ส่วนที่ 1 ตอนที่ 22 งานชุมนุมปักบุปผา (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีกับหลิงหลงและอวี่ซือเฟิ่งล่ากระต่ายได้สักพักหนึ่ง หันกลับไปไม่เห็นจงหมิ่นเหยียนอดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เอ๋ ศิษย์พี่หกล่ะ”

หลิงหลงเป็นเด็กหญิงเอาแต่ใจ การที่พลันรู้สึกดีกับอวี่ซือเฟิ่งขึ้นมา ไหนเลยจะยังสนใจจงหมิ่นเหยียน ได้แต่สนใจเอาแต่ไล่ตามหลังอวี่ซือเฟิ่ง เห็นเขายืดหนังสติ๊กยิงกระต่ายท่าทางหล่อเหลาเอาการ ทำเอามองตาค้าง

เสวียนจีถามขึ้น ไม่มีคนตอบ เบื้องหน้าหลิงหลงยังคงคุยเรื่องหนังสติ๊กกับอวี่ซือเฟิ่งว่าจะยิงแม่นได้อย่างไร นางได้แต่มองซ้ายมองขวา มองไปไกล จงหมิ่นเหยียนกับศิษย์พี่ใหญ่กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้คุยกันอันใดกัน

เดิมทีนางก็ขี้เกียจไปล่ากระต่าย จึงยัดเยียดหนังสติ๊กใส่มือหลิงหลงไปทันที ตนเองวิ่งไปร่วมแอบขี้เกียจ

“เอ๋ เสวียนจี ทำไมออกมานี่ ไม่ไปล่าสัตว์หรือ” ตู้หมิ่นหังเห็นนางออกจากป่ามาก็ยิ่งแปลกใจ เด็กสี่คนเมื่อครู่ไม่ใช่ว่ายังดีๆ กันอยู่หรือ

เสวียนจีนั่งลงข้างเขา เอื้อมมือไปคว้าปลาย่างตัวสุดท้ายมา กัดไปคำหนึ่ง ร้อนจนต้องห่อปาก “ข้า…ล่าไม่เป็น และไม่สนุก”

ตู้หมิ่นหังรู้นิสัยนางดี จึงยิ้มกล่าวว่า “กินช้าๆ หน่อย หากไม่พอ ข้าไปจับให้เจ้าอีกสองตัว”

จงหมิ่นเหยียนกินไปแล้วตัวหนึ่ง เขากำลังอารมร์บูด พอได้ยินว่าจะจับปลา ก็ถลกแขนเสื้อทำทีกล้าหาญ กล่าวกับตนเองว่า “ข้าไปจับ!” เขากำลังไม่มีเรื่องใดให้คิดแทนเรื่องที่กลัดกลุ้มอยู่พอดี

กล่าวเสร็จก็วิ่งไปโดดลงทะเลสาบ น้ำในนั้นกระจายเป็นฟอง ไร้วี่แววอยู่นาน

เสวียนจีร้อนใจเข้าไปใกล้ทะเลสาบ รออยู่นานก็ยังคงไร้วี่แวว นางอดร้อนใจไม่ได้ ร้องเรียก “ศิษย์พี่หก? ศิษย์พี่หก!” ส่งเสียงไปหลายคำ ก็ไม่มีการตอบรับใด สีหน้านางพลันเปลี่ยน หันกลับไปลากเสื้อตู้หมิ่นหัง “ศิษย์พี่ใหญ่! ทำไมเขายังไม่ขึ้นมา!”

ตู้หมิ่นหังลูบศีรษะนาง ปลอบใจกล่าวว่า “ไม่เป็นไร หมิ่นเหยียนว่ายน้ำเก่ง ไม่ต้องห่วง”

เสวียนจีจ้องมองกลางทะเลสาบ ไม่รู้ว่ารออีกนานเท่าไร เขาก็ยังไม่ผุดขึ้นมา ยามนี้แม้แต่ตู้หมิ่นหังก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว กำลังจะถอดเสื้อตัวนอกออกลงไปค้นหาเขาในน้ำก็ได้ยินเสียงผิวน้ำดังซ่าขึ้น จงหมิ่นเหยียนศีรษะเปียกปอน ยิ้มกว้างให้พวกเขา

“ดู! ข้าจับปลาอ้วนพีได้ตัวหนึ่ง!” เขายกแขนขึ้นสูง ในมือจับปลาที่ดิ้นไปมาไว้แน่น ตัวยาวเกือบสองฉื่อกว่า อ้วนดีจริง

เสวียนจีรีบปรี่เข้าไป “ศิษย์พี่หกขึ้นมาเถอะ ข้าช่วยดึงท่าน”

จงหมิ่นเหยียนเปียกตั้งแต่หัวจนถึงเสื้อผ้า น้ำหยดจากกรอบใบหน้าหล่อเหลาของเขาลงมาต้องแสงอาทิตย์ ทำให้นางรู้สึกตาลาย หรี่ตามองอย่างไม่รู้ตัว เขาลูบใบหน้า ยิ้มให้นางเล็กน้อย ยกปลาในมือโยนไปที่เท้านาง

“รับไป เด็กน้อย ศิษย์พี่จับปลาให้เจ้า”

เขายังโดดกลับไปในทะเลสาบจับปลาต่ออีก

เสวียนจีอึ้ง มองปลาตัวอ้วนที่ดิ้นไปมาอยู่ตรงเท้านาง กล่าวไม่ออกสักคำอยู่นาน

ใบหน้าร้อนผ่าวถูกแสงอาทิตย์สาดส่องจนร้อนเห่อ นางค่อยๆ ลูบใบหน้าให้ความร้อนแผ่วลง ราวกับลูบของมีคมแทงมือ ต้องหดมือกับ สุดท้ายได้แต่เม้มปาก ยัดมือเข้าในแขนเสื้อ

ตู้หมิ่นหังขอดเกล็ดและล้วงเครื่องในปลาออก กำลังนำขึ้นย่าง พลันได้ยินเสียงโต้แย้งกันมาจากทางป่า ที่แท้เป็นหลิงหลงกับอวี่ซือเฟิ่งกลับมามือเปล่า

“เป็นผู้ชายหรือเปล่า! ไม่ยอมลดราให้ผู้หญิง! ให้ข้ายิงหน่อยมีอันใดไม่ได้!” หลิงหลงบ่นพลางเดินไปกระแทกตัวนั่งลงข้างเสวียนจี

อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้ว “เจ้าอันใด ก็ไม่เป็น ให้เจ้า ยิงได้อย่างไร”

“เช่นนั้นเจ้าก็สอนข้าได้นี่! เอาแต่ดุตลอด ก่อนหน้ายังคิดว่าเจ้าเป็นคนดี!” หลิงหลงถลึงตาใส่เขา ทั่วใบหน้าราวกับความฝันพังทลาย

อวี่ซือเฟิ่งจึงไม่พูดอันใดอีก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะรับมือคุณหนูผู้นี้อย่างไร อยู่กับนางปวดหัวจริง เมื่อครู่ก็นี้พริบตาเดียวเสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียนก็หายตัวไปแล้ว เหลือเขารับมือมารน้อยคนเดียว เขาอึดอัดแทบตาย

หันกลับไปเห็นเสวียนจีนั่งย่างปลาเหม่อลอยอยู่คนเดียว เขาจึงเข้าไปใกล้ ถามนางว่า “ทำไม คนเดียว วิ่งกลับมา?”

เสวียนจีจึงได้สติ ยิ้มให้ กล่าวว่า “ข้าไม่ล่าสัตว์ และขี้เกียจขยับ เจ้ากับหลิงหลงไม่ใช่ว่าเล่นกันสนุกหรือ”

“สนุกกับผี…” เขาบ่นพึมพำ

“ไก่กระต่าย จับไม่ได้ น่าเสียดาย ปลาตัวนี้ พวกเจ้า จับหรือ” เขาใช้นิ้วลูบทีหนึ่ง พลิกของบนนั้นย่างไปมาอย่างคล่องแคล่ว

เสวียนจีพยักหน้า “ศิษย์พี่หกจับ เขาว่า…”

เขาว่าจับปลาตัวนี้ให้นาง

นางพลันรู้สึกเบิกบานใจ อยากจะยิ้ม แต่ก็รู้สึกแปลบในใจ

“เจ้าเหตุใด เอาแต่เรียก ศิษย์พี่ ห่างเหินไปแล้ว” อวี่ซือเฟิ่งดึงห่อเกลือออกมา สาดไปบนปลาท่าทางตั้งใจ

เสวียนจีเงียบลง นางแน่นอนอยากเป็นเหมือนหลิงหลง เรียกชื่อเขา ถึงกับอยากจะล้อเล่นเรียกว่าเจ้าหก แต่ทว่าเดาว่าหากนางเรียกออกไป จงหมิ่นเหยียนต้องโมโหแน่ จากนั้นไม่สนใจนางอีก

นางรู้ หลิงหลงไม่เหมือนกัน ทุกคนชอบนาง แต่นางไม่เหมือนกัน

“เจ้าหกล่ะ” หลิงหลงโมโหเป็นนาน สุดท้ายนึกถึงจงหมิ่นเหยียนได้ มองซ้ายมองขวาเป็นนาน

“เขาลงไปจับปลาในทะเลสาบ เมื่อครู่กลับมาท่าทางฮึดฮัด”

ตู้หมิ่นหังยามนี้กินปลาที่ตนเองจับมาหมดไปแล้ว

“เขามีอันใดต้องโมโห ที่ควรโมโหเป็นข้าถึงจะถูก!” หลิงหลงค้อนอวี่ซือเฟิ่งขวับ ลุกขึ้นวิ่งไปยังริมทะเลสาบ ตะโกนดังว่า “เจ้าหก! เจ้าหก! รีบขึ้นมาได้แล้ว!”

เสียงเพิ่งเงียบลง จงหมิ่นเหยียนก็จับปลาขึ้นมาอีกสองตัว เงยหน้ามองนางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มเป็นนาน กว่าจะค่อยๆ กล่าวเนิบนาบว่า “ในที่สุดเจ้าก็นึกถึงข้าแล้ว ทำไม มีอะไร”

หลิงหลงกระทืบเท้า “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! รีบขึ้นมา! ปลาย่างจะไหม้หมดแล้ว!”

จงหมิ่นเหยียนโยนปลาให้ตู้หมิ่นหัง ฟึดฟัดขึ้นฝั่ง ทั้งตัวเปียกปอนไปหมด น้ำหยดตามทางเขาก็ไม่สนใจ ลูบใบหน้า ก่อนจะบิดปลายเสื้อ นั่งลงแบ่งปลาตัวใหญ่นั้นกับอวี่ซือเฟิ่ง

“เมื่อครู่ทำไมเจ้าหนีกลับมาเงียบๆ” หลิงหลงปัดผมออกให้เขา ใช้มือจัดแต่งอย่างไม่คิดมาก

จงหมิ่นเหยียนไม่กล่าวอันใด หลิงหลงกลับปรบมือหัวเราะกล่าวว่า “อา เจ้าต้องเดาได้ว่าพวกเราล่ากระต่ายป่าและไก่ไม่ได้แน่เลย ดังนั้นจึงกลับมาจับปลา ใช่ไหม อย่างไรก็เป็นเจ้าหกที่ฉลาด!”

จงหมิ่นเหยียนหัวเราะด้วยน้ำเสียงปกติ “ใช่ จับปลาก็เพื่อไว้รอปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ผู้นี้!”

เขาตัดเนื้อบนท้องปลาออกมาชิ้นหนึ่งส่งลงในชามนางพลางกล่าวว่า “ไม่รู้จะรับมือเจ้าอย่างไรจริงๆ เอ้า! กินตอนร้อนๆ”

หลิงหลงยิ้มตาหยี จับแขนเสื้อเปียกๆ ของเขาสะบัดไปมา “มีแต่เจ้าหกดีที่สุด! ฉลาดที่สุด เข้าใจที่สุด!”

จงหมิ่นเหยียนถูกนางชมไหนเลยจะมีอารมณ์อื่นอีก ความโกรธมลายหายไปแล้ว

พลันมองเห็นเสวียนจียังคงนั่งเหม่ออยู่กับที่ ไม่ขยับ เขาก็ตัดเนื้อท้องปลาอีกชิ้นส่งให้นาง “รีบกินสิ เจ้าเซ่อ ปลาเย็นแล้วจะมีกลิ่นคาว”

เสวียนจีฝืนยิ้มกล่าวเบาๆ ว่า “ขอบคุณ…ศิษย์พี่หก”

แม้ว่าไม่มีกระต่ายป่าไก่ภูเขา ปลาที่จงหมิ่นเหยียนจับมาได้ก็เพียงพอให้พวกเขาได้กินกันอิ่ม

ทุกคนกำลังกินไปหัวเราะพูดคุยไป พลันได้ยินเสียงพูดคุยด้านหลังแว่วมา ราวกับมีคนกำลังมาทางนี้

พวกเขาหันกลับไปพร้อมกัน เห็นฉู่อิ่งหงนำศิษย์หออวี้หยางถังสองสามคน ด้านหลังยังมีชายสวมหน้ากากในชุดครามมาอีกห้าหกคน กำลังพูดคุยยิ้มไปเดินไป

“มีคนกล่าวว่าเขาแรกอรุณที่งดงามที่สุดก็คือยอดเขาเสี่ยวหยาง ตอนนี้มีวาสนาได้พบเห็น สมคำร่ำลือจริง เป็นความงามเลิศล้ำจริง ราวแดนเทพเซียน”

คนที่พูดขึ้นผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ วาจาแม้ว่าไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่สำเนียงก็แปลกอยู่มาก มีความคล้ายอวี่ซือเฟิ่งเล็กน้อย

ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตำหนักเกรงใจไปแล้ว ตำหนักหลีเจ๋องดงามอลังการ ผู้ได้พานพบล้วนไม่อาจไม่อุทานตกตะลึง นั่นจึงเป็นความงามราวเทพบรรจงสร้าง”

นางกล่าวจบพลันเงยหน้า เห็นเด็กสองสามคนตรงหน้า กินกันจนหน้ามันแผลบ มีคนหนึ่งจ้องนางตาเขม็ง

นางเองก็ตกใจ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เสวียนจี หลิงหลง หมิ่นเหยียน…พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

หลิงหลงฉลาดหัวไวสุด แย่งกล่าวว่า “พวกเราพาซือเฟิ่งมาชมทิวทัศน์ยอดเขาเสี่ยวหยาง เขามาสำนักเส้าหยางเป็นครั้งแรก พวกเราแน่นอนย่อมต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี”

นางเพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินชายหัวหน้าชุดครามหน้ากากยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณทุกท่านที่ต้อนรับศิษย์ข้าอย่างอบอุ่น เขาไม่ค่อยได้รู้โลกภายนอก ไม่ค่อยรู้จักพูดจา หากมีอันใดล่วงเกิน ขอทุกท่านโปรดอย่าได้ตำหนิ”

เอ๋? ศิษย์?

ทุกคนส่งสายตากวาดไปยังอวี่ซือเฟิ่งพร้อมกัน

สีหน้าเขาซีดขาว ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินเข้าไปคุกเข่าลง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ศิษย์อวี่ซือเฟิ่ง คารวะอาจารย์”