ตอนที่ 17 - 1 หมิ่นเกียรติหมิงเฉิง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เฟยหลัวตะโกนออกมาเสียงหนึ่ง พยายามกระแทกศีรษะไปข้างหลังสุดชีวิต จิ่งเหิงปัวร่นถอยทันที กริชลื่นไถลดังฉึบ! กรีดลงบนลำคอจนถึงแก้มของเฟยหลัวจนกลายเป็นบาดแผลอัปลักษณ์โดยพลัน โลหิตแดงฉานกระเซ็นไปทั่วทิศ!

 

 

เฟยหลัวร้องโหยหวนออกมา เรือนร่างบิดพลิ้วเพียงครั้ง ช่วงเอวก็พลันมีมีดคมเล่มหนึ่งพุ่งออกมา มุ่งสู่ท้องน้อยของจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวถอยหลังอีกครั้ง เฟยหลัวเพียงต้องการช่องว่างครู่หนึ่งนี้ พุ่งไปทางบึงโคลนเลนข้างหน้าสุดกำลัง

 

 

ยามที่นางพุ่งลงไปก็ได้ยินจิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ หัวเราะจนก้นบึ้งของหัวใจนางพลันเหน็บหนาว จากนั้นข้างหลังก็มีเสียงลมดังขึ้น!

 

 

เสียงลมหนักหน่วงรุนแรงเพียงนี้!

 

 

หินยักษ์!

 

 

เฟยหลัวใจกล้าทว่ากลัวตาย พยายามเปล่งเสียงเป่าปากที่ไม่น่าฟังยิ่งนักออกมาสุดชีวิต

 

 

ที่กลางโคลนเลนพลันมีแสงสีดำกะพริบวูบ เส้นสีดำหลายสายพุ่งออกมาปานสายฟ้าแลบ เฟยหลัวเอื้อมมือคว้าไว้กลางอากาศ อาศัยแรงลากจากเส้นสีดำพยายามกระโจนไปข้างหน้าสุดชีวิต

 

 

กร๊อบ! เสียงแตกร้าวดังขึ้น หินยักษ์ที่แต่เดิมควรกระแทกตรงส่วนเอวของเฟยหลัวกลับกระแทกลงบนขาขวาของนางอย่างรุนแรง เสียงกระดูกหักน่าหวาดกลัวดังกังวานปานกิ่งไม้หักสะบั้น มองเห็นขาขวาตั้งแต่สะโพกลงไปของเฟยหลัวพลันอ่อนยวบลงไปด้วยท่วงท่าแปลกประหลาด

 

 

“กรี๊ด!” เฟยหลัวเปล่งเสียงร้องโหยหวนที่ไม่คล้ายเสียงมนุษย์ออกมา! เรือนร่างล้มลงอย่างหนักหน่วง ขาขวาบิดเบี้ยวอยู่ข้างหลังนางประหนึ่งทาก

 

 

ภายในแม่น้ำโคลนเลนสีดำที่ทะลุผ่านกลางภูเขาพลันมีเงาดำกะพริบวูบ เงาร่างใหญ่โตสายหนึ่งกระโจนออกมารับเฟยหลัวไว้ได้พอดี ของสิ่งนี้คือสัตว์ยักษ์ที่เหยียลี่ว์ฉีลากขึ้นมาจากกลางแม่น้ำโคลนเลนยามคลุ้มคลั่งสังหารคนก่อนหน้านี้ ตัวหนึ่งถูกเขาลากออกมาเขวี้ยงใส่ท่านผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลจนสิ้นชีพ นึกไม่ถึงว่ายังเหลืออีกตัวหนึ่ง

 

 

เฟยหลัวร้องโหยหวนพลางดิ้นรนเปล่งเสียงเป่าปากทุ้มต่ำออกมา เงาดำนั้นจมสู่ข้างล่างบึงโคลนฉับพลันในทันใด

 

 

ฟิ้ว! เสียงลมดังขึ้นรุนแรง หินก้อนสองของจิ่งเหิงปัวมาถึงอีกแล้ว ปลายด้านล่างแหลมคม จมดิ่งดุจสายฟ้า จ่อตรงกลางกะโหลกของเฟยหลัวพอดี!

 

 

ตู้ม! เงาดำนั้นจมลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน หายไปจากผิวบึงโคลนในพริบตา หินแหลมคมตามลงมากระทบบนผิวโคลน โคลนเลนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น ภายในโคลนเจือด้วยโลหิตไม่น้อย!

 

 

บนบึงโคลนไหลเชี่ยวจ๋อมแจ๋มระลอกหนึ่ง ร่องลึกสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงออกมาข้างนอกประหนึ่งกระบี่ จิ่งเหิงปัวพุ่งมาถึงข้างบึงโคลนเลน กริชในมือทิ่มลงไปในร่องน้ำสายนั้นอย่างรุนแรง ทว่าทิ่มลงบนความว่างเปล่า จากนั้นร่องน้ำสายนั้นจึงหายไปแล้ว

 

 

การกระทำทุกท่วงท่าเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว ครู่นั้นสะเทือนวิญญาณสะท้านโลหิต

 

 

ภายในถ้ำฟื้นคืนความเงียบสงบ เหลือเพียงกลิ่นคาวเลือดอบอวลไม่จางหาย

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องมองบึงโคลนเลนนั่นอยู่นาน ซ้ำยังคิดเอื้อมมือลงไปคุ้ยโดยไม่กลัวว่าจะสกปรก เหยียลี่ว์ฉีก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง คว้ามือของนางไว้แล้วกระชากออกไป ตวาดออกมาว่า “ข้างล่างมีสิ่งใดอยู่ก็ไม่รู้ เจ้าอยากตายแล้วหรือ?”

 

 

หัวคิ้วของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ เงยหน้าขึ้นมา มุมปากผุดเผยรอยยิ้มน่าครั่นคร้ามผืนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ตายต้องเห็นศพ!”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมองดูนางอย่างตกตะลึง สตรีที่รักสะอาดนางนี้ ยามนี้มีคราบโลหิตกับโคลนเลนเปรอะเปื้อนทั่วร่างกายทั่วใบหน้า ทว่าคล้ายไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นั่งอยู่ข้างบึงโคลน มือขาวบริสุทธิ์เรียวยาวที่แต่ก่อนแม้กระทั่งเล็บยังสะอาดดุจน้ำพุไหลรินคู่นั้น ยามนี้ขุดไปคุ้ยมาบนโคลนเลนดำขลับ ท่าทางที่แทบอยากจะกระโจนเข้าไปลากศัตรูออกมาสะบั้นให้สิ้นชีพ

 

 

เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย รู้สึกแปลกหน้าอยู่บ้าง รู้สึกเหน็บหนาวอย่างไม่เคยเป็น ทว่ามากกว่านั้นคือความสงสารที่พลันพวยพุ่งขึ้นมา

 

 

สงสาร

 

 

ชัดเจนเหลือเกิน สิ่งใดกันที่ทำให้สตรีในยามก่อนที่เกียจคร้าน ทำตามใจชอบ รักอิสระ รักสะอาด ไม่ยอมกลัดกลุ้ม ไม่ชื่นชอบการสังหารยิ่งนักนางนี้กลายเป็นสตรีร้ายเจือรอยยิ้มที่โหดเ**้ยมอำมหิต สังหารผู้อื่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ควานคุ้ยภายในโลหิตแดงฉานกับกองโคลนเลนได้โดยไม่สะทกสะท้าน คว้ากริชไว้แล้วยังอยากเตะต่อยทำร้ายศัตรูอีกในยามนี้

 

 

แต่ก่อนรอยยิ้มของนางงดงามหยาดเยิ้มเยือกเย็น บัดนี้รอยยิ้มของนางยังคงมีความงดงามหยาดเยิ้ม ยังคงมีความสุขุมเยือกเย็น ทว่ามีความหนาวสะท้านและความคิดสังหารที่ซ่อนไว้ลึกล้ำเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

 

 

เฉกเช่นที่นางลงมือจัดการเฟยหลัว เด็ดเดี่ยวโหดร้ายเพียงนี้ นิสัยหยิ่งทระนงเผด็จการที่ซ่อนแฝงอยู่ในกระดูกถูกหิมะของค่ำคืนนั้นชำระล้างให้สว่างไสวจนได้

 

 

เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องดี เส้นทางแห่งจักรพรรดิต้องอดทนอดกลั้นไร้ความรู้สึก กระทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้

 

 

ทว่าทำให้คนเช่นนี้มาถึงวันนี้ได้ วันนั้นนางต้องพบเจอพิธีชำระล้างวิญญาณที่ทำร้ายความคิดจิตใจอย่างไรกัน?

 

 

ต้องเกลียดชังมากเพียงใด ต้องเ**้ยมโหดมากเพียงใด

 

 

กลางดวงใจเกิดรสชาติขมฝาด อดจะกำข้อมือนางไว้แน่นไม่ได้ เอ่ยว่า “เหิงปัว ไม่ต้องหาแล้ว นางไม่รอดหรอก หากรอดมาได้คงตายทั้งเป็น ความแค้นครั้งหนึ่งนี้ของเจ้านับว่าได้ชำระสะสางแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวหยุดมือ เช็ดโคลนเลนทั่วมือบนร่างของเขาราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กล่าวว่า “สังหารให้สิ้นชีพได้ย่อมดีที่สุด สังหารให้สิ้นชีพไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยามนางเป็นเสนาหญิงยังสังหารข้าไม่ได้เลย ทว่ายามนี้ตกทุกข์ได้ยากจะจัดการข้าได้แล้ว?” หันหน้าไปยิ้มให้บึงโคลน แล้วกล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้นเจ้าอย่าเพิ่งสิ้นชีพ พี่จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกับพวกเจ้า ถือว่าได้ฝึกปรือทักษะสังหารของพี่สักหน่อย เฮอะ เล่นจนหนูตายหมดสิ้น แมวคงเบื่อหน่ายแย่ไม่ใช่หรือ?”

 

 

ไอควันกลางภูเขาเบาบาง แสงเงาเลือนรางปรวนแปร รอยยิ้มของนางท่ามกลางแสงหมอกแลดูสนิทสนมเพริศแพร้ว สยองขวัญน่าหวาดกลัว เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกว่าหากเฟยหลัวได้มองเห็น ชั่วชีวิตนี้นางคงจะซ่อนอยู่ข้างใต้บึงโคลนไม่ยอมออกมาอีกเลยเป็นแน่

 

 

พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ามา ความน่ากลัวก็หายไปแล้ว กลายเป็นรอยยิ้มหยาดเยิ้มเกียจคร้านอย่างนั้นเช่นเดิม ถามเขาว่า “คนอยู่รอดใต้บึงโคลนได้หรือไม่”

 

 

“ตามหลักแล้วอยู่ไม่ได้” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ทว่าเจ้าย่อมรู้ว่าต้าฮวงมีบึงโคลนมากมาย สภาพแวดล้อมที่ยากลำบากสร้างผู้วิเศษได้ง่ายดายเป็นที่สุด อาจจะมีคนที่ฝึกฝนความสามารถในการอยู่รอดใต้บึงโคลนในระยะสั้นได้แล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดว่าเป็นแบบนั้น ต้าฮวงลึกลับเลื่องลือทั่วหล้า ประมาทเลินเล่อไม่ได้ไม่ว่ากับใครก็ตาม

 

 

“ข้าต้องปรับปราณสักหน่อย” เหยียลี่ว์ฉีนั่งลงขัดสมาธิ เงยหน้ายิ้มให้นางครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะกลับไปยามรุ่งสาง พวกเราต้องปรึกษากันว่าจะไปหุบเขาเทียนฮุยก่อกวนสถานการณ์สักหน่อยหรือไม่”

 

 

“ตกลง” จิ่งเหิงปัวอ้าปากหาว ร้องเรียกเฟยเฟย โบกมืออย่างเกียจคร้าน แล้วกล่าวว่า “อย่าลืมกลับมาด้วยล่ะ”

 

 

นางเดินโซซัดโซเซออกไปข้างนอก ส่วนข้างหลัง เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองเงาด้านหลังของนาง จนกระทั่งนางเดินเลี้ยวครั้งหนึ่งถึงลุกขึ้นยืนโดยพลัน ฉีกแถบผ้าอาภรณ์ออกมาพันบาดแผลบนแขนไว้แนบแน่นไปพลาง เดินไปข้างศพคนในตระกูลเหยียลี่ว์ที่ถูกสังหารเหล่านั้นไปพลาง พลิกดูโดยละเอียดระลอกหนึ่ง ควานของสิ่งหนึ่งออกมายัดเข้าอ้อมแขน แล้วหันกายเดินจากไป

 

 

ดูจากทิศทางที่เขาเดินไปแล้ว ไม่ใช่เส้นทางที่ไปทางหมู่บ้าน

 

 

“เจ้าจะไปที่ใด” เสียงเกียจคร้านแว่วมา ฟังแล้วคลุมเครือภายในค่ำคืนเงียบสงัด จิ่งเหิงปัวชะโงกศีรษะออกมาจากข้างหลังกำแพงภูเขา กอดอกอยู่ ข้างในปากยังเดี๋ยวขยับเดี๋ยวเขยื้อนคล้ายกำลังกินอะไรสักอย่าง

 

 

เขาหยุดฝีก้าวลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วฝืนยิ้มเล็กน้อย ถอนหายใจออกมา ไม่ได้คิดจะเอ่ยอะไรอีก

 

 

เขาจากไปด้วยเพราะคลุ้มคลั่งสังหารผู้อื่น หากเริ่มต้นแล้วย่อมจำเป็นต้องสิ้นสุดด้วยโลหิตแดงฉานกับการสังหาร สวินหรูยังอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลเหยียลี่ว์ เขาสังหารคนที่อยู่ที่นี่จนหมดสิ้นแล้ว จำเป็นต้องฉวยโอกาสก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้สึกถึงความผิดปกติแล้วลงมือสังหารสวินหรู ลงมือตัดกำลังฝ่ายนั้นก่อน ขุดรากถอนโคนอีกฝ่ายจนสิ้นซาก

 

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก เขายอมกระทำผู้เดียว

 

 

ยามนี้นางจะติดตามเขา ไม่ว่าด้วยเพราะไม่เชื่อใจหรือยินยอมช่วยเหลือ เขาก็ไม่อยากครุ่นคิดมากมายทั้งนั้น

 

 

ขอเพียงนางอยู่ข้างกายเขา ฟ้าดินย่อมสงบสุข

 

 

“ไปเถิด”

 

 

“ไปที่ใด ทำอะไร?”

 

 

“สังหารคน”