ตอนที่ 255 คืนสู่เหย้าในคืนหิมะตก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ในขณะที่กล่าวฮ่องเต้ก็ก้มหน้าไปมองปี้ตงที่มีสีหน้าหวาดกลัว คิ้วขมวดนิ่ว ด้วยใบหน้าดูแคลน “ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยเพียงช่างบางส่วนที่ตนหามาเอง ก็สามารถทำปืนใหญ่หงอีขึ้นมาได้ ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหามากมายที่มีมาแต่อดีตได้อีก ข้าให้เจ้าลากปืนใหญ่นั้นไปยังกรมอุตสาหกรรมและทำเลียนแบบขึ้นมา คาดมิถึงว่าเจ้าจะกล่าวว่ามันระเบิด ! ”

เขายื่นมือชี้ไปทางปี้ตง “เจ้าลองบอกข้ามา เหตุใดปืนใหญ่ของเขาจึงไม่ระเบิดออก ? ”

ปี้ตงรีบตอบกลับ “ทูลฝ่าบาท โลหะที่เขาใช้ในการสร้างปืนใหญ่ ดีกว่าที่กรมอุตสาหกรรมใช้มากพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงกริ้วเสียยิ่งกว่าเดิม “ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นสามารถหลอมเหล็กเยี่ยงนั้นขึ้นมาได้ กรมอุตสาหกรรมของเจ้ากลับหลอมออกมามิได้รึ ? เยี่ยงนั้นจะยังมีประโยชน์อันใดที่ข้ายังต้องเสียเงินมากมายเพื่อเลี้ยงดูพวกเจ้า เลี้ยงสุนัขมันยังสามารถเฝ้าเรือนได้ แต่คนนับร้อยในกรมอุตสาหกรรมของเจ้าเล่า สามารถทำอันใดได้บ้าง ? ”

“ในอดีตพวกเจ้าบอกกับข้าว่าของสิ่งนี้มิมีมูลค่าในการนำไปใช้ประโยชน์ เยี่ยงนั้นในตอนนี้ขอถามเจ้า หากนำปืนใหญ่หงอีนี้ไปวางบนหอคอยเมือง มันจะมีมูลค่าหรือไม่ หากแนวหน้ามีปืนใหญ่ตั้งอยู่ 100 กระบอก มันจะมีมูลค่าหรือไม่ ! ”

ปี้ตงคุกเขาลงดังปึง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

ชางกวนเหวินซิ่วประหลาดใจ แล้วถึงได้เข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้ให้ความสำคัญกับของสิ่งนั้นขึ้นมาทันพลัน

เป็นฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้ว !

เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้และกลยุทธ์การค้าและการเกษตรจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนที่ทูลถวาย เยี่ยงนั้นกั๋วจื่อเจี้ยนก็จำต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสริมเรื่องนี้ในหมู่บัณฑิตทั้งหมด

…..

ขบวนรถม้าได้มาถึงที่พักป่านเฉียวยามพลบค่ำ คาดมิถึงว่าหิมะที่นี่จะยังตกอยู่

ที่พัก ณ จุดพักม้าหนาวเหน็บอย่างยิ่ง ด้วยอากาศเยี่ยงนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะออกเดินทางไกล แต่เพราะมีทหารที่เซวียผิงกุยส่งมาสำรวจทางล่วงหน้า ภายในที่พักจึงถูกจุดตะเกียงไฟไว้แล้ว และพนักงานในที่พักก็ได้เตรียมอาหารและที่พักสำหรับหลายร้อยคนไว้เรียบร้อยแล้ว

ผู้รับผิดชอบที่พักม้าก็คือเจ้าหน้าที่ของที่พัก เป็นบุคลากรที่อยู่นอกเหนือราชวงศ์หยู แต่ยังได้รับเงินและอาหารสนับสนุนจากราชวงศ์หยู มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการที่ที่พักม้า และดูแลให้ที่พักม้าสามารถใช้การได้อย่างปกติมิให้เกิดความเสื่อมโทรม จุดมุ่งหมายเดิมมีไว้เพื่อส่งข่าวในยามก่อสงคราม พัฒนาต่อมาจนได้กลายเป็นสถานที่พักเท้าสำหรับผู้เดินทางไกล

ที่นี่อยู่ห่างจากจินหลิงไกลยิ่งนัก มิมีเมืองใหญ่อยู่ใกล้ ๆ นี้ ด้านนอกที่พักคือทุ่งนาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ทัศนวิสัยกว้างไกล มิพบเห็นบุคคลภายนอกเฉกเช่นเมืองหลวงที่เดินขวักไขว่กันไปมา

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดยืนมองกล่องดำที่ถือมาอยู่ชั่วครู่ และจึงพาคนทั้งกลุ่มเข้าไปยังอาคารสองชั้น

ภายใต้การนำทางของเซวียผิงกุย พวกเขาได้ขึ้นไปยังชั้นสอง และลอบสำรวจห้องของแต่ละคน

บางทีอาจเป็นเพราะรู้ว่าคนที่เดินทางในครานี้สำคัญอย่างยิ่ง พนักงานที่นี่จึงจัดระเบียบหลาย ๆ ห้องได้ดียิ่งนัก ภายในมีเตาไฟ ผ้าห่มบนเตียงก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด

แต่การเดินทางครานี้มีทั้งหมดหกร้อยกว่าชีวิต ที่พักที่นี่มีเพียงยี่สิบกว่าห้องย่อมมิเพียงพอ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงถามว่า “จะจัดการกับคนที่เหลือเยี่ยงไร ? ”

เซวียผิงกุยโค้งคำนับ และตอบกลับว่า “พวกข้าได้นำกระโจมทหารมาด้วย บัณฑิตทั้งหลายคงทำได้เพียงให้อยู่อย่างแออัด ตลอดทางก็คงจะเป็นเยี่ยงนี้ไปตลอด พวกเขาต่างก็ทราบกันดี”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าและกล่าวว่า “นำอาหารเย็นขึ้นมาหนึ่งชุด พวกข้าคงมิลงไปแล้ว ให้พวกเขาทานอาหารแล้วรีบไปพักผ่อน เกรงว่าเจ้าจะต้องทำงานหนักขึ้นอีกเล็กน้อย เจ้าจงจัดวางกองกำลังลับเอาไว้ให้เรียบร้อย”

เซวียผิงกุยชะงักไปเล็กน้อย เขาพยักหน้ารับ หันหลังกลับและลงจากตึกไป แต่ในใจกลับคิดว่าความคิดของชายหนุ่มผู้นี้ช่างละเอียดรอบคอบเสียจริง

ฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวินรวมทั้งซูเจวี๋ยอยู่ภายในห้องหนึ่ง นั่งล้อมรอบเตาไฟ เขาจึงกล่าวเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีหนึ่งเรื่องที่จะขอให้เจ้าช่วย”

ซูเจวี๋ยขยับหมวก “เชิญกล่าว ! ”

“ข้าจะขอให้คนของเจ้าไปตรวจสอบแม่ทัพใหญ่กองทัพชายแดนใต้หยูชุนชิวเสียหน่อย ! ”

“ท่านกังวลว่ากองทัพชายแดนใต้จะมิส่งผลดีต่อท่านรึ ?”

“มิใช่เยี่ยงนั้น ในฐานะบุตรของเต๋อชินอ๋อง ข้าและเขามิมีความแค้นระหว่างกัน และการเดินทางครานี้ก็ยังมีเวิ่นหวิน เขามิมีเหตุผลที่จะขัดขวางข้า ข้าเพียงอยากเข้าใจคนผู้นี้ให้มากขึ้น”

ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้เขาได้ให้คนของหอซี่หยู่ไปตรวจสอบแล้ว หลังจากนั้นรายงานที่เกี่ยวข้องกับหยูชุนชิวกลับมีเพียงแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น กล่าวเพียงในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เฟ่ยอันปลดประจำการ คนผู้นี้ก็ได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้ไปบัญชาการกองทัพชายแดนใต้ หลังจากนั้นก็มิมีแล้ว นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต่อว่าสือเอ้อร์เยว่อีกครา

“อีกอย่างคือหลังจากที่ทำความเข้าใจแล้ว ก็จะให้คนของเจ้าล่วงหน้าไปยังเมืองชายแดน กล่าวกันว่าที่นั่นมีปลาและมังกรอยู่รวมกันเต็มไปหมด โปรดระวังเหล่าคนท้องถิ่นของยุทธภพด้วย โดยเฉพาะผู้มีฝีมือระดับสูงของยุทธภพ ! ”

ซูเจวี๋ยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จึงพยักหน้ารับ และเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถอดหมวกทรงสูงออก และดึงอีกาออกมาหนึ่งตัว แล้วนำจดหมายฉบับนั้นมัดไว้ที่ขาของอีกา อีกาตัวนั้นบินออกไปทางหน้าต่าง และหายตัวไป

ในใจทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยสำหรับการจัดการที่รอบคอบของฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับมิมีผู้ใดถามออกมา บางทีอาจเป็นเพราะอยู่กับฟู่เสี่ยวกวนมาสักระยะหนึ่งจนคุ้นชิน พวกเขาจึงรู้สึกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนทำเยี่ยงนี้ ย่อมมีเหตุผลเป็นแน่

ดังนั้นซูโหรวจึงปักผ้าลายเป็ดของนาง มีเพียงในยามที่ซูเจวี๋ยดึงนกออกมาจึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมามอง

และซูซูก็ยังคงทานขนมดอกกุ้ยฮวาของนางอยู่ดังเดิม ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินกำลังฟัง ลอบคิดว่าบ้านเมืองต่างอยู่เย็นเป็นสุข ไฉนเลยจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางครานี้มีอัศวินดำติดตามมาด้วยถึง 500 นาย

แท้จริงแล้วใจของฟู่เสี่ยวกวนก็เอนเอียงไปแล้วว่าการเดินทางครานี้จะปลอดภัย การจัดวางกำลังนี้ก็เป็นเพียงความคุ้นชินของเขาเท่านั้น เขาย่อมหวังว่าจะสามารถเดินทางกลับไปจินหลิงได้อย่างปลอดภัย ท้ายที่สุดแล้วในที่นี้นอกจากต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินแล้ว ก็ยังมีบัณฑิตของต้าหยูอีก 100 คน

หลังจากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย สิ่งที่พูดถึงกันมากที่สุดก็ยังเป็นปัญหาความปลอดภัยของการเดินทางในครานี้ จากที่ซูเจวี๋ยสังเกต หากมีคนต้องการขัดผลประโยชน์ของฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ หนทางที่ดีที่สุดก็คือใช้ผู้มีฝีมือระดับสูงจากยุทธภพเข้าจู่โจม ตัวอย่างเช่นเป่ยหวังฉวน !

ฟู่เสี่ยวกวนลอบคิดว่าซูเจวี๋ยเอาอีกาไว้บนหัวของเขามานานเสียเกินไป แต่อย่าได้มีปากอีกาขึ้นมาเชียว !

หลังจากนั้นพนักงานของที่พักก็ได้พาคนยกอาหารขึ้นมา เมื่อเทียบกับจินหลิง อาหารมื้อนี้เรียบง่ายยิ่งนัก พนักงานที่พักพอจะทราบถึงตัวตนของคนเหล่านี้ได้อยู่คร่าว ๆ จึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และได้กล่าวขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย “ทุกท่านขอรับ ด้วยเหตุว่าฉุกละหุกไปเสียเล็กน้อย ที่พักป่านเฉียวแห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง มิอาจไปซื้อหรือจัดเตรียมวัตถุดิบได้ทัน โปรดประทานอภัยให้พวกเราด้วยขอรับ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้ความสนใจ ทั้งยังกล่าวด้วยอารามขันอีกว่า “ก็ถือว่ามิเลวมากแล้ว ที่พวกเราออกมามิใช่เพื่อการเสพสุข เจ้าทำได้ดีแล้ว ลงไปเถิด”

พนักงานคนนั้นจึงได้โค้งคำนับและเอ่ยขอตัว ในที่สุดใจที่กังวลก็ได้ปล่อยวาง ครุ่นคิดว่าเหล่าขุนนางที่ใหญ่โตนี้มิได้ยโสโอหังอย่างที่ได้ยินมาจากข่าวลือเลย

ทั้งหกคนกำลังทานอาหาร ทันใดนั้นซูเจวี๋ยก็เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีน้ำหมึกด้านนอกหน้าต่าง คนในชุดดำผู้หนึ่งบินเข้ามาจากทางหน้าต่าง ทั่วร่างเต็มไปด้วยหิมะ เขาแทรกร่างเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ทันใดนั้นด้ายแดงเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา เขาหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา ด้ายแดงของซูโหรวถูกเก็บทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงหัวเราะร่าทันที

ซูม่อ !

ตั้งแต่เย็นวันที่สามสิบปีที่แล้วจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองเดือนกว่าแล้วที่ซูม่อออกมา ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กังวลอันใดเกี่ยวกับเขา เพียงแต่เป็นห่วงอยู่เล็กน้อย

เหมือนว่าจะผ่ายผอมลงไปมากนัก ใบหน้างดงามที่อยู่ใต้แสงไฟมืดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับท่าทางเมื่อปีที่แล้วกลับดูมีความแข็งแกร่งของบุรุษมากขึ้น

เขาคำนับศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ซูเจวี๋ย แล้วหันมาหัวเราะให้กับฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะกล่าวออกมาสามคำว่า “ข้าหิวมาก ! ”