ตอนที่ 666

Elixir Supplier

666 ลมหนาวในยามราตรี

 

“พี่ใหญ่ เราโทรหาตำรวจกันดีไหม?” หลังจากที่ได้สติกลับคืนมา หนึ่งในพวกเขาก็พูดเสนอขึ้นมา

 

“โทรสิ เราต้องโทรหาตำรวจเดี๋ยวนี้เลย” หนึ่งในเหล่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพวกเขาพูด

 

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นกังฟูด้วย” ชายหนุ่มอีกคนพูด

 

พวกเขาจึงโทรไปหาตำรวจ หลังจากผ่านไปไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็มาถึง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”

 

“คุณตำรวจ เราถูกทำร้ายครับ” ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูด

 

“แล้วใครที่ทำร้ายพวกคุณกันล่ะ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม

 

“ผู้หญิงคนหนึ่งครับ เธออยู่ในร้านอาหารนั่น” ชายหนุ่มพูด

 

“พวกคุณโดนผู้หญิงแค่คนเดียวทำร้ายเนี่ยนะ? หนึ่ง , สอง, สาม, สี่, ห้า ผู้ชายห้าคน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดและมองไปที่หน้าของพวกเขาแต่ละคน “พวกคุณดื่มกันมาใช่รึเปล่า?”

 

ตามเนื้อตัวของเหล่าชายหนุ่มเต็มไปด้วยกลิ่นของแอลกอฮอล

 

“ครับ เราดื่มกันมา แต่เราก็ไม่ได้ขับรถเองนะ เราเป็นประชาชนที่ดีและเชื่อฟังกฎของบ้านเมือง” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยังไม่หายเมาพูด

 

“เงียบปากซะ!” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่จ้องเขม็งไปที่เขา

 

“เอาล่ะ ผมจะบอกพวกคุณเอาไว้ก่อนด้วย ว่าการแจ้งความเท็จก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายเหมือนกัน” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด

 

“เรารู้ครับ แต่ดูสภาพของพวกเราสิ” ชายที่เป็นพี่ใหญ่พูด “เราดูเหมือนคนโกหกอย่างนั้นเหรอครับ?”

 

ก็นายดูเหมือนคนโกหกจริงๆน่ะสิ เจ้าหน้าที่ตำรวจคิดในใจ

 

เขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว คนเมาหลายคนมักจะโทรไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเหตุทะเลาะวิวาท ในตอนสุดท้าย พวกเขาก็ไม่ได้อะไรเลยนอกจากคำสั่งสอนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพูดตามจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ชอบที่ต้องมาจัดการเรื่องของคนเมาเลยสักนิด เพราะคนพวกนี้มีแต่สร้างเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่ตลอดเวลา

 

“คุณตำรวจไปขอดูกล้องวงจรปิดก็ได้นะครับ” หนึ่งในเหล่าชายหนุ่มใช้มือหนึ่งชี้ไปที่กล้องวงจรปิด ส่วนอีกมือก็เอากุมหน้าของตัวเองเอาไว้ กล้องวงจรหันมายังจุดที่พวกเขาอยู่พอดี ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะสามารถเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้

 

“แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม

 

“เธออยู่ข้างในครับ ตามผมมาเลย” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มพูด

 

หลังจากที่เขาเดินกลับเข้ามาในร้านอาหารแล้ว อยู่ๆเขาก็นึกไม่ออกว่าควรไปทางไหน หากมองภายนอก ร้านอาหารก็ไม่ได้ดูใหญ่โตอะไร แต่ด้านในกลับกว้างขวางอย่างมาก ตอนนี้ยังเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ออกมาทานอาหารกัน ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาผู้หญิงคนหนึ่งจากลูกค้าทั้งหมดภายในร้าน

 

“โทษที ขอถามหน่อยได้ไหมว่าเธอเคยเห็น ผู้หญิงอายุประมาณ 30 ใส่เสื้อสีเขียวกับกางเกลงยีนส์ไหม?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถามพนักงานเสริฟ “เธอหน้าตาดีหน่อย”

 

“ค่ะ เธอน่าจะอยู่ที่ห้องส่วนตัวที่ชั้นสองนะคะ” พนักงานเสริฟพูด

 

“พาเราไปหน่อยได้ไหม?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถาม

 

เมื่อเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาด้วย เธอจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

 

ชูเหลียนกำลังนั่งอยู่ภายในห้อง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของหวังเย้าและซูเสี่ยวซวี เธอไม่ได้ปิดประตูสนิท ดังนั้น เธอจึงรู้ว่าที่ด้านนอกห้องของหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีเกิดเรื่องอะไรขึ้น และนั่นก็ทำให้เธอเจอกับชายหนุ่มทั้งห้าคน ที่ได้รับบทเรียนดีดีจากเธอไป

 

หืม? เรื่องฝีเท้า!

 

“ห้องนี้ค่ะ” พนักงานเสริฟพูด

 

ประตูถูกผลักให้เปิดออก กลุ่มคนเดินเข้าไปด้านในห้องและพบว่า มีคนอยู่ในห้องแค่คนเดียว เธอเป็นหญิงหน้าตาดีวัยประมาณ 30 กว่า มีอาหารวางอยู่บนโต้ะด้วยหลายจานและเธอกำลังมองไปที่พวกเขาด้วยรอยยิ้ม

 

“คุณตำรวจ เธอคนนี้แหละครับ” หนึ่งในชายหนุ่มทั้งห้าพูด

 

“ระวังด้วยนะครับ เธอเป็นกังฟูด้วย” ชายหนุ่มอีกคนพูด

 

“สวัสดีครับ พวกเขาได้แจ้งมาว่า คุณเป็นคนทำร้ายพวกเขาน่ะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด

 

“คุณตำรวจเชื่อพวกเขาด้วยเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม

 

“เอ่อ…” จริงๆแล้ว เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของชายหนุ่มทั้งห้าคนเลยสักนิด

 

“เอาแบบนี้ดีไหมคะ คุณตำรวจก็พาพวกเขาไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจซะก็สิ้นเรื่อง จริงไหม?” ชูเหลียนแนะนำ

 

“โอเค โอค…เดี๋ยวนะ! ทำไมมีแค่เราที่ต้องไปล่ะ?” หนึ่งในชายหนุ่มพูด

 

ปี๊บ! ตื๊ด!

 

มือถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งเสียงดังขึ้น

 

“โอเค ทราบแล้ว” เข้ากดรับสาย จากนั้น เขาก็หันไปหาชายหนุ่มทั้งห้าที่มีสภาพสะบักสะบอมและพูดกับพวกเขาว่า “เอาล่ะ พวกคุณตามผมไปที่สถานนี้ตำรวจ ผมจำเป็นต้องสอบสวนพวกคุณอีกรอบ”

 

“ครับ” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มพูด

 

พวกเขาเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปชั้นล่าง

 

“คุณตำรวจ แล้วเธอล่ะครับ?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถาม

 

“ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของเธอ สนใจเรื่องของตัวเองก่อนดีกว่านะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด

 

“หา?!” พวกเขาทั้งห้าเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ว่าพวกเขาอาจจะไปแหย่คนที่ไม่ควรเข้าซะแล้ว

 

หลังจากเดินทางไปถึงสถานีตำรวจ พวกเขาก็ถูกพาเข้าไปในห้องสอบสวนทันที “เอาล่ะ บอกผมมาว่าเรื่องเป็นยังไง?”

 

“เราถูกทำร้ายครับ” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มพูด

 

“แล้วทำไมถึงถูกทำร้ายล่ะ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม

 

“ก็ เราแค่เข้าไปคุยกับเธอแปบนึง จากนั้นเราก็ถูกเธอทำร้าย” หนึ่งในชายหนุ่มทั้งห้าพูดขึ้นมา

 

“แล้วพวกคุณคุยอะไรกันเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม

 

“เอ่อ…” ไม่มีใครอยากจะตอบคำถามนี้

 

“พูดมาสิ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด

 

ชายหนุ่มทั้งห้าหุบปากเงียบและมองหน้ากันไปมา

 

“อะไรกัน?” เจ้าหน้าที่ตำรวจ “เมื่อกี้พวกคุณยังเรียกร้องความยุติธรรมอยู่เลยนี้”

 

“คุณตำรวจ ผมก็โทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มถาม

 

“ได้สิ ตามสบายเลย” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด

 

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มเดินออกไปโทรศัพท์ด้านนอก “ฮัลโหล เราอยู่ที่สถานีตำรวจ รีบมาจัดการให้ที เราโดนผู้หญิงคนหนึ่งทำร้ายเข้าน่ะสิ ฉันรู้ พอออกไปได้แล้วฉันจะเลี้ยงข้าวเย็นเอง โอเค ขอบคุณมาก”หลังวางสายเสร็จ เขาก็คิดว่า ตัวเองจะสามารถออกไปจากสถานีตำรวจได้ในเวลาไม่นาน แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด

 

“คิดได้รึยัง ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม

 

อะไรกัน? ทำไมที่โทรไปขอความช่วยเหลือถึงไม่ได้ผล? ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มงุนงง

 

พวกเขากำลังทานอาหารกันอยู่ และบังเอิญได้เห็นซูเสี่ยวซวีและชูเหลียนเข้า พวกเขาจึงคิดจะเอาเปรียบพวกเธอทั้งสอง แต่กลับต้องมาจบอยู่ที่สถานีตำรวจแทน พวกเขาทั้งห้าล้วนมีฐานะ แต่ครั้งนี้กลับช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย

 

เชี่ยแล้ว! ชายหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มคิด

 

พวกเขาพอจะเดาได้ว่า พวกเขาอาจจะไปยุ่งกับคนมีอำนาจเข้า ดังนั้น พวกเขาจึงสารภาพเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

 

ภายในร้านอาหาร หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย

 

“เราออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยดีไหม?” หวังเย้าถาม

 

“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เธอเป็นคนพาผมเดินเที่ยวได้ไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ได้แน่นอนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ค่ำคืนในปักกิ่งยังคงคึกคักอย่างมาก ซูเสี่ยวซวีกำลังคิดว่า เธอควรจะพาหวังเย้าไปที่ไหนดี

 

“เราไปที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เอาสิ” หวังเย้าพูด

 

รถที่ขับโดบชูเหลียนมาจอดได้อย่างพอเหมาะ เธอถามออกไปว่า “จะไปที่ไหนกันคะ?”

 

“ไปที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ

 

ทะเลสาบโฮ่วห่ายตั้งอยู่ที่ชานเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากร้านอาหารที่พวกเขาอยู่ไปไม่ไกลมาก มันมักจะเป็นจุดแวะเที่ยวของคุณหนุ่มสาวในยามค่ำคืน ที่ทะเลสาบโฮ่วห่ายมีทั้งผับและร้านอาหารมากมาย และสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นก็ยังดีอีกด้วย

 

“ฉันจะรอยู่ที่นี่นะคะ ถ้ามีอะไรก็ให้โทรหาฉันได้เลย” ชูเหลียนพูด

 

“ได้ค่ะ น้าเหลียน” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีพากันเดินไปที่ทะเลสาบ อากาศตอนกลางคืนไม่ได้ร้อนและยังเย็นเล็กน้อยด้วย

 

“หนาวรึเปล่า?” หวังเย้าถาม

 

“ไม่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เธอมีกำลังภายในอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะต่างจากของหวังเย้า และเธอยังมีปฏิกิริยากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอยู่ แต่ในอากาศที่เย็นแค่เล็กน้อยก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเธอเลย และตอนนี้ เธอก็รู้สึกเย็นสบายดีด้วย

 

พนักงานเสริฟชายหญิงของแต่ละร้านได้ออกมาตะโกนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน มีเสียงดนตรีดังออกมาถึงถนน คนหนุ่มสาวเดินผ่านพวกเขาไปเป็นระยะๆ มีกลุ่มวัยรุ่นอยู่หลายกลุ่ม รวมไปถึงคู่รักอีกหลายคู่ที่เดินอยู่ตามถนน

 

“การเรียนเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม

 

“ก็ดีค่ะ ตอนนี้ ฉันกำลังเรียนบริหารธุรกิจอยู่” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เธอไม่ได้สนใจอยากเรียนบริหารธุรกิจมากมายอะไร แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่งคือมหาวิทยาลัยที่มีวิชาเรียนที่ดีที่สุดในประเทศจีนแล้ว

 

“แล้วหลังเรียนจบ เธอคิดจะทำอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“อืม ฉันยังไม่ได้คิดเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม เธอต้องหยุดเรียนไปตอนปีสอง เพราะป่วยด้วยโรคร้าย เธอต้องเรียนอีกประมาณปีหนึ่งก็จะจบแล้ว “พอจะมีคำแนะนำดีดีบ้างไหมคะ?”

 

“ผมเหรอ?” หวังเย้าถาม เขาส่ายหน้า

 

พวกเขาเดินเล่นพูดคุยกันไป แล้วก็เริ่มขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

“หืม?” อยู่ๆหวังเย้าก็ชะงักไป

 

“มีอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เปล่าหรอก” หวังเย้าพูด เขารับรู้ได้ว่า ชูเหลียนแอบตามหลังพวกเขามาด้วย

 

“อยากจะเข้าไปหาอะไรดื่มข้างในไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม เมื่อพวกเขาเดินไปถึงหน้าผับแห่งหนึ่ง

 

“เหล้าเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ค่ะ ฉันอยากจะลองดื่มดู” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“โอเค” หวังเย้าพูด พวกเขาพากันเดินเข้าไปในผับ

 

“ผับเหรอ?” ชูเหลียนขมวดคิ้ว เธอยืนอยู่ตรงต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากผับที่พวกเขาเข้าไป

 

ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน พวกเขาก็ได้ยินเพลงรักเพลงหนึ่งดังขึ้น “ครั้งที่เรารักกัน เธอไร้เงินทองและร่ำเรียนอย่างหนัก เมื่อฉันทิ้งเธอไป เธอแต่งงานและมีชีวิตที่ดี ฉันขอเต้นรำกับเธอสักเพลงจะได้ไหม?”

 

มันเป็นเพลงเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นิยมอย่างมาก

 

“หนุ่มหล่อกับคนสวย อยากจะดื่มอะไรดีครับ?” บาร์เทนเดอร์มีอาการตกตะลึงทันทีที่ได้เห็นความงามของซูเสี่ยวซวี

 

(คนจีนมักจะเรียกลูกค้าว่า 帅哥 shuaige หนุ่มหล่อ และ 美女 meinü คนสวย)

 

สวยจัง!

 

ในบริเวณทะเลสาบโฮ่วห่ายมีคนหน้าตาดีให้เห็นอยู่มากมาย เขาได้เห็นผู้หญิงสวยมาก็เยอะ แต่ไม่มีใครที่เทียบกับซูเสี่ยวซวีได้เลย จากนั้น เขาก็เหลือบมองไปที่หวังเย้า

 

หวังเย้าไม่ได้หน้าตาแย่อะไร แต่เขาก็ไม่ได้ดูโดดเด่น เมื่อเทียบกับความสวยจนตะลึงของซูเสี่ยวซวีแล้ว เขาก็ดูเหมือนคนเซ่อซ่าไป หรือเขาจะเป็นพวกคนตระกูลใหญ่?

 

“อันนี้คืออะไรเหรอคะ หมอหวัง?” ซูเสี่ยวซวีหันไปหาหวังเย้า

 

ทำไมเธอถึงเรียกเขาว่าหมอล่ะ? แปลกจริงๆ! บาร์เทนเดอร์คิดในใจ

 

“อืม คุณช่วยแนะนำเครื่องดื่มให้เราหน่อยได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ได้สิครับ เอาเป็นค็อกเทลสำหรับคุณผู้หญิงดีไหมครับ? เดอะกรีนกราสฮ๊อบเปอร์ดีไหม?” บาร์เทนเดอร์เสนอ

 

“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“แล้ว คุณเอาเป็นเหล้าวิสกี้แก้วหนึ่งไหมครับ?” บาร์เทนเดอร์ถาม

 

“ครับ” หวังเย้าพูด

 

ไม่นาน บาร์เทนเดอร์ก็นำเครื่องดื่มมาเสริฟตรงหน้าพวกเขา

 

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่ฉันได้มาที่แบบนี้น่ะ” ซูเสี่ยวซวียกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ

 

“ผมก็มาเที่ยวผับไม่บ่อยเท่าไหร่” หวังเย้าพูด

 

ตอนนี้ เขาไม่ค่อยชอบเที่ยวผับ เพราะมันอึกทึกเกินไป ทั้งที่ในอดีต เขาสนุกกับการมาเที่ยวสถานที่แบบนี้มาก