บทที่ 84 ทัณฑ์ทรมาน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 084 ทัณฑ์ทรมาน
คุกของหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิต
แตกต่างจากที่เฟิ่งชิงเฉินจินตนาการไว้ ไม่มืดและอับชื้น ไม่มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง ไม่มีกลิ่นคาวเลือดคลุ้งกระจายไปทั่ว แต่กลับมีกลิ่นไม้จันทน์จางๆ อบอวลอยู่ในอากาศ
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินลงจากรถ ลู่เส้าหลินก็ให้คนปลดลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักออก ในเวลานี้มีเพียงโซ่ตรวนเท่านั้นที่พันธนาการนาง ทุกย่างก้าวที่นางเดินก็ส่งเสียงโกร่งกร่าง อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของนางก็ยิ่งแย่ลง ทุกก้าวล้วนมีเลือดไหลเป็นทาง
เลือดออกทุกก้าวก็เพียงแค่นี้เอง
เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ได้ขมวดคิ้ว นางก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว
ตอนแรกลู่เส้าหลินไม่รู้จนกระทั่งได้กลิ่นเลือดโชยมา เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็นว่าตัวต้นเหตุก็คือเฟิ่งชิงเฉิน
ลู่เส้าหลินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แม้ว่าเขาจะดูแลหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตที่คนทั่วหล้าล้วนประหวั่นพรั่นพรึง แต่เขาก็ไม่ได้ชอบทรมานคนหรือฆ่าคนจนติดเป็นนิสัย
บรรดาผู้ที่เข้ามาในคุกของหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตล้วนถูกทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ลู่เส้าหลินไม่ชอบได้กลิ่นเลือดและกลิ่นเหม็นทันทีที่เดินเข้ามา มันจะส่งผลต่ออารมณ์ของเขาขณะปฏิบัติงาน
ดังนั้นคุกขององครักษ์เสื้อโลหิตจึงถือว่าสะอาดมาก นอกจากนี้ คุกแห่งนี้ยังใช้สำหรับกักขังนักโทษอีกด้วย สถานที่ที่องครักษ์เสื้อโลหิตทำงานจริงๆ คือห้องทรมานข้างในต่างหาก
และที่ที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะไปคือห้องทรมาน
“พวกเจ้า ปลดโซ่ที่ข้อเท้าออก” ลู่เส้าหลินออกคำสั่ง สองเท้าของเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ
เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าให้ลู่เส้าหลินเพื่อขอบคุณ “ขอบคุณ ท่านผู้บัญชาการ”
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?” ในที่สุดลู่เส้าหลินก็ถามคำถามที่ค้างในใจในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังปลดโซ่ตรวน
มีคนไม่มากในโลกนี้ที่ไม่เกรงกลัวเขา
“มีอะไรน่ากลัวกัน ท่านก็เป็นมนุษย์ไม่ต่างจากคนทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ต่อให้ข้ากลัวท่านแล้วอย่างไร ท่านจะปล่อยข้าไปหรือ? ไม่มีทาง”
เฟิ่งชิงเฉินถามเองตอบเองด้วยท่าทางราวกับกำลังคุยเล่น
ตั้งแต่ที่นางมาที่นี่ เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าทั้งหมดที่นางทำได้ก็คือช่วยเหลือตัวเอง หากนางเอาตัวรอดไม่ได้ก็คงจะต้องฆ่าตัวตาย
ตายอย่างมีคุณค่าย่อมดีกว่าอยู่อย่างทรมาน นางยังไม่อยากตายในตอนนี้และลู่เส้าหลินที่อยู่ตรงหน้านางก็คือคนสำคัญในการช่วยเหลือตนเองของนาง
“จริงใจดีนี่ ไม่เลวเลย ไม่ว่าเจ้าจะกลัวข้าหรือไม่ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เมื่อมาถึงหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะผิดจริงหรือไม่ก็จะต้องถูกทรมานก่อน พวกเรามีการทรมานสิบแปดประเภท ไม่รู้ว่าแม่นางเฟิ่งสนใจจะลองทีละแบบไหม?” ดวงตาของลู่เส้าหลินฉายอำมหิตในขณะที่พูด
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัว “ชิงเฉินไม่ได้ชอบทรมานตนเอง ข้าไม่สนใจวิธีทรมานเหล่านั้นเลยจริงๆ”
“จริงใจดีนี่ ไม่เลวเลย ไม่ว่าเจ้าจะกลัวข้าหรือไม่ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เมื่อมาถึงหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะผิดจริงหรือไม่ก็จะต้องถูกทรมานก่อน พวกเรามีการทรมานสิบแปดประเภท ไม่รู้ว่าแม่นางเฟิ่งสนใจจะลองทีละแบบไหม?” ดวงตาของลู่เส้าหลินฉายอำมหิตในขณะที่พูด
โซ่ตรวนที่ข้อเท้าถูกปลดออกแล้ว เฟิ่งชิงเฉินยังคงเดินไปข้างหน้าและคิดว่าจะพูดคุยกับผู้บัญชาการลู่ขณะเดินทาง
จะต้องเข้าใจเขาก่อนจึงจะหาจุดอ่อนของบุคคลนั้นได้
“น่าเสียดายที่เข้ามาที่นี่แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะสนใจหรือไม่ล้วนต้องลิ้มลอง จะว่าไปแล้วในช่วงยี่สิบปีมานี้รวมแม่นางเฟิ่งแล้วก็มีผู้หญิงเพียงสองคนเท่านั้นที่เข้ามาที่นี่” ดูเหมือนลู่เส้าหลินจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาถอนหายใจแผ่วเบา หากถ้าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สังเกตเขาอยู่ เขาก็คงไม่รู้
“งั้นหรือ? ใครคือหญิงสาวอีกคนที่โชคดีเหมือนชิงเฉิน?” หัวสมองของเฟิ่งชิงเฉินหมุนอย่างรวดเร็ว นางคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นทางรอดของนาง
“แม่ของเจ้า เฟิ่งฮูหยิน” ลู่เส้าหลินไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล เขาพูดอย่างสะใจว่า “ครั้งนั้นนางถูกองครักษ์เสื้อโลหิตทรมานด้วยการเฆี่ยนตี เหล็กร้อนนาบ ยามที่องครักษ์เสื้อโลหิตกำลังจะให้มารดาของเจ้ายืนแบกแอก บิดาของท่านก็บุกเข้ามาพร้อมทวนเพียงเล่มเดียวและพาตัวนางออกไป”
“แม่ของข้า? พ่อของข้า?” เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึง
ไม่ จะบังเอิญมากเกินไปแล้ว!
“ใช่แล้ว ยามนั้นที่มารดาของเจ้าถูกทรมาน นางไม่เปล่งเสียงร้องออกมาเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าแม่นางเฟิ่งจะเก่งกว่ามารดาหรือไม่? เจ้าต้องรู้ว่าตอนนี้ไม่มีแม่ทัพเฟิ่งที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินมาช่วยเจ้า” ลู่เส้าหลินพูดด้วยท่าทางเยาะเย้ย
ตั้งแต่เฟิ่งชิงเฉินเริ่มสนทนากับเขา เขาก็เข้าใจสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ทันทีจึงได้จงใจพูดเรื่องนี้
เฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าเจ้าจะทำผลงานได้ดีที่พระราชวังตากอากาศ แต่เจ้าก็เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ กล้าเล่นตุกติกต่อหน้าข้า คอยดูเถอะว่าจะเป็นอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาด้วยความโกรธ
งานนี้คงไม่มีใครคิดว่านางจะล้ำกว่าแม่ของนางเสียอีกเป็นแน่!
ตาแก่นี่เจ้าเล่ห์เสียจริง มิน่าเล่าจึงได้เป็นถึงเจ้าคนนายคน เฟิ่งชิงเฉินแอบเบ้ปาก
“แม่นางเฟิ่ง อย่าได้คิดเล่นตุกติกเลย มาถึงห้องทรมานแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะทำไปตามขั้นตอน” ลู่เส้าหลินยิ้มเย็น จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรงโชยมา
แหวะ…
แม้ว่านางจะเคยชินกับกลิ่นคาวเลือดแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมา น่าแปลกใจยิ่งที่ไม่มีเสียงกรีดร้องเลย
ลู่เส้าหลินเป็นเสมือนดังพยาธิในท้องของเฟิ่งชิงเฉิน ก่อนที่นางจะได้พูดอะไร ลู่เส้าหลินก็อธิบายว่า “แปลกใจที่ไม่มีเสียงกรีดร้องใช่ไหม แปลกที่ตลอดทางที่ผ่านมาไม่มีใครในคุกส่งเสียอะไรเลยใช่ไหม ไม่ต้องแปลกใจไป คนเหล่านี้สารภาพแล้ว จะเก็บลิ้นของพวกเขาไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าจึงให้คนตัดลิ้นพวกเขาออกไปหมดแล้ว”
“พวกเจ้าทำได้อย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกต่อไป
ตัดลิ้น!
เมื่อเข้ามาในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตแล้วหากคิดจะออกไป หากไม่ตายก็พิการ
เป็นการทรมานที่เหี้ยมโหดอะไรเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวราวกับว่านางอยู่ในห้องเก็บน้ำแข็งใต้ดิน
คนเหล่านี้ไม่ปฏิบัติต่อมนุษย์เหมือนเป็นมนุษย์
ลู่เส้าหลินหันกลับมาแสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว “แม่นางเฟิ่งไม่ต้องกังวลไป ข้าชอบได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง เพราะฉะนั้นอีกเดี๋ยวเชิญเจ้ากรีดร้องได้ตามใจชอบ ข้าจะไม่ตัดลิ้นของเจ้าออกมาหรอก”
“ท่านมันโรคจิต” เฟิ่งชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไปและเริ่มก่นด่าสาปแช่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ด่าข้าไปเถอะ เพียงแค่เจ้าออกมาจากห้องทรมานแล้วยังมีเรี่ยวแรงด่าข้าอยู่ก็พอแล้ว” ลู่เส้าหลินไม่พูดอะไรอีก เขาหยุดอยู่หน้าห้องที่ทำจากหินทหารข้างหลังก้าวมาข้างหน้าเพื่อเปิดประตูออกทันที
“แย่แล้ว!” เฟิ่งชิงเฉินจึงได้พบว่านางหลงกลลู่เส้าหลินเข้าให้แล้ว นางถูกเขาพูดชักจูง ไม่เพียงหาช่องโหว่ในตัวของลู่เส้าหลินไม่พบ แต่นางยังจมเข้าสู่บทสนทนาของเขาด้วย
ไม่สิ เมื่อครู่นี้ลู่เส้าหลินพูดว่าอะไรนะ? เขาชอบฟังเสียงผู้หญิงกรีดร้องงั้นหรือ?
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกาย นางนึกขึ้นได้ว่าท่าเดินของลู่เส้าหลินดูประหลาดไปเล็กน้อย
เฟิ่งชิงเฉินดีใจมาก นางพบวิธีที่จะช่วยชีวิตตัวเองได้แล้ว
“แกร๊ก!”
กุญแจถูกไข ลู่เส้าหลินหันกลับมาทำสัญญาณให้เฟิ่งชิงเฉินเข้าไป แต่กลับพบสีหน้ายิ้มแย้มของเฟิ่งชิงเฉิน ลู่เส้าหลินขมวดคิ้ว คิดกับตัวเองว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการเล่นลูกไม้อะไรอีกแน่ ในพริบตาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“ใต้เท้าท่านผู้บัญชาการ พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินแจ่มชัดราวกับว่าสามารถมองทะลุผู้คนได้
ลู่เส้าหลินรู้สึกกระดากอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากดุนาง เฟิ่งชิงเฉินก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านผู้บัญชาการ ข้าสามารถช่วยแก้ปัญหาที่กวนใจท่านได้ ข้ารับประกันได้เลยว่ามันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าสิ่งที่คุณท่านมักดื่มแน่นอน”
เจ็ดส่วนจริง สามส่วนเท็จ เฟิ่งชิงเฉินคาดเดาอย่างกล้าหาญพร้อมอนุมานอย่างรอบคอบ
มันเป็นเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีของบุรุษ นางไม่เชื่อว่าลู่เส้าหลินจะไม่งับเบ็ด
อาจารย์ของนางเคยบอกว่าหมอเป็นอาชีพที่น่ากลัว เพราะผู้ป่วยจะไร้ความเป็นส่วนตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าหมอ แพทย์ที่ไร้จรรยาบรรณบางคนจะใช้เรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยเพื่อรีดไถเงิน
ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินกำลังทำตัวเป็นหมอที่ไร้จรรยาบรรณโดยใช้เรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยซื้อเวลาให้ตัวเอง
ลู่เส้าหลินรู้สึกตกใจ แม้ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่เฟิ่งชิงเฉินเห็นความวูบไหวเล็กน้อยในดวงตาของเขาก็รู้ว่าเขาหวั่นไหวแล้ว
“ท่านผู้บัญชาการ เฟิ่งชิงเฉินเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ที่นี่ ชิงเฉินก็หนีไปไหนไม่ได้ ทำไมใต้เท้าจึงไม่ให้โอกาสตัวเองเล่า อย่างไรชิงเฉินก็ไม่กล้าทำร้ายท่านอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มบางๆ ด้วยท่าทางมั่นใจ
มนุษย์ย่อมต้องมีจุดอ่อน ตราบเท่าที่จับจุดอ่อนของเขาและโจมตีได้ก็พอแล้ว
ลู่เส้าหลินต่อสู้อยู่ในใจพักหนึ่ง ภายใต้การแสดงออกว่ารู้อยู่แล้วของเฟิ่งชิงเฉิน ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ตกลง ข้าจะให้โอกาสเจ้า”
ตามที่นางว่ามา เขาไม่ได้สูญเสียอะไรเลยอยู่แล้ว
เฮ้อ…
โอกาสในการมีชีวิตรอดมาถึงแล้ว!
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกาย!