่านมาหลายปีมีคนมากมายขนาดนั้นสิ้นชีพ ค่อยๆ ไม่มีคนกล้าไปอีกแล้ว”
เหยียลี่ว์ฉีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยเสริมว่า “อีกทั้ง แม้ทางการไม่กล้าเข้าไป ยอดฝีมือยุทธภพของต้าฮวงยังคงลองดูอย่างต่อเนื่อง เวลาสามวันเป็นขีดจำกัดของคนธรรมดา คนธรรมดาอาจจะยังเดินผ่านบึงโคลนแห่งหนึ่งภายในหุบเขาไปไม่ได้ในสามวัน ย่อมหาสิ่งใดไม่พบ ทว่าสำหรับคนในยุทธภพที่มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศแล้ว เวลาสามวันสามารถเดินกลับไปกลับมาในหุบเขารอบหนึ่งได้ ฉะนั้นหลายปีมานี้จึงมียอดฝีมือเข้าไปไม่ขาดสาย ทว่าเรื่องประหลาดคือยอดฝีมือสิ้นชีพมากขึ้นทุกวันเช่นกัน เข้าไปแล้วไม่ได้กลับมา ยามนี้หุบเขาเทียนฮุยไม่ได้เป็นหุบเขาเทียนฮุย เป็นหุบเขาแห่งความตายเฉกเช่นนามของมันแล้ว”
“ต้าฮวงมีสถานที่ลึกลับมากมาย อันที่จริงทุกชนเผ่าทุกแคว้นสถาปนาล้วนมีสถานที่ต้องห้ามของตนเอง ทุกแห่งล้วนเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ใช้ความตายของคนนับมิถ้วนพิสูจน์ความน่ากลัวมานานหลายปี…” เฟยหลัวเอ่ยสืบต่อว่า “หุบเขาเทียนฮุยเป็นเพียงหนึ่งในนั้น”
“ในเมื่อเป็นสถานที่แห่งความตาย เหตุใดผู้นำเผ่าหวงจินจึงเกิดความคิดแตะต้องมันอีกครั้ง?”
“ด้วยเพราะเขาได้ยินข่าวสารหนึ่งรำไร” เฟยหลัวเอ่ยว่า “เมื่อไม่นานมานี้ มีคนหลงทางเข้าสู่หุบเขาเทียนฮุยอีกครั้ง คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ สุดท้ายหลบหนีออกมาได้ แม้สุดท้ายแล้วเขายังคงสิ้นชีพภายในไม่กี่วันต่อมา ทว่าก่อนสิ้นชีพเคยเอ่ยว่ามองเห็นคนอยู่ภายในหุบเขา”
“โอ้?” เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้ว คล้ายเกิดความสนใจขึ้นมา
“อาจจะเข้าไปในขณะนั้นพอดี?”
“ไม่ใช่ เป็นคนที่อาศัยอยู่ในหุบเขา” เฟยหลัวเอ่ยว่า “ยอดฝีมือผู้นี้เคยสนทนากับอีกฝ่ายชั่วครู่ สติปัญญาของอีกฝ่ายไม่ค่อยแจ่มชัดนัก ยามลงมือจัดการเขา เอ่ยเต็มปากเต็มคำว่าให้เขากลับไปบอกนังคณิกาหมิงเฉิงกับไอ้ทรราชกงอิ้นนั่นว่าหนี้โลหิตที่ติดค้างไว้ ช้าเร็วย่อมต้องชดใช้…”
จิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าตกตะลึง
นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินวาจาเช่นนี้
หมิงเฉิงเหรอ? นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ?
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าแปลกประหลาดเช่นกัน สถานที่ที่ยอดฝีมือมากมายขนาดนั้นทนอยู่ได้ไม่เกินสามวัน จะมีคนอาศัยอยู่นานหลายปีได้อย่างไร?
“ยามนั้นเผ่าหวงจินก่อกบฏ ผู้นำเผ่าคนเดิมปลิดชีพหลังจากถูกปราบปราม ผู้นำเผ่าคนปัจจุบันถูกกงอิ้นประคองขึ้นสืบทอดตำแหน่ง มอบเหมืองทองในบังคับบัญชาเกือบครึ่งใหญ่เพื่อชดใช้ความผิด ส่วนขุนพลทุกนายที่เข้าร่วมก่อกบฏยามนั้น กงอิ้นเรียกร้องให้ผู้นำเผ่าจัดการด้วยตนเอง การจัดการด้วยตนเองที่เอ่ยไว้นั้นย่อมไม่อาจจัดการตามใจชอบ ฉะนั้นพวกเขาทุกคนถูกโยนเข้าหุบเขาเทียนฮุย ยามนั้นผู้นำเผ่าปิดผนึกหุบเขาเทียนฮุยหนึ่งเดือน พอแน่ใจว่าไม่มีคนหลบหนีออกมาได้ สิ้นชีพอยู่ภายในนั้นจนสิ้นถึงได้เปิดหุบเขาอีกครั้ง”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้แต่เฟยหลัวก็ยังส่ายหน้าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นขุนพลเลื่องชื่อทั่วโลกหล้าด้วย…เอ่ยว่าเผ่าหวงจินเป็นพวกทรยศโดยกำเนิด ด้วยเพราะพวกเขาองอาจห้าวหาญชำนาญการต่อสู้ นิสัยกระด้างกระเดื่องแต่กำเนิด ยิ่งกว่านั้น ในหมู่คนเหล่านั้นยังมีเผยซูด้วย…ผู้อ่อนวัยมากความสามารถคนหนึ่งนั้น เทพสงครามผู้เลิศล้ำทั่วหล้าในภายภาคหน้า ดับสูญสิ้นชีพเช่นนี้แล้ว…”
ในใจจิ่งเหิงปัวเหน็บหนาวขึ้นมาเล็กน้อย จินตนาการว่าคนพวกนั้นถูกขับไล่เข้าสู่ภายในหุบเขา ไร้หนทางหลบหนี ภายใต้ท้องฟ้าสีเทามืดมนเหน็บหนาวบนศีรษะ หมอกพิษค่อยๆ ประชิดเข้ามา…
จุดจบนี้น่าเวทนาเสียยิ่งกว่าความตาย
ดูจากสีหน้าของเฟยหลัวแล้ว คงเสียดายเผยซูอะไรนั่นเหลือเกิน แต่ไหนแต่ไรมาเฟยหลัวสนใจแค่พ่อรูปงามล้ำเลิศ คนนี้น่าจะเป็นผู้เลิศล้ำเช่นกัน เสียดายว่าตายตั้งแต่อายุยังน้อย ต่อให้เป็นคนหล่อกว่านี้ พอตายแล้วล้วนอัปลักษณ์อย่างยิ่ง
“เผยซู ขุนพลอ่อนวัยเลื่องชื่อที่พลันโผล่ขึ้นมาในเผ่าหวงจินเมื่อหลายปีก่อน ใช้เวลาเพียงสามปีจากคนธรรมดาขึ้นสู่ตำแหน่งขุนพลน้อย เลื่องลือนามเคียงคู่กับอิงไป๋ผู้เป็นสมุหราชองครักษ์อวี้จ้าว เรียกว่าหยกขาวแกนทองคำ” แม้แต่เหยียลี่ว์ฉียังแนะนำให้นางรู้จัก สีหน้าเสียดายเช่นกัน เอ่ยสืบต่อว่า “เล่าลือกันว่าเขาได้ตำราอัศจรรย์จากอาหรับ เชี่ยวชาญยุทธวิธีการรบ การใช้ทหารแปลกประหลาดโหดเ**้ยมดุดัน บัดนี้เขาสิ้นชีพแล้ว ไม่รู้ว่าตำราพิชัยสงครามเล่มนั้นอยู่ในหุบเขาเทียนฮุยหรือไม่”
จิ่งเหิงปัวจดจำวาจานี้ไว้ในใจ
“มีคนเอ่ยว่าก่อนสิ้นชีพยอดฝีมือผู้นั้นสมองเลอะเลือนจนมองเห็นภาพมายา หรือว่าสิ่งที่เขามองเห็นคือวิญญาณ…” เฟยหลัวเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข่าวสารนี้ทำให้ผู้นำเผ่าหวงจินเกิดอารมณ์ฮึกเหิม หลายปีมานี้เผ่าหวงจินมีผลผลิตลดลง ศักยภาพเสื่อมถอย ผู้นำเผ่าคิดจะครอบครองตำแหน่งอย่างมั่นคง ต้องการสงครามครั้งหนึ่งมาเสริมความแข็งแกร่งให้ตำแหน่งของตนเองอย่างเร่งด่วน หากอยากก่อสงครามย่อมต้องมีคนมีเงินมีเสบียง พอได้ยินข่าวสารนี้ เขารู้สึกว่าอาจจะลองเข้าหุบเขาเทียนฮุยได้ ลงมือกระทำเรื่องนี้อยู่”
“หมู่บ้านละแวกนี้ถูกบังคับให้ส่งมอบสัตว์หาทอง ด้วยเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่ สัตว์หาทองสามารถยืนหยัดอยู่ภายในหุบเขาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นพวกมันเชี่ยวชาญการเดินเหินบนบึงโคลน เชี่ยวชาญค้นหาหินแร่ทุกชนิดที่ซุกซ่อนอยู่ หากมีสัตว์หาทองจะประหยัดแรงได้ผลผลิตมาก ฉะนั้นผู้นำเผ่าคนปัจจุบันจึงต้องการสัตว์หาทองจำนวนมาก”
“เช่นนั้นเจ้าอาศัยสิ่งใดมาบรรลุข้อตกลงกับผู้นำเผ่าหวงจิน? เหตุใดตระกูลเหยียลี่ว์ต้องมีส่วนรวมด้วย?”
“สามีคนที่สองของข้าเคยเป็นคนของตระกูลกองเซ่นไหว้เผ่าหวงจิน เชี่ยวชาญการควบคุมสัตว์ ข้าเรียนรู้ความสามารถบางส่วนมาจากเขา สามารถควบคุมสัตว์ร้ายทุกชนิดที่อยู่กลางบึงโคลนได้ ความสามารถหนึ่งนี้สำคัญยิ่งนักยามเข้าสู่หุบเขา…ส่วนเรื่องตระกูลเหยียลี่ว์ เรื่องนี้ต้องถามเหยียลี่ว์ฉีแล้ว”
“ลูกหลานและขุนนางของตระกูลเหยียลี่ว์ที่อยู่ในตี้เกอถูกกงอิ้นส่งเข้าคุกทั้งหมด พละกำลังลดลงยิ่งนัก น่าจะกำลังเสาะหาพันธมิตรใหม่เพื่อรักษาตำแหน่งตระกูลอาวุโสไว้เช่นกัน” เหยียลี่ว์ฉีประสานสายตากับจิ่งเหิงปัวพลางเอ่ยว่า “ตระกูลเหยียลี่ว์มียอดฝีมือที่เก่งกาจวิชาตัวเบาอยู่ไม่น้อย พอดีว่าผู้นำเผ่าหวงจินต้องการคนเช่นนี้ หลังจากเสร็จเรื่องแล้วน่าจะแบ่งสันปันส่วนให้ตระกูลเหยียลี่ว์ด้วย”
“ฟังมามากมายขนาดนั้นแล้ว” จิ่งเหิงปัวตีใบหน้าของเฟยหลัว กล่าวว่า “คล้ายว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย เช่นนั้นเหตุใดท่านผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นของตระกูลเหยียลี่ว์ต้องบังคับให้เหยียลี่ว์ฉีไปสังหารข้าให้ได้?”
“เรื่องนั้น…เรื่องนั้น…” เฟยหลัวกระซิบอยู่เนิ่นนานถึงเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ด้วยเพราะข้าไม่วางใจเจ้า ขอร้องให้เจ้าช่วยข้าขุดรากถอนโคนเจ้าก่อน…”
“เหอะๆ น่ารักเหลือเกิน แม้แต่เรื่องนี้ยังไม่ลืมฉวยโอกาสยามชุลมุน” จิ่งเหิงปัวหยิกใบหน้าของนางด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา กล่าวต่อไปว่า “เพียงแต่ยามนี้เจ้าไม่มีเงินไม่มีคนไม่มีตำแหน่ง เอาสิ่งใดมาขอร้องเล่า คงไม่ใช่ร่างกายกระมัง?”
เฟยหลัวแค่นเสียงฮึไม่เอ่ยตอบ ผิวหน้าค่อยๆ แดงซ่าน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกัดฟันเอ่ยว่า “สิ่งที่ควรมอบให้ข้ามอบให้ไปหมดแล้ว สิ่งที่ควรเอ่ยข้าเอ่ยไปหมดแล้ว…เจ้า…เจ้าปล่อยข้าไปเถิด…เฉกเช่นเจ้าเอ่ยไว้ ข้าไม่เหลือสิ่งใดสักอย่างแล้ว ไม่มีเงินไม่มีคนไม่มีตำแหน่ง ไม่อาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อเจ้าได้อีกแล้ว…เจ้าปล่อยข้าไป…ข้าสาบานด้วยพิษได้ว่าภายหลังจะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าอีก ข้ายังมอบทรัพย์สินที่ข้าซ่อนไว้ในเผ่าจั๋นอวี่ทั้งหมดให้เจ้าได้ด้วย…”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะแต่ไม่กล่าวตอบ นิ้วมือลูบไปลูบมาบนลำคอของนาง ชอบมองเห็นความหวาดกลัวจนสั่นเทิ้มครั้งแล้วครั้งเล่าของนางอย่างยิ่ง สั่นระริกเหมือนเป็นโรคลมชัก
เล่นสนุกเสร็จแล้วนางถึงปริปาก
“ได้สิ” นางหัวเราะ
เฟยหลัวเพิ่งจะโล่งใจ จากนั้นก็ได้ยินนางยิ้มตาหยีเอ่ยปากอีกครั้ง
“เพียงแต่ข้าพลันนึกขึ้นมาได้ว่ามีคนเคยสอนข้าไว้” ขณะที่กล่าวประโยคนี้ ในใจของจิ่งเหิงปัวเจ็บปวดอยู่บ้าง จากนั้นก็ใช้รอยยิ้มไม่สนใจไยดีกลบเกลื่อนไว้ กล่าวต่อไปว่า “เมื่อเทียบกับศัตรูที่เห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิหรือโพล่งปากก่นด่า พวกศัตรูที่รู้ก้าวรู้ถอย ยอมคุกเข่าขอร้องแบบนั้นถึงจะเป็นพวกที่น่ากลัวและปล่อยไว้ไม่ได้ที่สุด ด้วยเพราะพวกเขาอดทนในยามนี้ ภายภาคหน้าย่อมเอาคืนเป็นเท่าตัว” นางยิ้มแย้มมองดูแก้มที่แดงก่ำเพราะความอัปยศอดสูของเฟยหลัว แล้วกล่าวว่า “ไอ้หยา ใบหน้าเจ้าแดงก่ำยิ่งนัก ให้ข้าช่วยเจ้าปล่อยเลือดลมสักหน่อยดีหรือไม่?”
เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น นิ้วมือของนางก็เชิดขึ้น ในมือมีกริชเล่มหนึ่งเพิ่มเข้ามาแล้ว แสงเหน็บหนาวกะพริบวูบ ปาดลงบนคอหอยอย่างรุนแรง!