ตอนที่230 สถานการณ์ของบริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยี

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่230 สถานการณ์ของบริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยี

จ้าวเฉียนยิ้มและกระชับกอดเหรินจานซวนทันทีและแสร้งกล่าวขึ้นว่า

“เรานัดกันไว้กี่โมง ทำไมมาสายแบบนี้ล่ะ?”

เหรินจานซวนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอจ้าวเฉียนขยิบตาให้อย่างลับๆ เธอก็เข้าใจได้ในทันทีพร้อมยิ้มตอบกลับไปโดยไวว่า

“ฉันเพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จน่ะ ไปดูหนังกันเถอะ”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเดินเข้าโรงหนังไปทันทีพร้อมกับเหรินจานซวนในอ้อมแขน กลุ่มอันตพานพวกนั้นพลันขมวดคิ้วทันทีและค่อยๆเดินตามหลังเข้าไป

ประมาณห้านาทีต่อมา จ้าวเฉียนพาเหรินจานซวนเข้าไปในโรงและนั่งที่จองไว้โดยเร็ว กลุ่มคนพวกนั้นที่ติดตามเธอมาก็เข้ามาด้วยเช่นกัน

จ้าวเฉียนสวมกอดเหรินจานซวนไว้ในอ้อมแขนอย่างใกล้ชิด และเอ่ยกระซิบถามขึ้นว่า

“ทำไมคนพวกนี้ถึงลงมือเอิกเกริกกันจัง?”

เหรินจายซวนเก้อเขินขึ้นมาทันที ใบหน้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พลางกระซิบตอบไปว่า

“เรื่องมันยาว เดี๋ยวหนูจะเล่าทีหลังนะ แต่ตอนนี้พี่ชายต้องช่วยหนูก่อน อย่าให้คนพวกนี้พาตัวหนูไปได้เด็ดขาด”

“ไม่ต้องกังวล ฉันพอรู้จีกเซียนเหว่ยอยู่บ้าง คุณขอร้องมาขนาดนี้ฉันต้องช่วยอยู่แล้ว”

จ้าวเฉียนเอ่ยปากรับประกัน

ภายในใจเหรินจานซวนดูสงบลงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เอนกายนอนในอ้อมแขนของจ้าวเฉียนและดูหนังไปพลาง

หลังจากหนังจบ ทั้งสองก็ลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะออกไป จ้าวเฉียนก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า

“จะกลับบ้านเลย หรือไปหลบที่บ้านผมก่อน?”

เหรินจานซวนก้มศีรษะนิ่งเงียบไม่เอ่ยตอบอยู่ครู่ใหญ่ เธอไม่สามารถกลับเข้าบ้านของจ้าวเฉียนได้แน่นอน พวกเขาทั้งคู่เพิ่งพบกันครั้งแรก อยู่กับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักสองต่อสองใต้ชายคาเดียวกัน นี่มันสองแง่สองง่ามเกินไปไปไหม? แต่…ถ้าเธอไม่กลับไปบ้านเขา แล้วจะให้เธอไปหลบภัยอยู่ที่ไหน? กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังก็ยังตามติดไม่ปล่อย

จ้าวเฉียนตระหนักดีว่า เหรินจาซวนกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสนอเพิ่มเติมไปว่า

“เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าคุณไม่สะดวกใจกลับบ้านผม งั้นผมจะวานให้คนรู้จักพาพวกมารุมจัดการพวกที่สะกดรอยตาคุณเป็นไง? หลังจากนั้นเดี๋ยวผมขับไปส่งคุณที่บ้านเอง เท่านี้ก็น่าจะปลอดภัยหายห่วง”

เหรินจานซวนเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฉียนทันทีและถามว่า

“แบบนั้นได้ใช่ไหมค่ะ? ถ้าอย่างนั้น…หนูขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ”

จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะเสียงดังและหยิบมือถือโทรหาหยางหู่ทันที

“เสี่ยวหู่ อาการเป็นยังไงบ้าง?”

หยางหู่รับตอบทันควัน

“ดีขึ้นเยอะแล้วครับ คุณชายจ้าวมีอะไรให้รับใช้ครับ?”

“พอดีฉันบังเอิญเจอเพื่อนคนหนึ่งน่ะ แต่ดูเหมือนว่ามีพวกอันตพานกำลังสะกดรอยตามเธออยู่ ช่วยส่งคนของนายมาสั่งสอนพวกนั้นหน่อย ฉันจะพาเธอไปหาอะไรกินที่KFCสาขาจัตุรัสกลางเมือง บอกคนของนายให้สังเกตดีๆว่า จะมีคนกลุ่มหนึ่งสวมชุดสีดำ กำลังจ้องมองที่พวกฉันอยู่ นั้นแหละคือพวกที่สะกดรายตามเพื่อนฉันมา ฝากด้วย”

“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะรีบโทรหาลูกน้องให้ไประดมพลที่นั่น คุณชายเองก็ระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วยนะครับ ถ้าคนของผมยังไปไม่ถึง หลีกเลี่ยงคนพวกนั้นให้ห่าง อย่าเข้าปะทะเด็ดขาดนะครับ”

“อืม เข้าใจแล้ว”

พอวางสายไป จ้าวเฉียนก็พาเหรินจานซวนไปที่KFC

ทั้งคู่สั่งชุดไก่ทอดมารับประทานกันอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปครึ่งชั่วโมง คนของหยางหู่ก็มาถึง

พวกเขาเฝ้าสังเกตอยู่นอกร้านพักหนึ่ง เห็นว่าจ้าวเฉียนกำลังนั่งกินไก่ทอดกับสาว ขณะที่อีกโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นกลุ่มชายใส่ชุดดำกำลังเฝ้ามองมาทางพวกเขา พอเห็นดังนั้น คนของหยางหู่ก็เคลื่อนไหวทันที ตรงเข้าไปในร้านจับล็อกคนพวกนั้นออกไปอย่างไม่มีผิดสังเหตใดๆ

จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวกับเหรินจานซวนว่า

“ดูท่าจะเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวฉันพาเธอไปส่งที่บ้านเอง”

เหรินจานซวนดูงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันหลับกลับไปมอง พบว่ากลุ่มอันตพานพวกนั้นหายวับไปแล้วจริงๆ

เธอรีบเอ่ยถามทันทีด้วยความตกใจว่า

“นี่…นี่พี่ชายทำได้ยังไง?”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปเพียงว่า

“ก็ไม่มีอะไรมาก ผมพอจะมีเพื่อนอยู่สองสามคนที่มีอำนาจใต้ดิน ก็เลยจัดการได้ไม่ยาก กลับกันเถอะครับ ผมจะพาคุณไปส่งเอง ตอนนี้อยากกลับไปนอนแล้ว ง่วงมากไม่ไหว”

เหรินจานซวนส่งยิ้มให้ทันทีพร้อมพยักหน้า

ทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกไปขึ้นรถโดยเร็ว

“ยังไงก็เถอะ หนูยังไม่รู้จักชื่อพี่ชายเลย หนูชื่อเหรินจานซวน แถมยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกคนของบริษัท เซียนเหว่ย เทคโนโลยีด้วย”

จ้าวเฉียนแปลกใจเล็กน้อย เธอคนนี้ดูหน้าเด็กมากอย่างกับสาววัยรุ่น แต่การที่เธอมาเป็นผู้หุ้นแบบนั้นแสดงว่าเธอเองคงไม่เด็กแล้วเช่นกัน อย่างน้อยก็น่าจะเรียนจบแล้ว หลังจากแปลกใจอยู่พักหนึ่ง เขาก็กล่าวแนะนำตัวขึ้นว่า

“ผมชื่อจ้าวเฉียน เจ้าของบริษัท เฉียนเก๋อ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ผมค่อนข้างชื่นชมเทคโนโลยีของบริษัทคุณมาก ไว้ถ้ามีโอกาส หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมมือกันนะครับ”

เหรินจานซวนเอ่ยถามขึ้นทันทีที่ได้ยิน

“ทำไมพี่ชายถึงดูสนใจบริษัทของหนูจัง?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบไปตรงโดยไม่มีอ้อมค้อมใดๆ

“วิทยาการของบริษัทคุณราวกับชุบชีวิตประเทศจีนขึ้นมาอีกครั้ง บริษัทของคุณเองถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการเทคโนโลยีในประเทศ จะไม่ให้ผมสนใจได้ยังไง?”

เหรินจานซวนพยักตอบเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าสีหน้าของเธอดูหม่นหมองลงอย่างไม่มีเหตุผล

จ้าวเฉียนเชิญให้เธอขึ้นรถ จากนั้นก็ขับออกไปทันที

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วบ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ?”

เหรินจานซวนกล่าวตอบไปว่า

“หมู่บ้านคฤหาสน์เจียงปิง บ้านเลขที่58ค่ะ”

ดวงตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนทอประกานสว่างไสวขึ้นทันที เขายิ้มตอบว่า

“บังเอิญจังเลย! ผมเองก็อยู่ที่นั่น ผมอยู่บ้านเลขที่98ครับ”

เหรินจานซวนหัวเราะขึ้นอีกครั้งและกล่าวว่า

“จริงเหรอค่ะ? นี่บังเอิญจัง? เห…ดูเหมือนว่าฉันจะพบเศรษฐีเข้าให้แล้ว คุณที่สามารถซื้อคฤหาสน์ที่นั่นอยู่ได้ แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”

จ้าวเฉียนหัวเราะและเปลี่ยนเรื่องทันที เขาเอ่ยถามกลับไปว่า

“จะว่าไป พอพูดถึงเซียนเหว่ย ทำไมจู่ๆก็ดูเศร้าสร้อยแบบนั้นล่ะครับ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เหรินจานซวนนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า

“พ่อของหนูหายตัวไปเกือบปีแล้ว แถมไม่มีข่าวคราวอะไรเลย เหลือแค่พินัยกรรมที่เขาทิ้งไว้ให้ก่อนจะหายตัวไป หลังจากนั้นฉันก็ได้รับมรดกทุกอย่างต่อจากเขา หนูเพิ่งเรียนจบแต่กลับต้องมารับผิดชอบอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ชีวิตในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามันไม่ง่ายเลยค่ะ”

แต่เดิมจ้าวเฉียนรู้สึกสนใจบริษัทเซียนเหว่ยอยู่นานแล้ว พอได้ยินเธอเล่าประเดิมออกมาแบบนี้ก็ทำให้เขายิ่งสนใจเข้าไปใหญ่ จึงขอให้เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาโดยละเอียด

บริษัทเซียนเหว่ย เทคโนโลยี ถือเป็นบริษัทนวัตกรรมของเอกชนอันดับหนึ่งแห่งจีนตะวันตก ได้รับรางวัล Best Private Enterpriseติดต่อกันถึงหกปีซ้อน

เจ้าของบริษัทแห่งนี้อย่างเหรินไห่อันเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเข้าขั้นอัจฉริยะ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เขาเป็นผู้นำการคิดค้นนวัตกรรมแปลกใหม่ขึ้นมามากมาย จดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ภายใต้นามบริษัทไปแล้วกว่าพันฉบับ

 เมื่อสองปีที่แล้วเหรินไห่อันเพิ่งเปิดตัวสัญญาณ5Gที่ใช้ในประเทศ กระบวนการทดลองเป็นไปด้วยความราบรื่น และในที่สุดก็สามารถผลิตซิมสัญญาณดังกล่าวออกมาได้ ทำให้บริษัทพัฒนาไปอีกขั้นในช่วงปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม จู่ๆเหรินไห่อันก็หายตัวไปราวกับระเหยไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย ข่าวการหายตัวดังกล่าวดังมากในระยะเวลานั้น ทีมตำรวจออกปฏิบัติการตามหาเขาในฐานะผู้หาสาบสูญ จนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่พบตัว

ไม่นานหลังจากการหายตัวไปของเหรินไห่อัน ทำให้บริษัท เซียนเหว่ยตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหลอย่างหนัก เกิดเป็นสงครามภายในบริษัทเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำเซียนเหว่ยคนต่อไป

มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนเหริจานซวน และฝ่ายที่สนับสนุนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดอันดับสองอย่าง จางต้าเฉิน เขาต้องการใช้โอกาสนี้บีบให้เหรินจานซวนขายหุ้นส่วนในมือพ่อของเธอที่รับสืบทอดมา เพื่อขึ้นมารับช่วงต่อตำแหน่งประธานและคุมบังเหียนทั้งหมดโดยลำพัง

ทั้งนี้เอง เพื่อป้องกันไม่ให้เหรินจานซวนเสาะคนผู้คนช่วยเหลือ จางต้าเฉินจึงส่งกลุ่มคนให้มาติดตามเธอ และรายงานการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และทั้งหมดเป็นไปตามที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางดึก

หลังจากพูดจบเหรินจานซวนก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ท้ายที่สุดนี้เธอเป็นแค่เด็กสาวอายุยี่สิบต้นๆ ย่อมไม่สามารถทนต่อแรงกดดันขนาดนี้ได้โดยธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นเธอทั้งกังวลและคิดถึงพ่ออย่างยิ่ง ยามนี้สูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ เธอปล่อยโฮออกมาทันที

จ้าวเฉียนเอื้อมมือไปลูบหลังปลอมประโลมทันที

“อย่าร้องไห้สิ การที่พ่อของคุณทิ้งพินัยกรรมฉบับนี้เอาไว้ให้ก่อนจะหายตัว และให้เธอรับช่วงต่อทุกอย่างที่เป็นของเขา นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า พ่อของเธอเชื่อมั่นในตัวเธอแค่ไหน ถ้าล้มเหลวในเวลาแบบนี้ เธอจะทำให้คุณพ่อผิดหวังรู้ไหม?”

เหรินจานซวนยังคงร้องไห้ แต่ก็พยักหน้าตอบไปว่า

“หนูเข้าใจ หนูเข้าใจดีค่ะ แต่มันมากเกินไป หนูไม่สามารถรับแรงกดดันขนาดนี้ได้”

จ้าวเฉียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่จากหลังรถมาเช็ดน้ำตาให้เธอ หลังจากเห็นว่าท่าทางการแสดงออกของเธอดูสงบลงเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยถามต่อว่า

“ถ้าอย่างนั้นบอกผมมาตามตรงเถอะ ในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป คุณคงไม่สามารถแบกรับหน้าที่นี่ไหวแล้วใช่ไหม?”

เหรินจานซวนพยักหน้าและตอบไปว่า

“หนูคงแบกรับภาระหน้าที่ขนาดนี้ไม่ไหวอีกแล้ว บรรดาผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นกระดูกสันหลังของบริษัทต่างเห็น หนูเป็นแค่เด็กผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่ง ถ้าฉันยังเป็นผู้นำแบบนี้ต่อไป บริษัทคงล้มไม่เป็นท่า แต่ถ้าเป็นจางต้าเฉินเข้ามารับตำแหน่งแทน อย่างน้อย พวกเขาก็ยังประคองบริษัทให้ไปต่อได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกดดันให้หนูสละหุ้นส่วนกว่าครึ่งหนึ่งในมือทิ้งไป และการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป พวกนั้นไม่ให้โอกาสฉันแก้ตัวอีกแล้วแน่นอน”

จ้าวเฉียนถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอกและเอ่ยถามขึ้นว่า

“อย่างน้อยก็ยังไม่ได้ทิ้งหุ้นส่วนนั้นไป ถ้ามีคนอื่นยินดีที่จะซื้อหุ้นต่อจากคุณ คุณจะยอมขายไหม? แล้วจะขายในราคาเท่าไหร่?”