ส่วนที่ 1 ตอนที่ 21 งานชุมนุมปักบุปผา (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เช้าวันรุ่งขึ้น เหอตันผิงกับสามีขึ้นยอดเขาไปร่วมกันจัดการเรื่องงานชุมนุมปักบุปผา 

 

บรรดาเด็กๆ ก็นอนกันจนตะวันสายโด่งถึงตื่น พวกเขากินอาหารเช้าแล้วก็พาอวี่ซือเฟิ่งออกไปชมธรรมชาติเขาแรกอรุณ 

 

เขาแรกอรุณมีทั้งหมดเจ็ดยอดเขาใหญ่น้อย ใหญ่สุดก็คือยอดเขาเส้าหยาง ส่วนถ้ำแสงฉานที่ขังเสวียนจีอยู่ที่ยอดเขาไท่หยางทางทิศเหนือ ที่นั่นมีหินประหลาดมาก พื้นที่อันตราย คนธรรมดาปีนขึ้นไปก็ยากราวขึ้นสวรรค์ หอเจิ่นเสียถังที่ดูแลการลงโทษก็อยู่บนยอดเขาไท่หยาง ดูแลโดยอาวุโสเหอหยาง 

 

ในเจ็ดยอดเขา ธรรมชาติงดงามที่สุดก็คือยอดเขาเสี่ยวหยาง ไม่เพียงแต่สูงตระหง่านกว่าอีกหกยอดเขา หากยังเขียวชอุ่ม ทิวทัศน์งดงามอย่างยิ่ง มักมีสัตว์แปลกๆ ปรากฎตัว ด้านหลังเขายังมีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ผุดขึ้น รอบๆ น้ำพุศักดิ์สิทธิ์มีผลเฉ่ากั่วก้านหยกคุนหลุนเติบโตไปทั่วบริเวณ ส่งกลิ่นหอมลอยมา 

 

ฉู่อิ่งหงดูแลหออวี้หยางถังอยู่บนยอดเขาเสี่ยวหยาง 

 

อีกห้ายอดเขา ได้แก่ ชิงหยาง เน่ยหย่าง จี้หยาง เยว่หยาง จ้งหยาง แบ่งออกเป็นห้าอาวุโสดูแล แบ่งกันดูแลสาขาต่างกัน 

 

หกยอดเขาหกหอผนึกกำลังกันสนับสนุนให้เส้าหยางอยู่สูงสุด ทุกคนในสำนักหนักแน่นมั่นคง จิตนิ่งสงบ อวี่ซือเฟิ่งเที่ยวชมรอบหนึ่ง อดลอบอุทานในใจไม่ได้ นับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสำนักเส้าหยางจึงเป็นแกนสำคัญหลักในบรรดาห้าสำนักใหญ่ 

 

“เมื่อก่อน อาจารย์ มักกล่าว ฟ้าเป็นใจ ดินเป็นใจ คนร่วมใจ สามสิ่ง ขาดสิ่งใดหนึ่งไม่ได้ สำนักเส้าหยาง มีครบ มิน่า ก้องหล้า” 

 

เขาพูดทีละคำ หลิงหลงที่ด้านข้างไม่มีอะไรทำก็หันไปหัวเราะเขา หัวเราะสำเนียงประหลาดเขา 

 

เสวียนจีดึงหลิงหลงกลับมา นางจะได้ไม่ทำอวี่ซือเฟิ่งจากอับอายกลายเป็นโมโห 

 

“หลิงหลงอย่าหัวเราะเลย ซือเฟิ่งเขาไม่ใช่คนจงหยวน พูดได้เช่นนี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว ภาษาถิ่นแดนตะวันตกพวกเราฟังยังไม่ออกเลย” 

 

เสวียนจีมองอวี่ซือเฟิ่ง ยิ้มถาม “ซือเฟิ่ง ตำหนักหลีเจ๋อเป็นอย่างไร น่าสนุกไหม” 

 

พอพูดถึงสำนักตนเอง อวี่ซือเฟิ่งอดยืดอกขึ้นไม่ได้ 

 

“ตำหนักหลีเจ๋อ ตั้งอยู่ที่ ริมทะเล” เขากล่าว “แม้ว่าไม่เหมือน เส้าหยาง สำนักสาขา มากมาย แต่ตำหนัก ทุกคน ร่วมใจ เป็นหนึ่ง ราวครอบครัว หันหน้า หาทะเล สร้างหอคอยหยกขาว สูงมาก ข้ากับ ศิษย์พี่ศิษย์น้อง มักจะ ปีนขึ้นไป ดูทะเล มีบางครา ยังโดดลง ทะเล จับพวก ปลากุ้ง แปลกๆ กินเล่นกันหนำใจ” 

 

สีหน้าเขาผุดผ่อง ราวกับนึกถึงความทรงจำงดงามอันใด ริมฝีปากแย้มน้อยๆ 

 

หลิงหลงตบมือยิ้มกล่าวว่า “ฟังแล้วน่าสนุก! ซือเฟิ่ง ครั้งหน้าข้ากับเสวียนจีไปเที่ยวตำหนักหลีเจ๋อของเจ้า ดีไหม เจ้าจับปลากุ้งสดๆ ให้พวกเรา พวกเราร่วมกันกินเล่นให้หนำใจ! อ้อ ต้องพาเจ้าหกไปด้วย!” 

 

อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ส่ายหน้า “ไม่ได้ ตำหนักหลีเจ๋อ แต่ไรมา ไม่ให้ ผู้หญิงเข้า” 

 

หลิงหลงไม่อาจยอมรับได้ เบ้ปาก “กฎน่าแปลก! ข้าไม่เชื่อว่าตำหนักหลีเจ๋อไม่มีศิษย์หญิง!” 

 

ตู้หมิ่นหังแทรกขึ้นจากด้านหลังว่า “ตำหนักหลีเจ๋อไม่รับศิษย์หญิงจริง ได้ยินว่าระเบียบเคร่งครัดมาก ศิษย์ปกติไม่อาจสนทนากับสตรีภายนอกได้ด้วย คิดแล้วเจ้าตำหนักต้องเป็นผู้มีคุณธรรมเคร่งครัดธรรมเนียมยิ่ง ช่างน่าเลื่อมใส” 

 

“อะไรกันเนี่ย~~” หลิงหลงรู้สึกยอมไม่ได้ “ผู้มีคุณธรรมอันใด ดูแคลนสตรีชัด! ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่แต่งงาน ไม่มีลูก!” 

 

“จริง เข้าสู่ ตำหนักหลีเจ๋อ ก็เท่ากับ ชีวิตนี้ ไม่อาจแต่ง” 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง 

 

จงหมิ่นเหยียนอดไม่ได้ร้อนใจกล่าวว่า “นี่ซือเฟิ่ง! หรือว่าเจ้าเองก็…?” 

 

เขาพยักหน้านิ่ง มองไปทางเสวียนจีแวบหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว นางกลับกำลังสนใจเล่นกับผลเฉ่ากั่วก้านหยกคุนหลุนในมือ ราวกับไม่ได้ยิน ในใจเขาพลันวูบลง รู้สึกเจ็บแปลบ 

 

จงหมิ่นเหยียนร้องอย่างเกินเลยไปมากว่า “มิน่าพวกเจ้าทุกคนจึงต้องสวมหน้ากาก! เพราะเหตุนี้? หากให้ผู้อื่นเห็นโฉมหน้าแท้จริง จะถูกลงโทษใช่หรือไม่ ไม่กระมัง~~หรือว่าคนที่เห็นคนแรกต้องแต่งกับเจ้า สวรรค์ ข้า…เช่นนั้นข้า…” 

 

เขาตกใจจนหน้าซีด แต่เขาเป็นคนแรกที่เห็นใบหน้าซือเฟิ่ง! ชายสองคนจะแต่งกันได้อย่างไร! 

 

อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองเขาดุดัน “มิใช่ ธรรมเนียมนี่! เพียงแต่ว่า…” 

 

เพียงแต่ว่าเขาเพียงแค่สูญสิ้นคุณสมบัติสวมหน้ากากไปก็เท่านั้น แต่เขาไม่อยากให้พวกเขารู้ ไม่คิดให้พวกเขาเป็นห่วงตนเอง 

 

เขาส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “คนแรก เห็นโฉมหน้า แท้จริงข้า ก็จะเป็น พี่น้อง ชั่วชีวิต” 

 

จงหมิ่นเหยียนทำหน้าซาบซึ้ง กุมมือเขาแน่น “ได้! ซือเฟิ่ง พวกเราชั่วชีวิตนี้เป็นสหายสนิท พี่น้องสนิทกัน!” 

 

เสวียนจีดึงแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งเบาๆ ชี้หน้าตนเอง ถามเสียงเบาว่า “เช่นนั้นข้าเล่า? ข้าเล่า?” 

 

หลิงหลงเผยรอยยิ้มบาง ยื่นหน้าออกมา “ใช่แล้ว! ยังมีข้า! พวกเราล้วนเห็นกันหมดนะ!” 

 

จงหมิ่นเหยียนหัวเราะดังลั่น “นั่นไม่ยิ่งง่ายหรือ! พวกเราสี่คนก็เป็นสหายสนิทกันชั่วชีวิต ตกลง…พี่น้องกันหมด!” 

 

ทุกคนหัวเราะดัง ตู้หมิ่นหังจุดกองไฟที่บริเวณน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว กำลังจะย่างปลาสองสามตัว หันกลับไปกวักมือเรียกพวกเขา “หัวเราะกันพอแล้วก็มากินกันได้แล้ว! ตะโกนโหวกเหวกมาตลอดทาง น้ำลายไม่แห้งหรือ” 

 

พวกเขาวิ่งมาพร้อมกัน เห็นบนไม้มีปลาตัวน้อยสามตัวย่างอยู่ จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “ของแค่นี้จะไปพออะไร ศิษย์พี่ใหญ่ อย่างไรไปจับมาอีกสองละกัน!” 

 

ตู้หมิ่นหังยิ้มกล่าวว่า “เมื่อครู่เรียกพวกเจ้าจับปลา ล้วนพากันขี้เกียจเอาแต่เล่น ตอนกินกลับรังเกียจว่าน้อย ไปจับเองเลย!” 

 

หลิงหลงตบกระบี่ต้วนจินที่เอวท่าทางร่าเริง ย่นจมูก “ไว้ดูพวกเราจับไก่ภูเขากระต่ายป่ามาให้พวกเจ้า! เจ้าหก พวกเราไป!” 

 

ล่ากระต่ายและไก่ภูเขาด้วยกระบี่ต้วนจิน? อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าไร้วาจาจะกล่าว ตบบ่านาง “รอก่อน ข้าไปทำ เรื่องหนึ่งก่อน” 

 

ทุกสายตามองมาที่เขา เขาหักกิ่งไม้จากต้นไม้มาท่อนหนึ่ง ใช้มือกะขนาดเอา ตามด้วยคว้าเอาหนังวัวเส้นหนาหลายเส้นในถุงหนังออกมา มัดท่อนไม้ไว้แน่นหนา จากนั้นคว้าหินก้อนเล็กมาก้อนหนึ่ง เหน็บเข้าไปก้อนหนึ่ง เล็งต้นไม้ ปล่อยมือ 

 

ได้ยินเพียงเสียงปึกหนึ่ง ต้นไม้ตรงหน้าก็เป็นรู เปลือกไม้ปริออก มองเห็นเนื้อไม้สีขาวด้านใน 

 

หลิงหลงอดไม่ได้ อ้าปากค้าง หุบไม่ลงเป็นนาน 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่งหนังสติ๊กที่ตนทำเสร็จส่งให้นางยิ้มว่า “ใช้อันนี้ สะดวกกว่า” 

 

หลิงหลงรับมา พลิกดูไปมาอยู่นาน ก่อนจะเงยหน้ายิ้มหวานให้เขา กล่าวอ่อนโยนว่า “ซือเฟิ่ง เจ้ารู้อะไรมากมายจริง ขอบคุณ” 

 

เขาได้แต่เพียงยิ้มเล็กน้อยไม่ใส่ใจนัก หันไปหักกิ่งไม้อีกสองสามท่อน ใช้มีดสั้นเหลาเป็นรูปร่าง แบ่งไปคนละอัน ไปล่าไก่และกระต่ายป่ากันในป่าอย่างร่าเริง 

 

“ตาจะหลุดออกมาแล้ว!” จงหมิ่นเหยียนมองท่าทางผิดปกติของหลิงหลง ตามหลังอวี่ซือเฟิ่งราวกับแมลงไล่ตอมหลัง ดวงตาไม่ละจากใบหน้าเขา ในใจก็อดมีกองไฟสุมไม่ได้ “ก็แค่ทำหนังสติ๊ก! ข้าก็เป็น!” 

 

หลิงหลงค้อนเขาขวับ “รีบไปยิงกระต่ายกัน! พูดมากจริง!” 

 

กล่าวจบนางก็เหมือนกินปูนร้อนท้อง วิ่งไปข้างเสวียนจี ลากนางไปแอบพูดกันสองคน 

 

“นี่ อวี่ซือเฟิ่งนั่น…เป็นคนไม่เลวนะ” 

 

เสวียนจีกำลังพยายามใช้ก้อนหินคล้องใส่หนังสติ๊ก พลางตอบว่า “ใช่ ซือเฟิ่งเป็นคนดีมาก” 

 

“เจ้าก็ชอบเขา?” หลิงหลงยกคิ้วขึ้น 

 

“ชอบ” 

 

เสวียนจีกล่าวขึ้นคำหนึ่ง รอเป็นนานเห็นหลิงหลงไม่ส่งเสียง เงยหน้ามอง นางไหล่ลู่ลง ใบหน้าหม่น  

 

“เจ้าเป็นอะไรไป” นางแปลกใจ 

 

หลิงหลงกระทืบเท้า เม้มปากกล่าวว่า “แล้วไปเถอะ ไม่แย่งกับเจ้า! ยอมให้เจ้าก็แล้วกัน!” 

 

กล่าวจบก็คิดวิ่งจากไป เสวียนจีรีบคว้านางไว้ “เจ้ากำลังกล่าวอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ ยอมให้อะไรกัน” 

 

หลิงหลงหน้าแดง บิดไปมาเป็นนาน “ก็คือ…เจ้าไม่ใช่ว่าชอบเขาหรือ…ข้ายอมให้เจ้า…” 

 

เสวียนจีสองตากลมโตจ้องมองงุนงง “ข้าชอบเขาเหตุใดต้องยอมให้ ข้าก็ชอบเจ้ากับศิษย์พี่หกด้วย! เจ้าเหตุใดยอมยกเจ้าให้ข้าด้วย…น่าแปลกจริง…” 

 

สีหน้าหลิงหลงกลับเป็นปกติ หัวเราะคิกคักขยี้ศีรษะนาง “เจ้ายังเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ! ท่านแม่ว่าไม่ผิด เจ้าเป็นเด็กน้อยที่ไม่มีวันโต! เอาละ ไม่พูดแล้ว พวกเราไปล่ากระต่ายกัน!” 

 

นางลากเสวียนจีวิ่งไปทางอวี่ซือเฟิ่ง ลืมจงหมิ่นเหยียนไว้ด้านหลัง ทำเอาเขาโมโหโยนหนังสติ๊กทิ้ง หันกลับไปนั่งกับศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ร่วมเฮฮากับพวกเขาแล้ว 

 

“เป็นอะไร?” ตู้หมิ่นหังมองสีหน้าหม่นของเขา คิดว่าจับกระต่ายไม่ได้ 

 

“ไม่เป็นอะไร! อย่างไรข้าก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ!” เขากล่าวเสียงเย็นชา พลางโยนกิ่งไม้เข้ากองไฟอย่างกระฟัดกระเฟียด 

 

ตู้หมิ่นหังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้นัก คิดไปว่าพวกเขาสองสามคนโต้เถียงกันไป ไม่ได้เอามาใส่ใจ ได้แต่แบ่งปลาให้เขาตัวหนึ่ง ทั้งสองลงมือกิน