ภาคที่ 2 บทที่ 67.1 ไล่ล่า (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 67 ไล่ล่า (1)

ซูเฉินพุ่งตัวออกไปสุดกำลัง สายตาจับจ้องเพียงจางเซิ่งอันที่กำลังวิ่งหนีอยู่เบื้องหน้า

หาได้ยากนักที่เขาจะเกลียดใครได้เท่าจางเซิ่งอัน จนตอนนี้เขาถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดอีกฝ่ายให้ได้

จางเซิ่งอันยังคงวิ่งหนีต่อไป หลังจากวิ่งหนีมาพักหนึ่งก็เหลือบมองไปด้านหลัง เห็นว่าซูเฉินยังติดตามมาไม่ห่าง ดังนั้นจึงหัวเราะเสียงเย็นออกมา “คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าการประลองสิ้นปีกลับกล้าไล่ตามข้ามางั้นหรือ ? เสียสติไปแล้วกระมัง !”

เขาปลดคันศรมารพฤกษาลงจากหลังแล้วยิงศรออกไปด้านหลัง

นักธนูเกรงกลัวการไล่ล่าน้อยที่สุด

ไม่ใช้เพียงเพราะนักธนูมือดีจะสามารถโจมตีขณะที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วได้เท่านั้น แต่เพราะแรงโจมตีของจางเซิ่งอันจะเพิ่มขึ้นหากซูเฉินไล่หลังเขามาเช่นนี้ด้วย

เมื่อนักธนูยิงศรไปด้านหลัง เป้าหมายมักจะพุ่งเข้าใส่ ทำให้ช่วยตัดระยะทางศรหรือวิชาได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มแรงโจมตี อีกทั้งยังโจมตีถึงตัวได้เร็วขึ้นอีกด้วย

และแม้คนที่ไล่ตามมาจะใช้การโจมตีระยะไกลกับเขา แต่ระยะก็ยังห่างเกินไป เป็นเพราะเขาจะคอยวิ่งหนีอยู่ตลอดนั่นเอง

ทักษะต้นกำเนิดเกือบทุกวิชาจำต้องใช้ในระยะจึงจะได้ผล หากพลาดเพียงนิดผลนั้นเท่ากับข้อผิดพลาดใหญ่เลยทีเดียว

ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จึงเป็นฝ่ายจางเซิ่งอันได้เปรียบ

ศรพุ่งเข้าใส่หน้าซูเฉินมาดอกหนึ่ง

ซูเฉินเอียงหน้าหลบ ก่อนที่ฉับพลันจะได้ยินเสียงธนูแหวกอากาศมาอีกหลายดอก พวกมันพุ่งเข้ามารวดเร็ว ทั้งซ้ายและขวา บนและล่าง ไม่เหลือทางหนีไว้ให้เขาเลย

ซูเฉินมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนทุกทิศ

ดาบหมาป่ากลืนจันทร์ตวัดผ่านอากาศ ซัดพลังเข้าใส่ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาและทำลายมันจนหมด

หากไร้ทางหนีก็ต้องสร้างขึ้นเอง การตอบสนองของซูเฉินทั้งเรียบง่ายและตรงไปตรงมานัก

เด็กหนุ่มฝ่าวงล้อมลูกธนูมาได้แล้วพุ่งเข้าไปต่อ เพิ่มความเร็วขึ้นอีก ระยะห่างระหส่างคนทั้งสองเริ่มลดลงเรื่อย ๆ

จางเซิ่งอันเห็นดังนั้นก็หัวเราะเสียงเบาออกมา กระแทกฝ่ามือโค่นต้นไม้ตามทางก่อนจะหนีต่อไป

ซูเฉินยังคงไล่ล่าไม่ลดละ แต่เมื่อผ่านต้นไม้ต้นเดิมนั้นเองก็พลันมีรากต้นไม้พุ่งขึ้นมา

“เจ้าเคยใช้มันมาแล้ว !” ซูเฉินเตรียมรับมือมานานแล้ว เข้าเหินร่างขึ้นทันที

แต่ไม่นานก็พบว่ากิ่งก้านไม้ตะปุ่มตะป่ำก็เข้าร่วมไล่ล่าตัวเขาด้วย

ซูเฉินถูกบีบให้ต้องถอย แต่พริบตานั้นเขาก็เห็นว่าธนูอีกดอกกำลังพุ่งเข้าใส่

ครั้งนี้ลูกธนูอาบไปด้วยไอดำ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความทุกข์ทรมาน

นี่เป็นกลยุทธ์ที่จางเซิ่งอันชำนาญที่สุด ประการแรก ใช้ต้นไม้จำกัดขังศัตรูไว้ก่อนปล่อยการโจมตีระยะไกลมาสังหาร

ทว่าซูเฉินก็สามารถรับมือกับลูกศรได้อย่างเรียบง่ายนัก

เขาก้าวเท้าไปด้านหน้า

เพียงก้าวเดียวเท่านั้นแต่ร่างเขากลับหายไป ปรากฏขึ้นอีกทีก็ห่างจากจุดเดิมไปนับสิบจั้ง ไม่เพียงแต่หลบการโจมตีได้ แต่ยังลดระยะห่างระหว่างเขากับจางเซิ่งอันลงอีกด้วย

“บัดซบ !” จางเซิ่งอันสบถออกมา ก่อนจะเก็บธนูแล้วหนีต่อไป

แต่ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน ก้าวย่างหมอกอสรพิษของซูเฉินก็ยังเร็วกว่า

ทุกก้าวของซูเฉินย่นระยะห่างของเขากับจางเซิ่งอันลงเรื่อย ๆ ทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกนัก

ย่างก้าววาโยของตระกูลเขาเป็นทักษะต้นกำเนิดประเภทความเร็ว เป็นวิชาที่ทำให้เขาเอาชนะแม้แต่กับคู่ต่อสู้ที่แกร่งกว่าได้ อีกทั้งเมื่อควบรวมกับรองเท้าวาโยแผ่วระดับ 9 ที่เขาสวมอยู่ ร่างกายเขาเบาหวิวและเคลื่อนกายคล่องแคล่วนัก มีคนไม่กี่คนที่สามารถเทียบความเร็วเขาได้

แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ซูเฉินคนไร้สายเลือดจะรวดเร็วกว่า ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองลดลงเรื่อย ๆ

เห็นดังนี้แล้วจางเซิ่งอันก็เผยใบหน้าอำมหิต “ไอ้บัดซบเอ๊ย !”

จางเซิ่งอันหันกลับมา ยังกระโดดถอยหลังไปไม่หยุด จากนั้นเงื้อคันศรขึ้นยิงศรเข้าใส่ซูเฉิน

เมื่อลูกศรถูกยิงออกมาแล้วก็ราวกับทั่วทั้งผืนป่าพลันเงียบสนิทขึ้นมา

เงามืดปกคลุมท้องฟ้า กลิ่นอายแห่งความจายกำซาบซึมทั่วไปทั้งป่า

ศรวิญญาณ !

ชื่อเต็มของคันศรมารพฤกษาของจางเซิ่งอันคือคันศรมารพฤกษาต้องสาป เพราะต้นพลังของมันมาจากความเจ็บปวดของมารพฤกษาที่ใช้ทำคันศร ดังนั้นลูกธนูทุกดอกที่ถูกยิงออกไปจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเกลียดชังและความตาย

และเมื่อมันถูกขยายออกก็จะกลายเป็นลูกศรที่เสียดแทงเข้าร่างและใจคนได้ มีแต่เป้าหมายสิ้นชีพมันจึงจะพอใจ นับเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่ทรงพลังที่สุดของจางเซิ่งอันเลยทีเดียว

ยามเขาปล่อยความรวดร้าวที่สุดของคันศรมารพฤกษาออกมา ทั่วทั้งป่าจึงดูแห้งเหี่ยวโรยราไปด้วยความโศกเศร้า

เมื่อต้องรับมือกับศรเช่นนี้ ซูเฉินพลันรู้สึกว่าตนคงไม่อาจหลบมันได้

ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจ

หลบไม่ได้เลย หลบไปก็ไม่ได้อะไร

จิตใจของเขากำลังอ่อนแอลง !

นับเป็นความสามารถพิเศษของศรวิญญาณนี้

แม้เขาจะเป็นคนจิตแข็ง สามารถไล่ความรู้สึกจากศรออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็พุ่งมาทางเขาแล้ว อีกทั้งปลายศรยังเล็งมาทางหน้าผากเขาอีกด้วย

ในจังหวะสำคัญนั้นเอง ซูเฉินก็สะบัดฝ่ามือออกไป ก่อเกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เหินร่างขึ้น

ศรยาวพุ่งเข้ามา ฝ่าเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นเข้าไปแล้วปักลงที่อกซูเฉิน ทั้งยังกระแทกคลื่นพลังไล่หลังมายังซูเฉินเต็ม ๆ

แรงนั่นส่งเด็กหนุ่มกระเด็นออกไป และเมื่อเขาก้มหน้าลงดูที่อก ก็พบว่ากระจกพิทักษ์ใจถูกทำลายไม่มีชิ้นดี เป็นไปอย่างที่คิด มันทรงพลังน่าเกรงขามเหลือเกิน

เมื่อเห็นว่าศรดอกนั้นไม่อาจเอาชีวิตซูเฉินได้ จางเซิ่งอันก็ผิดหวังอยู่เล็กน้อย เก็บธนูขึ้นหลังแล้วออกวิ่งต่อ

ระยะทางที่ย่นลงมาพลันยืดออกห่างขึ้นในพริบตา

“หนีไม่พ้นหรอก !” ซูเฉินปะทะฝ่ามือลงกับพื้นเพื่อส่งร่างตนเหินขึ้นฟ้าไป

เมื่อจางเซิ่งอันเห็นดังนั้นก็เอ่ยเสียงโกรธ “ยังไม่พออีกหรือ ? ในเมื่ออยากตายนักข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา”

พูดแล้วเขาก็ยังไม่หยุดฝีเท้า ยังคงวิ่งพุ่งต่อไป

ยิ่งห่างเท่าไรยิ่งปลอดภัย

พุ่งหนีไปแล้ว แขนทั้งสองก็ขยับโบกไปด้านข้างไม่หยุด

ใบไม้บนพื้นพลันเปลี่ยนเป็นอาวุธคมกริบ มันพุ่งเข้าไปยังทิศทางเดียวพร้อม ๆ กันหมายสังหาร

ซูเฉินเปิดใช้เกราะและพุ่งเข้าไปไม่ยั้งคิด เสียงกรีดร้องแห่งความตายไล่มาล้อมกาย ใบไม้คมกริบดั่งลูกดอก ปะทะเข้ากับเกราะ เกิดเป็นประกายแสงมากมาย ส่วนตัวเกราะก็กะพริบไม่หยุด

จางเซิ่งอันหัวเราะเสียงดัง “ซูเฉิน เจ้ามันรนหาที่ตาย ! คิดสู้กับข้าในป่า…… เจ้าคิดว่าชื่อ ‘คันศรไม้’ ได้มาจากไหนกัน ?”

“ระเบิด…… เพลิงปักษา !”

ซูเฉินใช้วิชาที่ง่ายและซื่อตรงที่สุดโต้กลับไป

เพลิงพลันโหมลุกขึ้นกลางป่า คลื่นไฟพลันโหมขึ้นทำลายกับดักทั้งหลายที่จางเซิ่งอันตระเตรียมไว้

“ไร้ประโยชน์ !” จางเซิ่งเอ่ย พร้อมยิงศรออกไปทางซูเฉินสามครั้งติด สกัดซูเฉินไม่ให้ตามมาได้ “แม้ระเบิดเพลิงปักษาจะทรงพลัง แต่ก็มีระยะโจมตีจำกัด ตราบเท่าที่ข้าอยู่ห่างเจ้ามากกว่า 30 จั้งข้าก็จะไม่เป็นอันตราย !”

การคาดคะเนของเขาแม่นนัก พริบตาเดียวก็หาจุดอ่อนที่สุดของระเบิดเพลิงปักษาพบ นั่นคือเรื่องระยะทาง หากห่างออกไป 30 จั้งแล้วก็จะไร้ผล

“เจ้าพูดถูกต้อง เช่นนั้นข้าก็เข้าใกล้เจ้าอีกหน่อยแล้วกัน !” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เพิ่มความเร็วอีก พุ่งเข้าไปหาจางเซิ่งอันดั่งลูกศร ครั้งนี้เร็วกว่าครั้งก่อน ๆ มากนัก

จางเซิ่งอันคำรามต่ำออกมา หากเขาคอยสกัดทางไปซูเฉินอยู่เรื่อย ๆ แล้วใช้คันศรโจมตี ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะตามเขาทัน และหากซูเฉินยังติดไล่ล่าต่อ ก็มีแต่จะเสียเปรียบ สุดท้ายต้องตายภายใต้คันศรเขาอยู่ดี

ในขณะที่กำลังล่าถอยต่อไม่หยุดเท้า ตาเขาก็บังเอิญประสานเข้ากับสายตาแน่วแน่ของซูเฉิน

สายตานี้ส่งผลให้จิตใจจางเซิ่งอันสั่นสะท้าน ร่างทั้งร่างคล้ายกับจะตกตะลึงจนค้างไป

เคราะห์ดีที่มันเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น พริบตาต่อมาจางเซิ่งอันก็เรียกสติตนคืนมา ก่อนพบว่าซูเฉินไล่ตามเข้ามาเกือบประชิดตัวอีกครั้ง

เขาดูดีว่าตนแย่แล้ว เมื่อครู่คงจะถูกซูเฉินโจมตีจิตเป็นแน่ ไม่หยุดฝีเท้า รีบล่าถอยต่อในทันที

หากแต่ในจังหวะชั่วพริบตานั้น จิตของเขาก็สั่นสะท้านอีกครั้งหนึ่ง

วิชาตรึงวิญญาณ

จางเซิ่งอันสะดุ้งเฮือกอีกครา

เขาถูกโจมตีจิตถึงสองครั้ง ทำให้เสียโอกาสครั้งใหญ่ไป ซูเฉินพุ่งเข้ามาดั่งลูกศร เข้าสู่ ‘ระยะปลอดภัย’ ที่จางเซิ่งอันสร้างเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย

จากนั้นเขาก็วาดมือ สร้างปักษาเพลิงขึ้นมา ปล่อยมันให้พุ่งทะยานเข้าใส่ศัตรู !